บทที่ 9 เหตุใต้ท้องเรือ
ไม่นานด้านบนก็เริ่มเกิดความโกลาหลเพราะไฟที่ไหม้หอจินอวิ๋นเริ่มลามไปทั่วบริเวณ ผู้คนต่างมาแออัดอยู่ตรงท่าเรือเพื่อตักน้ำช่วยกันดับไฟ หลายคนที่มาจากต่างเมืองก็รีบร้อนหนีไฟออกจากเมืองหลวง เรือตกแต่งที่มาจากนอกแคว้นเริ่มทยอยออกจากท่าเรืออย่างรวดเร็ว
เพราะเกิดเหตุไฟไหม้ การตรวจเรือจึงยิ่งหละหลวม เรือที่ข่งเชวี่ยกับหวังเยี่ยนหลบอยู่ได้ออกจากท่าเรือไม่นานหลังจากนั้น ยามเมื่อเรือแล่นไปตามสายน้ำ ความหนาวเย็นแทบจะบาดผิวเนื้อ แต่ทั้งสองคนกลับเกาะใต้ท้องเรือแน่น ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมปล่อยมือ
ความอยากมีชีวิตช่างยิ่งใหญ่นัก
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม สายน้ำหนาวเหน็บไล่ความอบอุ่นจากร่างกายของชายและหญิงสองคนใต้น้ำจนใกล้หมด ไม่รู้ว่าเรือแล่นออกไปได้ไกลเท่าไรแล้ว หวังเยี่ยนได้แต่ภาวนาให้ออกมาไกลจากตัวเมืองหลวงที่สุด
ในความมืดและความเงียบใต้น้ำ หวังเยี่ยนทั้งกังวลและหวาดหวั่นว่าอาจหนีได้ไม่ไกล แต่ข่งเชวี่ยกลับสงบนิ่งได้อย่างน่าประหลาด เขาสูดลมหายใจทางปากเป็นจังหวะสม่ำเสมอ รอเวลาอย่างใจเย็น
ทันใดนั้นเรือก็ถูกบางอย่างชน ทำให้กระบอกไม้ไผ่ของข่งเชวี่ยมีรอยแตกเล็กน้อย คราแรกยังเป็นเพียงน้ำซึม เขาจึงกลืนน้ำเล็กน้อยพวกนั้น แต่เมื่อนานเข้า น้ำเริ่มมากขึ้น เขากลืนน้ำจนเต็มท้องแล้วแต่ก็ยังมีน้ำเพิ่มอีกเรื่อยๆ
ยามเมื่อเขากลืนน้ำอีกไม่ไหว ลมหายใจเริ่มติดขัด เขาจึงเผลอกลืนน้ำอึกใหญ่เข้าไปโดยไม่ตั้งใจ กลืนบางอย่างในลำคอลงท้องจนสำลักออกมาฉับพลัน โชคร้ายที่ยามนี้เขาอยู่ใต้น้ำ การสำลักจึงเปลี่ยนเป็นการสูดน้ำเข้าปอดทั้งทางปากและจมูก
ข่งเชวี่ยตกใจจนปล่อยกระบอกไม้ไผ่ทิ้งโดยไม่ตั้งใจ ยกสองมือมากุมหน้าอก ด้วยความตกใจและว่ายน้ำไม่เป็น เขาจึงหวาดกลัวอย่างยิ่ง ชายหนุ่มนึกไม่ถึงว่าอุตส่าห์ทำเรื่องเลวมากมายเพื่อหนีออกมาจากที่นั่น แต่กลับต้องมาตายเช่นนี้
ทั่วลำคอ จมูกและปากของเขาแสบราวกับถูกไฟลวก ในปอดและท้องก็ปวดแสบปวดร้อนไม่ต่างกัน เขาพยายามดิ้นรน เตะมือเท้าไปมาหวังว่าตัวเองจะลอยขึ้นเหนือน้ำ น่าเสียดายที่บนหัวของเขาไม่ใช่เหนือน้ำแต่เป็นลำเรือ
อากาศในอกเหลือน้อยลงทุกที ยิ่งดิ้นรนเขายิ่งทรมาน ชายหนุ่มรู้สึกกลัวความตายเป็นครั้งแรก ในเวลาที่ใกล้หมดสติเขารู้สึกคล้ายได้แตะมือของยมทูต มือเย็นเยียบข้างนั้นค่อยๆ ดึงเขาลงไปในนรกช้าๆ
“ตื่นสิ! ลืมตาขึ้นมา! ห้ามตายนะ”
ข่งเชวี่ยค่อยๆ ลืมตา ได้ยินหวังเยี่ยนตะโกน สองกำปั้นเล็กทุบไปที่อกของเขาอย่างแรงหลายครั้งในระหว่างที่เขานอนอยู่บนพื้น นางเพียงต้องการปลุกเขา แต่การทำเช่นนั้นกลับทำให้เขาสำลักน้ำในท้องออกมา
“เจ้าฟื้นแล้ว ดี ดีมาก ฟื้นสักที” หญิงสาวร้องดีใจน้ำตาคลอ นางช่วยจับตัวเขาพลิก เพื่อให้เขาอาเจียนได้สะดวกมากขึ้น
ข่งเชวี่ยอวกออกมาแทบตาย ทุกอย่างในท้องของเขาถูกสำรอกออกมาจนหมด ในจมูกและลำคอยังคงแสบร้อนไม่หาย แต่เขารู้สึกดีใจที่ยังไม่ตายอยู่ใต้น้ำ อาเจียนเสร็จเขาก็ทิ้งตัวลงข้างกองสกปรก หายใจหอบเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นระ..!!!” เขาตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินเสียงของตัวเอง เสียงของเขากลับมาทุ้มต่ำเช่นเดิมแล้ว!
"ฮ่า ๆ ๆ ข้าชนะ ตาเฒ่าสือ ข้าเป็นฝ่ายชนะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ" เขาไม่ได้ตอบหญิงสาว แต่กลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พูดกับบางคนที่นางไม่รู้จัก
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำน่าฟังดังท่ามกลางแสงจันทร์ในยามค่ำคืน เป็นครั้งแรกที่เขาหัวเราะสะใจทุกสิ่งจากใจจริง ดีใจจนลืมรอบข้าง เขารู้สึกว่าครั้งนี้สวรรค์เป็นใจให้เขาหนีพ้นแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
“เจ้าจมน้ำจนสติไม่ดีแล้วหรือ” หวังเยี่ยนถาม นางยังตกใจเรื่องที่เขาจมน้ำไม่หาย เสียงทุ้มต่ำของเขานางก็เข้าใจว่าอาจแหบแห้งเพราะกลืนน้ำเย็นไปมากระหว่างจมน้ำจนคออักเสบ
“ข้าดีใจ ข้าหนีออกมาพ้นแล้ว ไม่เห็นแสงไฟของเมือง ไม่เห็นกำแพงเมืองหลวงด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ ๆ ๆ” เขายังคงหัวเราะต่อไป
“..ได้ แต่เจ้าทำให้พวกเราไปไม่ถึงจุดหมาย ยามนี้เราเพียงออกจากเมืองหลวงมาได้ไม่ไกล ต้องรีบซ่อนตัว” ยามนี้พวกเขากำลังทิ้งตัวอยู่ฝั่งแม่น้ำ
“ซ่อนตัวหรือ?” เขาถามคล้ายสติยังกลับมาไม่ครบ
“ทางโน้นเหมือนเป็นป่าทึบ เราต้องเข้าไปในนั้น รอพรุ่งนี้เช้าค่อยดูว่าเราหนีออกมาถึงตรงไหนกันแล้ว”
“ได้” เขาเริ่มสงบสติได้บ้างแล้ว
หวังเยี่ยนประคองชายหนุ่มที่เพิ่งผ่านความตายลุกขึ้น พวกเขาเนื้อตัวเปียกชุ่ม แต่ยังคงช่วยกันประคองเดินเข้าไปในป่า แม้แสงจันทร์จะส่องสว่าง แต่เมื่อเข้าสู่ร่มเงาต้นไม้สูงใหญ่ก็แทบมองอะไรไม่เห็น
“ระวังเท้า” ข่งเชวี่ยเอ่ยเตือน หลังจากหวังเยี่ยนเดินสะดุดก้อนหินและรากไม้ไปแล้วสองครั้ง
“หุบปาก” หญิงสาวรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม นางแข็งแรงกว่าเขา ช่วยชีวิตเขาจากใต้น้ำมาได้ เหตุใดเขาจึงเดินได้มั่นคงกว่านาง
“ข้าหนาวทั้งมือและเท้าจนเจ็บไปหมด คงอุ้มเจ้าขึ้นหลังไม่ไหว เจ้าต้องเดินดีๆ” เขาพูดถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างหน้าตาเฉย ไม่คล้ายคนที่เกือบได้ข้ามสะพานไน่เหอ [1]
“ข้าก็หนาว เจ้าคิดว่าที่พวกเราต้องมาเดินกลางป่ามืดมิดเช่นนี้เป็นเพราะใครกัน” หวังเยี่ยนเริ่มอารมณ์ขุ่นมัว เพราะความหนาวและหิวมาก วันนี้นางยังไม่ได้กินมื้อเย็น เขาเองก็ยังไม่ได้กินเช่นกัน
“เช่นนั้น พักก่อนดีหรือไม่” เขาถามเสียงอ่อนลง
“พักที่ใดกัน กลางป่าเช่นนี้มีแต่สัตว์ป่าอันตราย”
“เจ้ารู้ว่าอันตราย แต่กลับแนะนำให้พวกเราเข้ามาหรือ”
“หากเจ้าอยากถูกพบตัว จะเดินอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ก็ย่อมได้”
พวกเขาเดินไปด้วยถกเถียงไปด้วย แม้จะเสียงดังแต่ทั้งสองคนต่างรู้สึกว่าอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ไม่หวาดกลัวความมืด ไม่มีใครยอมปล่อยมืออีกฝ่าย
พวกเขาเดินเช่นนั้นเกือบสองชั่วยาม ผ่านป่าโปร่งที่มีหญ้าขึ้นสูง เพราะเพิ่งผ่านช่วงฝนตกในฤดูใบไม้ผลิมาไม่นาน ยามนี้จึงอยู่ในช่วงใกล้เก็บเกี่ยวพอดี ทั้งต้นไม้และหญ้าพืชพันธุ์ต่างแข่งขันกันเติบโต
ถึงแม้ชายหนุ่มจะพูดว่าตัวเองหนาวจนเจ็บมือเท้า แต่เมื่อหวังเยี่ยนเดินไม่ไหว เขายังคงอุ้มนางขึ้นหลังและเดินต่อไปเช่นนั้น ทั้งที่เขาตัวผอมบางจนคล้ายไม่มีแรงจะฆ่าไก่
[1] สะพานไน่เหอ คือ สะพานข้ามแม่น้ำเหลืองในปรโลก ซึ่งเป็นแม่น้ำที่แบ่งแยกระหว่างโลกคนเป็นและคนตายออกจากกัน หากข้ามสะพานไน่เหอไปแล้วจะไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก
