บทที่ 10 อ้อมกอดไร้อาภรณ์
หลังจากที่ต้องเดินข้ามเนินกว้างที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่กับเถาวัลย์มากมาย ในที่สุดพวกเขาก็เดินเข้าสู่ป่าสน เพราะเริ่มได้กลิ่นใบสนอบอวล บนทางเดินทั้งลื่นและไม่มีต้นหญ้าสักต้น
“ข้างหน้ามีกระท่อมอยู่” หญิงสาวที่นั่งสบายอยู่บนหลังเอ่ยขึ้น
นางเห็นกระท่อมหลังนั้นเพราะไม่ต้องเดิน จึงมีเวลาสำรวจดูป่าและบริเวณรอบๆ ส่วนเขาที่เจ็บมือเท้ามากอยู่แล้วแต่ยังต้องมาอุ้มสตรีผู้หนึ่งไว้บนหลังอีก จึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการระวังเท้าไม่ให้สะดุดลื่นล้ม แม้ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเริ่มส่องแสงผ่านช่องต้นสนได้ประปราย
“ต้องหนีไปทางอื่นหรือ เดินมาไกลขนาดนี้แล้วนะ” เขาบ่นเสียงหอบ
“ไม่ต้อง เราไปพักที่นั่นกันเถิด”
“ฮะ?”
“เจ้าไม่หนาวหรือ”
“หนาวจะแข็งตายอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็พักกันก่อน ข้าคาดว่าในกระท่อมหลังนั้นอาจไม่มีคนอยู่ ไม่เช่นนั้น ใกล้เช้าเช่นนี้คงมีคนลุกขึ้นมาจุดไฟแล้ว ไม่แน่เจ้าของกระท่อมอาจกลับบ้านในช่วงเทศกาลตวนอู่ หรือไม่ก็กลับไปเยี่ยมญาติที่อื่น”
“เช่นนั้นพวกเราก็มีเวลาพักสักครู่หนึ่ง” ข่งเชวี่ยยิ้มออกมา เขาดีใจจริงๆ ที่จะได้มีกองไฟอบอุ่นผิงแก้หนาวแล้ว
ในกระท่อมไม่มีใครอยู่ตามที่หวังเยี่ยนคาดเดา แต่มีพร้อมทุกอย่างสำหรับการใช้ชีวิต มีกระทั่งอาหารแห้งและธัญพืช หญิงสาวและข่งเชวี่ยจึงช่วยกันจุดไฟต้มโจ๊กขาวง่ายๆ
สาวน้อยแก้มป่องเข้าไปรื้อค้นในห้องนอนได้เสื้อผ้าเก่าๆ มาสองชุด ดูแล้วเหมือนเสื้อผ้าคนแก่ แต่เพราะพวกเขาไม่อาจทนหนาวในชุดเสื้อผ้าเปียกๆ ได้อีก จึงไม่มีใครสนใจว่าเสื้อผ้าจะเก่าหรือขาด ขอเพียงช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้ก็เพียงพอ
“เจ้ารีบมากินโจ๊กร้อนๆ เถิด” ข่งเชวี่ยเรียกหญิงสาวให้มากินโจ๊กหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เพราะตลอดเวลาที่เขาอุ้มนางไว้บนหลัง เขาได้ยินเสียงท้องร้องหลายครั้งมาก
“เสื้อผ้าพวกนี้จะทำอย่างไร”
“ตากให้แห้งข้างเตาไฟ รอจนแห้งแล้วก็เผาทิ้ง”
หวังเยี่ยนมองดูชุดสีสดของนางโลม นางแอบเสียดายผ้าราคาแพงอยู่บ้าง แต่ยังคิดได้ว่าหากทิ้งไว้เฉยๆ ต้องมีคนรู้ว่าพวกเขาหนีมาทางนี้แน่ นางจึงจัดการตามที่เขาแนะนำ
พวกเขากินโจ๊กจนท้องอุ่น จึงไปลากผ้าห่มของเจ้าของกระท่อมมานอนพักใกล้ๆ กองไฟ เพราะผ้าห่มผืนนั้นทั้งบางและขาดหลายที่ หากห่มในห้องนอนต้องหนาวตายแน่
“เจ้านอนข้างกองไฟเถิด เพราะเจ้าตัวเย็นไปหมดแล้ว” ข่งเชวี่ยเสียสละให้สตรี แม้เขาเองก็ตัวเย็นไม่ต่างกัน
“นอนไม่ได้ ผิงไฟให้ตัวอุ่นแล้วต้องรีบเดินทางต่อ” หวังเยี่ยนกังวลว่าหากพักที่นี่นานเกินไปอาจมีคนมาพบเข้า
“ข้าจะเฝ้าเอง เจ้าพักสักครู่เถิด” เขายังยืนยันเช่นเดิม
หวังเยี่ยนเห็นว่ามีบุรุษคอยเฝ้าทางให้ เพียงหลับตาสักครู่เอาแรงคงไม่เป็นไร นางจึงนอนลงข้างกองไฟพักสักครู่ แต่เพราะความหนาวเหน็บและเหน็ดเหนื่อย นางเพียงหลับตาก็เผลอหลับไปจริงๆ
ข่งเชวี่ยนั่งเฝ้าจนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร เขาตั้งใจจะปลุกหญิงสาวแก้มกลมให้ตื่นและเดินทางต่อ แต่เรียกแล้วอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตื่นเลย
“เจ้าตื่นได้แล้ว..นี่..นี่” เขาใช้เท้าเขี่ยนางไปสองครั้งก็ยังไม่มีวี่แววว่านางจะรู้สึกตัว
“หวังเยี่ยน!..” ชายหนุ่มยื่นมือไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย แต่ตัวนางยังคงเย็นเฉียบแม้จะนอนข้างกองไฟนานแล้ว
เขาตกใจ รู้ว่าหญิงสาวคงป่วยแน่แล้ว ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาก็ไม่เจออะไร ผ้าหนาๆ สักผืนก็ไม่มี เขาคิดอะไรไม่ได้จึงได้แต่ยื่นมือไปดึงร่างของสตรีน้อยมากอด ขยับเข้าหากองไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
เขากอดหวังเยี่ยนจนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ [1] แต่ผิวบนแก้มหมั่นโถวยังคงเย็นจนน่าหวาดหวั่น ชายหนุ่มจึงดึงคนตัวเล็กให้เข้ามาซุกอกของเขาให้มากยิ่งขึ้น จับมือเย็นเยียบของนางมาวางที่คอของเขาเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ไม่เสียเวลากังวลว่าอาจทำให้สตรีดีงามผู้หนึ่งเสื่อมเสีย
แม้ข่งเชวี่ยเองก็ใส่เสื้อผ้าเปียกมาทั้งคืนไม่ต่างจากหวังเยี่ยน แต่เขาร่างกายแข็งแรงมาแต่เด็ก อีกทั้งต้องทุกข์ทรมานมามาก ถูกลงโทษให้คุกเข่านอกบ้านในคืนหิมะตกก็ผ่านมาแล้ว เรื่องเล็กอย่างการใส่เสื้อเปียกทั้งคืนจึงไม่อาจทำอะไรเขาได้
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ มือน้อยที่คอของชายหนุ่มก็ค่อยๆ อุ่นขึ้น เขาเริ่มเข้าใจว่าจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อรักษาชีวิตของหญิงสาว ข่งเชวี่ยจึงลุกขึ้นและถอดเสื้อผ้าออก!!
เขาถอดเสื้อของตัวเองและของหญิงสาว ก่อนจะดึงตัวหวังเยี่ยนมากอดอีกครั้ง ดึงผ้าห่มคลุมพวกเขาด้วยกัน ไออุ่นของเขาเริ่มไหลไปยังร่างเย็นเฉียบ ไอหนาวจากตัวหญิงสาวถูกถ่ายทอดมาที่ร่างของชายหนุ่ม
อ้อมแขนแกร่งรวบร่างเล็กกอดอย่างทะนุถนอม เก็บปลายเท้าของหวังเยี่ยนไว้ตรงกลางระหว่างขาอุ่นของเขา ผิวกายของสองร่างต่างสัมผัสแนบชิดเย้ายวน แต่เขากลับไม่มีความรู้สึกใคร่ชูชันดังเช่นที่บุรุษทั่วไปควรเป็นสักนิด เขาทำเช่นนั้นเพื่อช่วยชีวิตของผู้มีพระคุณเท่านั้น ไม่ได้แตะต้องส่วนสำคัญ
ข่งเชวี่ยกอดหวังเยี่ยนไว้ข้างกองไฟจนหลับไปด้วยกัน
หวังเยี่ยนลืมตาตื่น นางรู้สึกตัวว่าถูกอุ้มอยู่บนแผ่นหลังกว้างของใครคนหนึ่ง มีผ้าเก่าๆ มัดนางไว้ราวกับเด็กน้อยบนหลังมารดา แม้ยังคงมีอาการเวียนหัวอยู่บ้าง แต่นางก็มองทุกอย่างได้ชัดเจนแล้ว รอบข้างเป็นป่าหินที่นางคุ้นเคย ต้นไม้ใหญ่เรียงรายบนเขาสูงชัน บุรุษที่อุ้มนางไว้บนหลังก้าวเดินอย่างมั่นคง นางจำได้ว่าเขาเป็นใคร
“ใกล้ถึงบ้านแล้วหรือ” หญิงสาวถาม มองต้นไม้และหนทางอย่างตื่นเต้นตื้นตัน
“มาถูกทางแล้วใช่หรือไม่” ข่งเชวี่ยเอ่ยถามเสียงหอบเหนื่อย
“ถูกแล้ว..เอ่อ เจ้ารู้ทางมาบ้านข้าได้อย่างไร” หวังเยี่ยนเพิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ
“เจ้าเป็นคนบอกข้าเอง” เขาตอบ
“ข้า..ข้าบอกหรือ” นางไม่แน่ใจ
“ใช่ เจ้าละเมอบอกชื่อหมู่บ้าน ข้าจึงอุ้มเจ้ามาตามแผนที่ในถุงหนังของเจ้า เพียงแต่แผนที่เปียกน้ำจึงเลือนรางไปบ้าง ข้ายังนึกว่ามาผิดทางแล้ว”
“ขะ..ข้าละเมอ”
“อืม”
“ละ..แล้วเจ้า..ไม่แยกไปตามทางของเจ้าหรือ” หญิงสาวเริ่มไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะครั้งสุดท้ายที่จำได้ นางเพียงล้มตัวลงนอนข้างกองไฟเท่านั้น ตื่นมาอีกครั้งก็ใกล้ถึงบ้านของนางแล้ว จึงสับสนอยู่บ้าง
“เจ้าป่วย ข้าจึงต้องอุ้มเจ้ามาส่งก่อน เจ้าหลับไปสี่วันสี่คืนเต็มๆ จนข้าเริ่มคิดว่าหากวันนี้เจ้ายังไม่ตื่นอีก ข้าอาจต้องหาที่ขุดหลุมฝังเจ้า” เขาพูดจาน่ากลัว แต่ยังคงอุ้มนางไว้บนหลังอย่างดี
“สี่วันสี่คืน!” หญิงสาวตกใจ
“อืม”
“เจ้าอุ้มข้าไว้เช่นนี้ตลอดเลยหรือ”
“เจ้าจะให้ข้าทิ้งเจ้าไว้ที่กระท่อมนั่นหรือ” เขาตอบเสียงเรียบ
“..เจ้าไม่ชอบให้ใครโดนตัวไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าป่วยอยู่”
“..เจ้าดูแลข้าอย่างไร” หญิงสาวถามด้วยความกังวล
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า” เขาเข้าใจว่านางกังวลเรื่องใด
“จริงหรือ”
“ข้าไม่ได้พิศวาสเจ้า อย่าเข้าใจผิดไป ข้าเพียงอุ้มเจ้าไว้ คอยต้มโจ๊กให้ยามพักเท่านั้น” เขาเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่หวังเยี่ยนตัวเย็นจนเขาต้องกอดเอาไว้ ตลอดการเดินทางเขาก็ต้องคอยระวังการจุดฟืนไฟเพื่อป้องกันไม่ให้ใครไล่ตามมาได้ เขาจึงต้องกอดนางไว้ทุกคืนเพื่อให้ความอบอุ่น
[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับเวลา 15 นาทีโดยประมาณ
