บทที่ 2 แนะนำตัว
เขาเดินนำหน้าสตรีผู้นั้นเข้าไปในฝั่งห้องนอนของเขา ทั่วบริเวณประดับด้วยผ้าสีเขียวอ่อนโปร่งใส และโคมไฟสีแดงชวนวาบหวาม
บุรุษชุดเขียวเข้าไปใกล้เตียงนอน เขาก้มลงเปิดพรมปูพื้นตรงบริเวณทางขึ้นเตียง จากนั้นก็ยกพื้นไม้ตามรอยที่ก่อนหน้านี้ยังคงเป็นเพียงแผ่นไม้ฉลุลายปกติ ยามนี้กลับกลายเป็นช่องว่างที่ขนาดพอดีให้คนผู้หนึ่งเข้าไปหลบซ่อน
"เข้าไปซ่อนในนี้ หากพวกเขาไปแล้วข้าจะมารับเจ้า" เขาบอก
หญิงสาวรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะไม่ใช่เรื่องปกติที่ในห้องนางโลมผู้หนึ่งจะมีช่องลับ แต่ยามนี้ไร้หนทาง จึงได้แต่ทำใจกล้าและเข้าไปหลบอยู่ในช่องใต้เตียงผู้อื่น
กลิ่นสาบบางอย่างคละคลุ้งอยู่เต็มในช่องใต้เตียงนั้น แต่แม่นางน้อยก็ไม่ได้มีท่าทางจะถอยหนี บุรุษชุดเขียวมองสตรีที่แม้ขมวดคิ้วแต่ก็ยังทำใจกล้าเข้าไปหลบ เขารู้สึกชื่นชมอยู่ลึกๆ
"ไม่ต้องกลัว" เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบ
"ขอบคุณ แม่นาง" หญิงสาวยังอุตส่าห์หันมายิ้มขอบคุณ ทั้งที่ในนั้นมีกลิ่นสาบรุนแรงจนนางต้องยกชายแขนเสื้อขึ้นปิดจมูก
ชายชุดเขียวได้แต่ปิดปากทางช่องลับเเละเดินไปยืนข้างหน้าต่างเช่นเดิม เฝ้ารอเสียงฝีเท้าที่กำลังไล่ตามมาทางห้องนอนของเขา
หญิงสาวในช่องลับรอคอยด้วยความกังวล นางฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกด้วยหัวใจสั่นไหว ในใจหวั่นเกรงว่านางโลมผู้นั้นอาจหลอกลวงได้ แต่ยังคงรอคอย นางเพียงคิดว่าหากถูกหักค่อยแก้แค้นก็ยังไม่สาย
เสียงฝีเท้ามั่นคงของบุรุษหลายคนเดินมาจนถึงหน้าห้องนั้น
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง บุรุษชุดเขียวเดินไปเปิดประตูอย่างเชื่องช้าเช่นเดิม แต่ครั้งนี้เป็นความจงใจเดินให้ช้าลงของเขาเอง
"มีอะไร" เสียงไพเราะราวนกขมิ้นของเขาเอ่ยถามหลังจากเปิดแง้มประตูให้คนข้างนอก
"เจ้าเห็นใครมาที่นี่บ้างหรือไม่" ชายฉกรรจ์ในชุดสีดำล้วนห้าหกคนยืนอยู่หน้าประตู ตัวสูงใหญ่ไม่ต่างจากบุรุษชุดเขียว ผู้เอ่ยถามมีท่าทางคล้ายจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
"ไม่" ชายหนุ่มปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด ท่าทางยามเอ่ยคำโกหกของเขาสงบนิ่งราวกับถูกฝึกฝนมาอย่างดี
“ค้น!” แต่หัวหน้าของชายฉกรรจ์พวกนั้นคล้ายไม่ใส่ใจคำตอบนั้น เขาออกคำสั่งให้ลูกน้องบุกเข้าไปค้นในห้องทันที
“นี่ พวกเจ้าหยุดนะ!!” บุรุษชุดเขียวทำเป็นโมโห
“พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร กล้ามารบกวนข้ายามนี้ได้อย่างไร ข้าเป็นหนี่เหริน [1] ของที่นี่นะ..อุ๊บ!!”
เขาถูกหัวหน้าคนนั้นหันมาใช้มือบีบหน้าพร้อมปิดปากเอาไว้ทันที!
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร ก็แค่นางโลมสกปรกคนหนึ่ง หากข้าจะค้น ข้าก็จะค้น” ชายชุดดำข่มขู่
บุรุษชุดเขียวได้แต่กัดฟันกลืนความโกรธลงท้อง เขาปิดกั้นลมหายใจเพราะรังเกียจกลิ่นสาบจากมือข้างที่กำลังบีบแก้มของเขา รอจนชายชุดดำปล่อยมือและเดินไปค้นทั่วห้อง ชายหนุ่มจึงยอมหายใจเข้า ชั่วขณะที่เขาถูกปิดปากแม้จะเพียงอึดใจเท่านั้น แต่เขากลับรู้สึกว่านานจนแทบหมดลมหายใจ
เขาหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง พยายามสงบให้มากที่สุด ไม่อาจปกปิดสายตาอำมหิตที่พร้อมปลิดชีวิตได้ แต่เขายังโชคดีที่ไม่มีชายชุดดำคนไหนสังเกตเห็น คนพวกนั้นสนใจแต่ค้นหาคนเท่านั้น
เมื่อห้องสีเขียวอ่อนถูกค้นจนทั่ว ทุกมุมห้อง ผ้าม่านทุกผืน โต๊ะเก้าอี้ทุกตัวล้วนถูกโยนระเกะระกะ พวกชายชุดดำคล้ายว่าจะพึงพอใจแล้วแม้จะไม่พบใคร พวกเขาจึงออกไปจากห้องนั้น
บุรุษชุดเขียวยังคงยืนนิ่งอยู่อีกสักครู่ รอจนเสียงฝีเท้าเดินจากไปไกล เขาจึงเดินไปเปิดช่องลับ
“พวกมันไปแล้ว”
“ขอบคุณ แม่นาง” หญิงสาวในช่องลับเอ่ยตอบเสียงสั่น ในสายตาเขาดูแล้วคล้ายว่านางก็หวาดกลัวมาก
เขาไม่ได้ช่วยสตรีแก้มหมั่นโถวออกมาจากช่องลับ เพียงมองดูนางคลานออกมาอย่างทุลักทุเลเท่านั้น นางย่นปากเล็กๆ ปิดจมูก จนสองแกมป่องยิ่งป่องกว่าเดิม แต่ไม่ได้บ่นเรื่องกลิ่นเหม็นสาบแต่อย่างใด
“เจ้าต้องช่วยข้าเก็บกวาดห้องด้วย” เขาสั่ง
“ได้เจ้าค่ะ” สาวน้อยยิ้มตอบอย่างว่าง่าย
หลังจากเขาชี้นิ้วสั่งสตรีแปลกหน้าให้ทำความสะอาดจัดระเบียบในห้องของเขาจนเกือบเช้า ในที่สุด ห้องของเขาก็กลับมาใกล้เคียงกับห้องเดิม แม้ของหลายชิ้นที่ราคาแพงมากจะถูกทำลายจนไม่อาจใช้งานได้ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ
“เจ้าชื่ออะไร” เขาเอ่ยถาม พร้อมยื่นถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ให้หญิงสาว
“ข้าชื่อว่า หวังเยี่ยน เจ้าค่ะ”
“...ฟังดูไม่คล้ายเจ้าสักนิด” เขาวิพากษ์
“ไม่คล้ายอย่างไรเจ้าคะ ชื่อนี้เหมาะกับข้ายิ่ง เย้ายวน มีเสน่ห์ งดงามและชวนมอง” นางรับถ้วยชาไปดื่มพร้อมตอบด้วยความภาคภูมิใจ แต่ฟังแล้วไม่คล้ายจริงใจเท่าไรนัก
“...” เขาได้แต่ขมวดคิ้ว
“ขอชาอีกได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าใช้แรงกายมากมายไปกับการจัดห้องให้ท่าน เหน็ดเหนื่อยยิ่งเจ้าค่ะ” หญิงสาวใช้รอยยิ้มไร้เดียงสาขอน้ำชาดื่มอีก
เขายกกาน้ำชาเทให้นาง
“แล้วท่านชื่ออะไรเจ้าคะ”
“ข้า..เจ้าเรียกข้าว่า ข่งเชวี่ย [2] ก็พอ”
“..ฟังแล้วไม่คล้ายชื่อคนสักนิด” คราวนี้ หญิงสาวเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้าง แต่นางเพียงสงสัยครู่เดียว และไม่ได้คาดคั้นอะไร เพราะทันทีที่นางพูดจบ เจ้าของชื่อก็ทำหน้านิ่งคล้ายไม่อยากสนทนาหัวข้อเรื่องนี้อีก นางที่รู้ความเป็นอย่างดีจึงเลือกจะเงียบและรีบหาหัวข้ออื่นมาพูดแทน
“เช่นนั้น พี่ข่งเชวี่ย ท่านช่วยข้าแล้ว อย่างไรก็ควรช่วยให้ถึงฝั่ง จากนี้ ข้าขอพักในห้องของท่านอีกสักสองสามวัน แล้วค่อยหาทางหนีต่อไป..”
“ไม่ได้” เขาตอบทันที
“ได้อย่างไรเจ้าคะ หากท่านทอดทิ้งข้า แล้วข้าควรทำเช่นไร ชีวิตน้อยๆ ของข้าคงได้หมดสิ้นแน่เจ้าค่ะ” สาวน้อยรีบคุกเข่าลงขอร้อง
“ความคิดของเจ้า คนเดินถนนยังรู้ [3] อย่าได้คิดจะทำให้ข้าต้องหมดความอดทน ข้าช่วยชีวิตของเจ้าแล้วครั้งหนึ่ง ต่อไปเจ้าต้องหาทางช่วยตัวเอง ข้าไม่ได้ติดค้างอะไรเจ้า หากเจ้ารู้ว่าชีวิตของตัวเองเล็กน้อยเพียงไร เหตุใดจึงหนีออกมา ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าจะต้องกลัวหมดสิ้นด้วยหรือ” เขาเริ่มจะหงุดหงิด เพราะไม่ชอบที่ถูกมัดมือชกให้ทำเรื่องที่ไม่พอใจ
“ชีวิตของข้าแม้จะเล็กน้อยจนเหมือนไร้ค่า แต่ก็ยังมีชีวิต!!"
[1] ศิลปินในหอนางโลมระดับสูง
[2] นกยูง
[3] “ความคิดของซือหม่าเจา คนเดินถนนยังรู้” เป็นสำนวนที่มีที่มาจากเรื่องราวของ สุมาเจียว (ซือหม่าเจา) บุตรชายของสุมาอี้ ที่มีเจตนาแย่งชิงบัลลังก์ แต่ผู้คนกลับรู้กันทั่ว จนต่อมาผู้คนมักใช้สำนวนนี้ในการพูดถึงเจตนาซ่อนเร้นที่ปิดไม่มิด
