ตอนที่2 ไม่ใช่ครั้งแรก
ภายในร้านอาหารเดิมที่เคยเป็นสถานที่แห่งความทรงจำอันแสนหวาน ร้านที่เธอเคยถูกขอแต่งงาน สถานที่ที่ไม่ว่าจะมากี่ครั้งก็ยังคงทำให้เธอหวนนึกถึงวันวานที่แสนหวานจนเผลอยิ้มออกมา
บรรยากาศภายในร้านยังคงคล้ายเดิม มีเสียงเพลงคลอเบาๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเบาสบาย แตกต่างจากด้านนอกบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถราแน่นขนัดส่งเสียงวุ่นวายท่ามกลางเวลาหัวค่ำที่ผู้คนยังคงอยู่ด้านนอกมากกว่ากลับเข้าที่พักแสนจะวุ่นวาย
เมลินญานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยรอยยิ้มที่ประดับใบหน้าแห่งความสุขและการเฝ้ารอ เพราะวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าสามีก็เป็นคนจองร้านแห่งนี้ไว้ด้วยตัวเอง เป็นฝ่ายนัดหมายกับเธอสำหรับมื้อค่ำในวันพิเศษที่เขาใส่ใจต่อภรรยามาเสมอ โดยไม่จำเป็นต้องรอเรียกร้องหรือร้องขอแม้แต่คำเดียว
เพราะความตื่นเต้นดีใจเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยมีเวลาให้เธอเท่าไหร่นัก ทำให้เธอกลับบ้านแต่งตัวตั้งแต่หัววัน ออกจากบ้านมาถึงร้านอาหารตั้งแต่สิบแปดนาฬิกายี่สิบนาที ทั้งที่เวลานัดหมายจริงๆ เป็นสิบเก้านาฬิกา ไหนจะการแต่งกายที่แสนประณีตเพื่อวันพิเศษ รวบรัดทั้งฉลองวันคล้ายวันเกิดและดินเนอร์กับสามีที่รักในคราวเดียว
เพื่อไม่ให้เสียมารยาทกับร้านมากนักจึงนั่งรอในรถยนต์ประมาณสิบกว่านาที พอใกล้จะถึงเวลานัดหมายก็ลงจากรถเข้ามาในร้านพร้อมกับสั่งน้ำเปล่าเพื่อรอสามีของเธอมาก่อน ไม่อยากสั่งอาหารล่วงหน้ากลัวว่ามันจะเย็นชืดจนไม่น่ากิน
แน่นอนว่าการเฝ้ารอเป็นอะไรที่รู้สึกว่ายาวนานมากทั้งที่พึ่งเลยเวลานัดมาห้านาที แต่ตลอดเวลาห้านาทีที่เธอนั่งอยู่พอได้ยินเสียงเปิดประตูก็อดหันไปมองด้วยความเฝ้ารอไม่ได้ จดจ่ออยู่กับตัวเองว่าเขาจะมาถึงเมื่อไหร่ ก่อนเวลา ตรงเวลา หรือจะเลทไปนิดหน่อย
กระทั่ง...
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
“ทำไมยังไม่ถึงอีกนะ” เมลินญาเอ่ยกับตัวเองระหว่างกดมือถือดูเวลาไปพลางๆ
เวลาเลิกงานของเขาคือห้าโมงเย็น หากนับการเดินทางจากบริษัทมาที่ร้านแห่งนี้ในเวลาการจราจรติดขัดเธอให้มากที่สุดไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่นี่ผ่านมาแล้วหนึ่งชั่วโมงแต่เขายังไม่ปรากฏอีก
Maylyn: ถึงไหนแล้วคะ
เธอกดส่งข้อความไปถามผู้เป็นสามีของตัวเองเป็นรอบที่สองอย่างจดจ่อเฝ้ารอ รอการมาถึงของเขาและรอการอ่านข้อความจากเขา
แต่ไม่ว่าจะสิ่งไหนที่เธอรอ สิ่งนั้นก็ยังไม่ได้รับการตอบรับกลับมา
ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดตอนนี้เหลือเพียงใบหน้าราบเรียบพร้อมแววตาเศร้าหมอง ความตื่นเต้นดีใจจนหน้าอกข้างซ้ายเต้นเร็วก่อนหน้าเหลือเพียงการบีบรัดกระตุกหน่วง หวาดกลัวอยู่ในอกว่าจะซ้ำรอยเดิม
จะเป็นแบบนั้นอีกแล้วเหรอ...เธอได้แต่ถามตัวเองในใจ และภาวนาว่าเขาจะไม่ผิดสัญญา
ทั้งคู่แต่งงานกันมาเกือบจะหนึ่งปีแล้ว มีโอกาสได้ออกมาใช้เวลาด้วยกันข้างนอกแบบนี้แทบจะนับครั้งได้เพราะหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบไม่ต่างกัน การออกไปตามแผนด้วยกันมักราบรื่นเสมอ แต่หากมีการนัดแนะเจอกันที่จุดหมาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเป็นฝ่ายรอ...
และรอเก้อ
สองครั้งก่อนหน้านี้ที่เขาผิดสัญญาพึ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก เขานัดเธอออกมากินข้าวด้วยกัน และแน่นอนว่าเธอก็เป็นฝ่ายรอเขาเหมือนครั้งนี้ โดยตอนสุดท้ายของการนัดหมายเขาก็เป็นฝ่ายผิดนัดทั้งสองรอบด้วยเหตุผลว่ามีงานด่วน
แม้ใจลึกๆ ของเธอจะมีความโต้แย้งเหตุผลของเขาเสมอ แต่เธอเลือกจะปล่อยผ่านเพื่อไม่เป็นปัญหาครอบครัว พยายามเชื่อฟังคำพูดของเขาอย่างไร้ข้อกังขา
เพียงแต่เธอขอได้ไหม่ว่าครั้งที่สามจะไม่ใช่ครั้งนี้ อย่างน้อยก็คาดหวังว่าเขาจะให้ความสำคัญกับวันคล้ายวันเกิดของภรรยาอย่างเธอมากกว่าวันอื่นๆ และเรื่องอื่นๆ รวมถึงคนอื่นๆ หวังว่าเขาจะละทิ้งทุกอย่างเพื่อมาตามนัดที่เป็นฝ่ายออกปากด้วยตัวเอง
แต่...
เธอหวังมากไป
ยี่สิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีแล้วที่สามียังไม่ปรากฏตัวต่อหน้า แม้แต่ข้อความที่ส่งไปก็ยังไม่ได้รับการเปิดอ่าน เป็นการรอที่ควรจะสิ้นหวังและล้มเลิกตั้งแต่ชั่วโมงแรกแล้ว แต่เธอก็ยังให้โอกาสและเฝ้ารอเขาอย่างเชื่อมั่นในตัวเขาและความรักของเขา
แล้วคนที่ผิดหวังก็ไม่พ้นคนที่คาดหวัง
มือบางหยิบเงินหนึ่งพันสำหรับค่าน้ำเปล่าและค่าเสียเวลาในการนั่งร้านอาหารวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะกระชับกระเป๋าแล้วเดินออกจากร้านอาหารไป
ความน่าเวทนาของวันเกิดปีนี้กลับต้อนรับเธอด้วยหยาดน้ำตาตั้งแต่วันแรก แล้วชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อนะ
เมลินญาขับรถออกจากร้านตรงไปทางกลับบ้านที่เป็นเรือนหอของเธอ เป็นบ้านเดิมของสามีที่ใช้อาศัยอยู่ด้วยกันมาตลอด แต่ขับจนใกล้จะถึงบ้านก็เหนื่อยเกินกว่าจะขับต่อได้ อีกทั้งมั่นใจว่ากลับไปคงมีเพียงความว่างเปล่า เพราะหากเขาอยู่บ้านคงไม่มีเหตุผลให้ผิดนัดกับเธอ
หญิงสาวแวะร้านสะดวกซื้อและกลับขึ้นรถด้วยของสองสามอย่าง ก่อนจะขับออกไปและจอดมันลงยังสวนสาธารณะที่เป็นทางผ่านกลับบ้าน สวนที่ยามเย็นเธอมักจะเห็นคนพลุกพล่านประจำ แต่เวลาเกือบสี่ทุ่มแบบนี้มันเงียบสงัดไร้ซึ่งผู้คน แม้จะดึกแล้วแต่ก็มีไฟให้ความสว่างทั้งข้างทางและเสาตามทางเดินใน ทั้งไม่ได้น่ากลัวสำหรับความรู้สึกของเธอในตอนนี้
ร่างระหงดูบอบบางน่าทะนุถนอมเดินถือกระเป๋าแบรนด์เนมของและถุงที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อไปหาม้านั่งเพียงลำพัง เธอหยิบเค้กก้อนเล็กที่ราคาไม่กี่สิบบาทออกมาพร้อมกับเทียนในกล่องปักลงหนึ่งเล่ม
วันเกิดที่ซื้อเค้กให้ตัวเองก็น่าขำไม่น้อย
“ขนาดความสว่างของชีวิตยังไม่มีเลย” แต่แล้วก็ต้องเอ่ยขึ้นอย่างน่าเวทนาอีกครั้ง เมื่อเธอลืมซื้อไฟแช็กที่จะจุดให้ความสว่างทั้งที่ตั้งใจจะอวยพรให้ตัวเองในวันเกิดแท้ๆ
น่าเศร้าเกินไปแล้วที่แม้แต่แสงสว่างดวงน้อยๆ จะจุดส่องประกายให้ตัวเองยังสิ้นหวัง
และ...
“ให้ยืม”
