ตอนที่ 18
"ป้าแขเป็นญาติของคุณหรือคะ"
"เราไม่ได้เป็นญาติอะไรกันหรอก ป้าแขเป็นพี่เลี้ยงของแม่ผม เป็นคนที่เลี้ยงผมมาด้วย ท่านมาอยู่กรุงเทพหลังงานศพแม่ผม ถึงไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติแหละ"
"คุณเป็นคนที่ไหนคะ อย่าตอบว่าเป็นคนทุกที่นะ ฉันทุบคุณจริง ๆ ด้วย"
ลักษิกาทำท่าเงื้อกำปั้น ปรวีร์หัวเราะออกมาเบา ๆ
"พ่อผมเป็นพ่อเลี้ยงอยู่เชียงใหม่"
"อ้าว...แล้วพ่อแท้ ๆ ละคะ ไปอยู่เสียที่ไหน"
ปรวีร์หันมามอง คิดว่าเธอแกล้งอำเขา แต่พอเห็นเธอทำหน้างง เขาก็หัวเราะขำ
"นี่คุณไม่เข้าใจคำว่าพ่อเลี้ยงใช่ไหม พ่อเลี้ยงที่ผมพูดถึง ไม่ได้แปลว่าไม่ใช่พ่อแท้ ๆ แต่หมายถึงผู้ชายที่มีฐานะ เป็นที่นับหน้าถือตา ทางเหนือเขาจะเรียกว่าพ่อเลี้ยง แต่ถ้าเป็นผู้หญิง...ก็จะเรียกว่าแม่เลี้ยง ทีนี้เข้าใจหรือยัง"
ลักษิกาพยักหน้า
"ขอโทษค่ะ...ฉันไม่รู้จริง ๆ อ่ะ แล้วบ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดจากเจ้าคุณตาของคุณจริง ๆ เหรอคะ หรือคุณแค่พูดเล่น"
"จริงครับ...เพราะมีบ้านนี้ให้อยู่ ผมถึงไม่ต้องไประเหเร่ร่อนที่ไหน ผมคิดมาหางานทำเลี้ยงตัวเอง ไม่อยากง้อพ่อ แต่ก็เป็นคนรักอิสระ ไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร ผมใช้เงินจากมรดกของแม่ที่ทิ้งไว้ให้ ก็ไม่ได้มากมายอะไร กู้แบงก์มาอีกนิดหน่อย มาเปิดบริษัทเดลิเวอร์รี่เล็ก ๆ ของตัวเอง ก็มีรายได้พอเลี้ยงชีพได้สบาย ผมจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งของเองทุกวัน มันสนุกไม่น่าเบื่อดี"
"ชีวิตคุณก็โลดโผนดีนะ"
"ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม"
"ถามเรื่องอะไรคะ"
"แผลเป็นที่หน้าคุณ ไปโดนอะไรมาเหรอ ทำไมคุณไม่ทำศัลยกรรมล่ะ"
ลักษิกาเอามือลูบแผลเป็นที่หน้า
"ตอนที่ฉันอายุ 10 ขวบ ฉันถูกญาติที่เป็นลูกสาวป้า ผลักไปชนกระจกตู้โชว์ หน้าฉันถูกกระจกบาดจนเป็นแบบนี้ ฉันศัลยกรรมมา 3 ครั้งจนเหลือแผลแค่นี้แหละ หมอบอกว่าแผลมันลึกมากค่ะ"
"แล้วที่คุณเกือบถูกลักพาตัวเนี่ย คุณสงสัยใครบ้างไหม"
"ฉันสงสัยป้าสะใภ้...ก็แม่ของคนที่ทำฉันเสียโฉมนี่แหละ ป้าสะใภ้ฉันเป็นคนโลภมาก ฟุ้งเฟ้อจนจมไม่ลง พอลุงฉันตาย...เขาก็ผลาญสมบัติของลุงฉันจนหมด มักจะมาขอเงินพ่อฉันบ่อย ๆ พ่อฉันก็ตัดรำคาญ...ให้ไปทุกครั้ง พอฉันกลับมา...ฉันก็ไม่ยอมสิ พ่อแม่ฉันทำงานอย่างเหนื่อยยาก เรื่องอะไรจะให้ป้าสะใภ้ฉันมาชุบมือเปิบล่ะ ฉันเลยขวางทุกทาง ไม่ยอมให้พ่อใจอ่อนไปช่วยอีก"
"เรื่องแค่นี้เองเหรอ ถึงต้องให้คนมาจับตัวคุณ"
"ฉันก็ไม่รู้หรอก ว่าจะจับฉันไปทำไม แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ขนาดคิดมาพังงานหมั้นของฉัน คงไม่มีอะไรที่ป้าขวัญตาทำไม่ได้แล้วล่ะ"
"ห๊า!...คุณมีคู่หมั้นแล้วเหรอ"
ปรวีร์ก้มมองนิ้วเรียวเหมือนแท่งเทียนของเธอ ที่เกลี้ยงเกลาไม่มีแหวนเลยสักวง
"ทำไมนิ้วคุณถึงไม่มีแหวนล่ะ"
"หมั้นเสร็จฉันก็ถอดเก็บสิคุณ จะใส่ออกมาให้นิ้วขาดเหรอ"
"ทำไมคุณไม่ไปขอความช่วยเหลือจากคู่หมั้นคุณล่ะ"
ลักษิกาส่ายหัวดิก
"ไม่เอาค่ะ...เราไม่ได้เต็มใจหมั้นกันสักหน่อย เขาคงไม่สนใจจะช่วยฉันหรอก ฉันกำลังจะหาทางถอนหมั้นเขาอยู่ด้วย"
"อ้าว..."
ปรวีร์ส่ายหัว
"คุณยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่าวันนี้คุณหงุดหงิดเรื่องอะไร"
"ตอนที่ผมกลับมาบ้าน พ่อก็โทรมาพอดี เขามาอ้อนวอนขอให้ผมกลับไปบ้าน"
"คุณไม่ยอมกลับบ้าน แต่กลับมาเครียดแทนเนี่ยนะ"
ปรวีร์ก้มหน้าถอนใจ
"คุณอยากกลับ...แต่กลับไม่ได้ ก็เหมือนฉันแหละ อยากกลับ...ก็กลับไม่ได้ ฉันน่าจะเครียดมากกว่าคุณอีกนะ"
"แต่คุณไม่ได้กำพร้าเหมือนผมนี่ คุณยังมีพ่อแม่ที่รักและเป็นห่วง ส่วนผม...แม่เสียไปแล้ว มีพ่อก็เหมือนไม่มี แบบนี้ใครน่าจะเครียดกว่ากันล่ะ"
ลักษิกาค้อน ที่เขาไม่ยอมแพ้
"ปัญหาของคุณ...เล็กกว่าฉันตั้งเยอะ อย่างน้อย...แม่เลี้ยงก็ไม่คิดจะฆ่าคุณเหมือนป้าของฉัน"
ลักษิกาก็ไม่ยอมแพ้ ปรวีร์หัวเราะ ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขามีอะไรคล้าย ๆ กันหลายอย่าง ทำให้พูดคุยกันได้อย่างสบายใจ
