บทที่ 5 นักต้มตุ๋นน้อย
ธรณีทางเข้าวัดเฉินหลิงสูงตระหง่านตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาเงียบสงัด เพราะอากาศชื้นอยู่ตลอด อีกทั้งยังผ่านร้อนผ่านลมฝนมาหลายร้อยปี เสาและขอบธรณีจึงเกิดตะไคร้สีเขียวขุ่นเกาะอยู่ บริเวณโดยรอบโอบล้อมด้วยไม้ยืนต้นทั้งใหญ่และเล็กงอกเงยรวมกันประหนึ่งกำแพงพรางตา
วัดเฉินหลิงแต่เดิมก็เป็นวัดที่ปลีกวิเวกตัดขาดจากโลกภายนอก สภาพโดยรอบจึงดูทรุดโทรมลงไปมาก แม้จะเก่าคร่ำคร่าทว่ากลับเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบและอ่อนโยนดุจดั่งธารานิ่งไร้ระลอกคลื่น ผู้ที่บังเอิญพบเห็นอาจคิดว่าน่าหวาดกลัว แต่สำหรับไป๋เฉินเซียงแล้ว นางรู้สึกว่าที่แห่งนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่น
ไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองป้ายชื่อวัดซึ่งสลักอยู่บนแผ่นศิลาผุพังพลางทรุดตัวนั่งด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง เสียงหอบหายใจหนักหน่วงสะท้อนก้องไร้จังหวะ ริมฝีปากบางเฉียบยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ส่งไปจนถึงดวงตา
วัดเฉินหลิง ข้ามาถึงแล้วสินะ
ไป๋เฉินเซียงไร้ซึ่งกำลังขาให้ก้าวต่อ นางจึงพักเอาแรงอยู่หน้าประตูชั่วครู่ เพราะเมื่อหลายชั่วยามก่อนต้องวิ่งเท้าเป็นระวิง ทั้งที่กระโดดลงจากรถม้าซึ่งวิ่งเร็วปานลมกรดจนร่างสะบักสะบอม ไป๋เฉินเซียงเร่งเดินทางจนลืมไปว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตลอดทั้งวัน นัยน์ตาทั้งสองฝั่งพร่าเบลอลงไปมาก ไป๋เฉินเซียงสลัดศีรษะเพื่อเรียกสติ กระนั้นบรรยากาศโดยรอบก็ยังกลับด้านสลับหมุนจนสับสนอลหม่าน
นางกำลังจะหมดสติเพราะสิ้นเรี่ยวแรง!
หิวจัง...
เสียงฝีเท้าของใครบางคนเยื้องย่างดังสวบสาบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทว่ายามนี้นางมองเห็นเพียงปลายเท้าอีกฝ่ายเท่านั้น
“คุณชาย ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะ ไป๋เฉินเซียงประคองสติ พยายามแหงนหน้าขึ้นเนิบนาบ แม้มองอีกฝ่ายไม่ชัดแจ้ง ทว่าเงาเลือนรางของเขาบ่งบอกว่าต้องเป็นนักพรตของที่นี่อย่างแน่นอน
“ทะ...ท่านนัก...”
ไม่ทันจบประโยค สัมปชัญญะของไป๋เฉินเซียงก็พลันปลิดปลิวไปดั่งสายลมกระแสหนึ่ง…
.
.
ณ จวนสกุลไป๋
“ท่านพี่จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ นางหนีไปแล้ว นี่ท่านสั่งคนให้ออกค้นหานางจริงหรือไม่ คงมิใช่ว่าท่านพี่เองก็ช่วยนางปิดบังหรอกนะเจ้าคะ” หยางปิ่งอี้กระสับกระส่ายดั่งพายุกำลังคืบคลานเข้ามา อ้อมแขนโอบศีรษะบุตรสาวปลอบประโลมอยู่ไม่ห่าง
เสียงร่ำไห้ของไป๋อีถิงดังขึ้นเป็นระยะ บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าภูมิฐานปรากฏเค้าอึมครึมขึ้น เขาถอนหายใจนับหลายสิบครั้ง ยิ่งได้ยินเสียงร่ำร้องกระจองอแงของบุตรสาวคนโตก็ยิ่งหงุดหงิด
“ถิงเอ๋อร์ เจ้าสงบใจก่อนได้หรือไม่ ข้ายังไม่บอกสักคำว่าจะส่งเจ้าไปแทนนาง เจ้าก็เช่นกัน…” ไป๋จื่อเหิงหันไปสบตาฮูหยินของตนอย่างนึกคาดโทษ เขาเอ่ยเสียงเย็น “ให้ท้ายลูกจนเสียคน ควรช่วยกันคิดแก้ปัญหา ใช่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไร”
“ฮื่อ…”
ไป๋อีถิงได้ยินเสียงบิดาต่อว่าก็ยิ่งแผดเสียงร้องลั่น หยางปิ่งอี้ลูบศีรษะปลอบใจบุตรสาว สายตาจับจ้องสามีพลางส่งค้อนวงใหญ่ “ท่านพี่ พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก หากตามตัวลูกสาวตัวดีของท่านกลับมาไม่ได้ ท่านเองย่อมรู้ดีว่า คนที่ต้องแต่งเข้าไปเป็นอนุย่อมหลีกไม่พ้นถิงเอ๋อร์!”
ไป๋จื่อเหิงถอนหายใจ เขายกมือคลึงขมับ “แล้วจะให้ทำอย่างไร เหลือเวลาหนึ่งเดือน อีกเดี๋ยวก็ตามตัวเซียงเซียงเจอแล้ว นางแค่ความจำเสื่อมอาจจะเผลอออกไปเที่ยวเล่นแล้วจำทางกลับเรือนไม่ได้ก็เท่านั้น”
หยางปิ่งอี้อ้าปากค้าง ไม่ทันพ้นวาจาใดออกมา ก็มีเสียงบ่าวชายดังเอะอะขึ้นเสียก่อน
“นายท่านขอรับ”
“เข้ามา” ไป๋จื่อเหิงผินหน้าไปทางต้นเสียง
บ่าวรับใช้นายนั้นสาวเท้าเข้ามาด้านใน สายตากลอกมองหยางปิ่งอี้ด้วยความประหวั่น กระทั่งเหลือบมองไป๋อีถิงในอ้อมกอดมารดา ความรู้สึกไม่ค่อยดีก็ถาโถมเข้ามาอีกระลอก
“คือ…นายท่านขอรับ เรื่องคุณหนูรอง…”
“อึกอักอะไรของเจ้า เร่งพูดมาให้ไว เจอนางแล้วใช่หรือไม่ ไยไม่ลากนางมาพบพวกเรา!” หยางปิ่งอี้ตะเบ็งเสียงลั่น ยิ่งบ่าวนายนั้นแสดงท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ นางก็ยิ่งหงุดหงิด
“ว่าอย่างไร” ไป๋จื่อเหิงสำทับ
บ่าวรับใช้เข่าอ่อน พลันทรุดกายลงด้วยขาอันสั่นเทา “เรียนนายท่าน พวกเราตามหาคุณหนูรองมาครึ่งค่อนวันแล้ว รถม้าทุกคัน ผู้คนทุกคนที่มุ่งหน้าออกจากเมืองก็ได้รับการตรวจค้นทั้งหมด ทว่ายังไม่พบตัวคุณหนูรองขอรับ”
ดั่งถูกกระแสอสนีบาตฟาดลงกลางกระหม่อม เส้นเลือดตรงขมับหยางปิ่งอี้เต้นเร้า ตุบ ตุบ “บัดซบ พวกเจ้าทำงานอย่างไร เลี้ยงเสียข้าวสุก!”
เคร้ง!
แจกันกระเบื้องเนื้อดีถูกขว้างลงบนพื้นจนแตกกระจาย บ่าวนายนั้นหวาดกลัวเสียจนหัวหด ร่างของเขาสั่นสะท้าน “ฮูหยินใหญ่ นายท่าน บ่าวสมควรตาย”
“สมควรตาย พวกเจ้ามันสมควรตายจริง ๆ หากวันนี้หานางไม่พบ ก็อย่าโผล่หัวกลับมา!” หยางปิ่งอี้บันดาลโทสะ
“พอแล้ว!” ไป๋จื่อเหิงตวาด
สรรพเสียงรอบด้านสงบลงชั่วพริบตา เขากระแทกกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขัดเสียงดังสนั่น จากนั้นเอนหลังพิงพนักด้วยสีหน้าสับสน
“ฮูหยิน เจ้าพาลูกไปพักเถิด เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
หยางปิ่งอี้ขบฟันแน่น “ก็ได้ ข้าจะรอดูว่าท่านจะจัดการเช่นไร ท่านเองก็คงรู้ดีหากหาตัวนางไม่พบ กรรมจะมาตกที่ใคร”
“เจ้าเอาแต่ใจมากไปหน่อยแล้ว เซียงเซียงก็เป็นลูกของข้าเช่นกัน อีกอย่างคนที่อยากส่งลูกสาวเข้าไปไม่ใช่ความคิดเจ้าหรอกหรือ เพียงเพื่ออยากให้สกุลหลานหนุนหลัง เจ้ากลับต้องทำให้ข้าขายลูกสาวกิน”
หยางปิ่งอี้สวน “หากท่านมีปัญญามากพอหาใช่เพียงขุนนางขั้นหก มีหรือสกุลไป๋ต้องทำเช่นนี้ ท่านมันไม่ได้เรื่อง!”
หยางปิ่งอี้สะบัดกายด้วยความเดือดดาล สองแม่ลูกประคองกันเดินจากไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ไป๋จื่อเหิงมองตามแผ่นหลังพวกนางก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง
เป็นจริงเช่นนางว่า หากสกุลไป๋มียศขุนนางสูงขึ้นอีกหน่อย ไหนเลยจะต้องพึ่งบารมีผู้อื่นเช่นนี้กันเล่า
เซียงเซียงเจ้าหายไปไหนกัน เจ้าไม่เคยหัวรั้นเช่นนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่
.
.
หุบเขาท้ายวัดเฉินหลิง บุรุษร่างสูงตระหง่านยืนเด่นสง่าท่ามกลางพงไพรสีเขียวขจี นัยน์ตาคมเข้มสงบนิ่งทว่ากลับมองตรงอย่างไร้จุดหมาย เท้าอันเปลือยเปล่าเหยียบอยู่บนขอบหินของบ่อน้ำพุร้อน ควันจาง ๆ จากไอระอุพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศพร้อมไอน้ำตีปะทะเข้าร่างดุจยืนท่ามกลางแดนหิมพานต์เมืองเซียน
“ท่านพร้อมแล้วหรือไม่”
ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบเรื่อย “ท่านนักพรตเริ่มกันเลยเถิด”
นักพรตชราหันมององครักษ์ข้างกายอีกฝ่าย จากนั้นพยักหน้าส่งสัญญาณ
หลีซงค้อมศีรษะตอบกลับ เขาช่วยประคองร่างสูงให้ลงไปยังบ่อน้ำพุร้อนด้วยความระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพไหวแน่หรือขอรับ”
“วางใจเถิด เจ้าอย่าลืมว่าศึกทางน้ำเราล้วนผ่านมาแล้ว แค่ต้องอยู่ใต้น้ำเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ต่อให้ครึ่งก้านธูปข้าก็แน่ใจว่าข้าทำได้”
แค่เพียงคิดว่านายของตนต้องกลั้นหายใจอยู่ใต้บ่อน้ำพุร้อนเป็นเวลายาวนาน อวัยวะภายในของหลีซงก็บิดเกร็งขึ้นโดยไร้สาเหตุ
นักพรตกล่าว “ไม่ต้องกังวล การรักษาเช่นนี้ไม่ถึงแก่ชีวิต แม้ไม่อาจช่วยให้ท่านแม่ทัพมองเห็นได้ในพริบตา ทว่าหากดวงตาไม่ได้บอดสนิทแล้วจริง ๆ ย่อมต้องมีโอกาสหายขาดอย่างแน่นอน”
หลีซงได้ยินนักพรตชราที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาผู้เป็นดั่งหมอเทวดาหัตถ์เทวดาอันดับหนึ่งเขาก็เบาใจ
เสียงทุ้มจากบุรุษที่ยืนท่ามกลางบ่อน้ำดังขึ้น “เช่นนั้นรอช้าอยู่ไย”
“ท่านอาจารย์เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”
แต่แล้วนักพรตน้อยก็ปรากฏกาย ทุกคนต่างหันไปสนใจเขาเป็นตาเดียว
เพราะบ่อน้ำพุร้อนหลังหุบเขาตั้งอยู่ในพื้นที่ซับซ้อน กว่าจะเดินทางมาถึงจึงกินเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม เป็นเหตุให้ผู้มาเยือนหอบหายใจเหนื่อยอ่อน
“เกิดเรื่องใด ไยเร่งร้อนปานนี้”
ครั้นรวบรวมสติและหายใจคล่องขึ้นมาหน่อย นักพรตน้อยก็ตอบกลับ “มีคนผู้หนึ่งหมดสติที่หน้าวัดขอรับ
นักพรตน้อยไม่กล้าตัดสินใจพาคนข้ามประตูเข้ามาโดยพลการ แต่เดิมการที่คนผู้หนึ่งจะดั้นด้นหาวัดเฉินหลิงพบมิใช่เรื่องง่าย หรือแทบเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ วัดเฉินหลิงมีการตั้งค่ายกลเอาไว้อย่างแน่นหนา หากไม่ได้รับอนุญาตมีหรือจะริอ่านทลายค่ายกลพรางตามานอนพังพาบที่หน้าประตูทางเข้าได้
นักพรตชราถาม “เป็นบุรุษหรือสตรี”
นักพรตน้อยเกาปลายคางขบคิด “เอ่อ…น่าจะบุรุษนะขอรับ จากเครื่องแต่งกาย ศิษย์ว่าเขาน่าจะเป็นบุรุษ”
ชายหนุ่มที่อยู่กลางบ่อน้ำพุเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง
นักต้มตุ๋นน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาจริงสินะ
เชิงอรรถ
เวลาหนึ่งถ้วยชา ประมาณ 15 นาทีสำหรับฤดูร้อน และไม่ถึง 10 นาทีสำหรับฤดูหนาว
1 ก้านธูป 一炷香 = ครึ่งชั่วยาม = 4 ถ้วยชา = 1 ชั่วโมง
