บทที่20 ใกล้กันอีกนิดจะจูบแล้วนะ
1สัปดาห์ต่อมา
“ปิดเทอมนี้ไปเที่ยวกันไหม” รมิตาเอ่ยถามเสียงตื่นเต้นเมื่อนึกถึงหัวข้อสนทนาที่เธอกำลังพูดถึง การปิดเทอมกำลังจะมาถึงในอีก1เดือนข้างหน้า รมิตาจึงอยากจะใช้เวลาไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ในช่วงปิดเทอมบ้างหลังจากที่ตอนปีหนึ่งนั้นเธอใช้เวลากับปถวีและการดูแลหลานเสียส่วนมาก
“พูดอย่างกับว่าพี่ปืนจะยอมให้ไป” ตฤณรดาแทรกขึ้นในทันทีในวงสนทนาตอนนี้มีพลอยวารินทร์ อรณุกา รมิตา เธอและรวีวรรณเพื่อนผู้แสนดีที่สุดในกลุ่มที่กว่ารมิตาจะพามาเป็นเพื่อนด้วยได้นั้นต้องลำบากลำบนพิสูจน์ความสามารถไม่ใช่น้อย
“ก็ยอมดิ แต่พี่ปืนจะไปด้วย พี่ปืนบอกถ้าจะไปเที่ยวกันเดี๋ยวพี่ปืนออกค่าใช้จ่ายเอง ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่ากินค่าเที่ยวยันค่าเครื่องบิน” รมิตาเอ่ยบอกอย่างภาคภูมิใจ
“ไม่อวดสาเลยค่ะคุณนายรมิตา” อรณุกาที่กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่มเอ่ยอย่างที่เล่นทีจริงไม่ได้จิกกัดดั่งเช่นก่อนหน้านี้
“ก็แหม่ มีสาดีต้องอวดสิ” รมิตาเอ่ยอย่างภูมิใจสะบัดผมใส่อย่างไม่แคร์ก่อนที่จะหัวเราะออกมาแล้วถามย้ำเรื่องเดียว “แล้วตกลงว่าไง ไปเที่ยวกันไหมปิดเทอมนี้”
“เราไป ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยอ่ะ ชวนน้องซีไปด้วยดีกว่า” พลอยวารินทร์เอ่ยบอกแม้ว่าเธอจะไม่รู้จักกับรมิตาและอีกสามคนมาก่อนแต่ก็สามารถปรับตัวเข้ากับทั้งสามคนได้ในเวลาเพียงไม่นานที่เทียบโอนมาเรียนที่นี่
“ไป ๆ คุณต้องไปด้วยสิ ชวนพี่สิงโตไปด้วยถือโอกาสเติมความหวานกระชับความสัมพันธ์ไง” อรณุกาตอบรับพร้อมกับเสนอแนะเชิญชวนตฤณรดาให้พาสิรดนัยไปด้วย
“นั่นดิ พี่สิงโตน่ะไม่ได้ไปเที่ยวไหนนานมากแล้ว ทำแต่งานมานานน่าจะพักผ่อนบ้าง” พลอยวารินทร์เสริมด้วยความเห็นด้วย “ภูเก็ตไหม”
“เป็นความคิดที่ดี” ตฤณรดาเห็นด้วยอย่างยิ่งที่พลอยวารินทร์จะไปภูเก็ต “แล้วตัวสองคนล่ะ”
“เราโอเคนะ เพราะเรามีกันแค่กับพี่ชายไม่ต้องขออนุญาตใคร แล้วก็ไม่มีพี่ชายไปคุมด้วยเพราะพี่ชายเราต้องช่วยดูร้านให้คุณปืน” รวีวรรณเอ่ยบอก พี่ชายของเธอนั้นทำงานเป็นผู้ช่วยของปถวีหลายครั้งที่ปถวีไม่อยู่งานก็จะถูกฝากไว้กับพี่ชาย
“ส่วนเราก็คงชวนแต่พี่แบงก์กับเมียพี่เขานั่นล่ะ พ่อกับแม่พากันหนีไปเที่ยวตั้งแต่จบงานแต่งพี่แบงก์แล้วดีเหมือนกันไม่แน่ขากลับเราอาจจะได้หลานมาเฉยชม” อรณุกาบอกก่อนที่จะหันไปทางรมิตาผู้เสนอแผนเที่ยวปิดเทอม “ตัวว่าไง”
“ก็ดีนะ บ้านแม่บุญธรรมพี่แป้งอยู่ที่นั่นด้วย เราจะชวนพี่เมศกับพี่แป้งแล้วก็น้องมิ้นไปด้วยจะได้ไปเยี่ยมแม่กับพี่บุญธรรมของพี่แป้งด้วยเลย ” รมิตาเอ่ยบอก่อนที่ทั้งสี่คนจะยิ้มให้กัน พี่เมศและพี่แป้งนั้นเป็นพี่ชายและพี่สะใภ้ของรมิตาส่วนน้องมิ้นนั้นเป็นหลานสาววัย3ขวบที่กำลังน่าเอ็นดู “โอเคตกลงเป็นภูเก็ตนะ ที่พักและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ พี่ปืนออก แต่ค่าตั๋วเครื่องบินคุณนายรับผิดชอบด้วยนะคะ”
“ส.บ.ม.ย.ห สบายมากอย่าห่วง เชื่อมือคุณนายได้” ตฤณรดาอมยิ้มนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าด้วยความสุข ถ้าสิรดนัยไปด้วยได้จริง ๆ มันจะเป็นทริปที่ดีมาก ๆ
เย็นวันนั้น
“นะคะ” น้ำเสียงออดอ้อนถูกส่งมาให้หลังจากที่บอกเล่าเรื่องไปเที่ยวให้ฟัง เธอกำลังอ้อนชวนเขาไปด้วย
แต่คำตอบของสิรดนัยกลับทำให้คนชวนถึงกับหน้าหงอยลง “พี่ไม่ว่าง พี่มีประชุมผู้ถือหุ้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณต้องเข้าใจ” ปากนั้นราชนิกูลสาวบอกว่าเข้าใจแต่ใบหน้านั้นไม่ได้สดใสเลยสักนิด ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะให้ชายหนุ่มไปด้วย
สิรดนัยลอบมองใบหน้าเศร้าซึมนั้นแล้วก็ลอบยิ้ม “แต่พี่เป็นผู้บริหารพี่เลื่อนประชุมได้นะ”
ตฤณรดาหันมอบขวับ รู้ทันทีว่าตัวเองเสียรู้เข้าให้แล้วจัง ๆ มือที่ทีแรกอยู่เฉย ๆ จึงยกขึ้นไปหยิกแก้มคนแกล้งทำเธอใจแป้วอย่างแรง “นี่แหนะ บิดให้แก้มช้ำไปเลยกล้ามาทำคุณต้องใจแป้ว”
“เจ็บนะคุณต้อง” สิรดนัยบอกพร้อมทั้งเอนตัวหนีมือบางแต่แรกหยิบไม่น้อย เมื่อชายหนุ่มเอนตัวหนีคนตัวเล็กก็ขยับตามอย่างหมายมาด เธอจะต้องหยิกแก้มสิรดนัยให้ช้ำให้ได้
“มือหนักจริงเราเนี่ย” เขาบอกพร้อมรวมมือทั้งสองข้างที่ประทุษร้ายแก้มเขาอยู่ไว้ ขืนปล่อยให้ทำต่อมีหวังแก้มเขาช้ำหมดพอดี
“ก็มาแกล้งคุณต้องก่อนทำไมเล่า ไอ้เราก็เสียใจไปแล้ว ฮึย” คนเสียรู้บอกอย่างแสนงอน
“ไม่เอาไม่งอนนะครับ พี่สิงห์ขอโทษนะ พี่แค่อยากรู้ว่าถ้าพี่บอกว่าไม่ไปคุณต้องจะเสียใจหรือเปล่า เท่านั้นเองนะ อย่างอนเลยนะ” สิรดนัยง้อด้วยความตรงไปตรงมา เมื่ออยู่กันนานเข้ามันก็จะมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้น ความรู้สึกที่อยากรับรู้ว่าตนเองมีผลในใจต่ออีกฝ่ายมากน้อยแค่ไหน เขาอยากรู้ว่าเธอจะเสียใจหรือไม่ถ้าเขาบอกว่าไม่ไป
“แล้วรู้หรือยังล่ะ” สาวเจ้ายังถามอย่างแสนงอน ไม่หายงอนง่าย ๆ หรอกมาทำให้ใจแป้วกันแบบนี้น่ะ เธอต้องเอาคืนบ้าง มือที่ถูกปล่อยจากการเกาะกุมยกขึ้นกอดอกอย่างแสนงอน
“ก็คิดว่ารู้แล้วล่ะ” สิรดนัยตอบแต่คนถามกลับกลับเงียบเชิดหน้างอนใส่ เมื่อครู่เธอใจเสีย แต่ตอนนี้เห็นจะเป็นเขาเสียแล้วที่ใจเสีย “คุณต้องครับ หายงอนหน่อยสิ”
ไม่พูดเปล่า นิ้วเรียวสวยยังสะกิดไหล่คนตัวเล็กด้วยไม่วายคนขี้งอนขยับไหล่หนี แม้ใบหน้าจะยังคล้ายงอน ๆ แต่ในใจตอนนี้มีแต่ความสนุก ‘ต้องให้ใจเสียเสียบ้าง เพราะแคร์ใช่ไหมหน้าถึงหงอยลงอย่างนั้น น่าแกล้งจริง ๆ’
ใบหน้าคบคายชักร้อนลนเมื่อสาวเจ้าไม่หายงอนง่าย ๆ เขารู้ได้ด้วยตัวเองเลยว่าใบหน้าตัวเองตอนนี้เหมือนลูก ๆ หลาย ๆ ตัวแสดงออกเมื่อยามเขาจะไปทำงานเลย หงอยเสียไม่มี
“ฮึก ฮะฮะ ดูทำหน้าเข้าสิเหมือนอะไรหนอ” ในที่สุดคนไม่ยอมหายก็หลุดหัวเราะออกมา “หน้าเหมือนเจ้าตัวนั้นเลย”
ปลายนิ้วเรียวเล็กชี้ไปที่เลโอนี่และผองเพื่อนที่นั่งมองเขาและเธออยู่บนพื้นก่อนที่หญิงสาวจะหัวเราะออกมาสิรดนัยไม่โกรธแต่กลับยิ้มออกมา “ขนาดนั้นเชียว”
“ไม่รู้สิ” เธอบอกก่อนที่จะหัวเราะต่อ แต่เหมือนเลโอนี่จะไม่ชอบให้เธอหัวเราะนักเจ้าชิสุตัวน้อยจึงกระโดดขึ้นมาใส่เสียจนเธอจะหงายหลังตกจากม้านั่งมันจะไม่เป็นอะไรถ้าม้านั่งตัวนี้มีพนักแต่มันเป็นเรื่องเพราะไม่มี
มือหนารีบคว้าร่างบางเข้ามาตัวก่อนที่ร่างของเธอจะหงายหลังตกแม้ว่าม้านั่งตัวนี้จะไม่สูงมากแต่ตกลงไปกระทบพื้นไม้อย่างไรก็เจ็บ เขาไม่มีทางยอมให้ตฤณรดาเจ็บตัวหรอก ตฤณรดาเองก็ยกมือขึ้นคล้องคอชายหนุ่มตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเช่นกัน ส่วนเจ้าตัวก็เรื่องนั้นกระโดดลงจากตักหญิงสาวและวิ่งลงจากตัวบ้านไปพร้อมสมัครพรรคพวกเรียบร้อยแล้ว
“คุณสิงโตครับ อุ๊ย”เสียงของตะวันดังขึ้นพร้อมกับร่างที่วิ่งขึ้นบันไดมาแต่พอได้เห็นภาพตรงหน้าจึงได้แต่หน้าซีดที่มาผิดเวลา “ดะ เดี๋ยวผมมาใหม่ครับ”
ตฤณรดาได้สติจากเสียงของเด็กหนุ่มแต่ก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมตะวันต้องเอ่ยเสียงตะกุกตะกักก่อนจะมองรอบ ๆ ตอนนี้เธอกับสิรดนัยอยู่ในสภาพคล้ายเขาประคองกอดเธอและคล้ายกำลังสวีตหวานกัน “เดี๋ยว ๆไม่ใช่อย่างนั้น”
ราชนิกูลสาวรีบปฎิเสธเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของตะวันทันทีเพราะไม่อยากให้ตะวันมาเสียเที่ยวในขณะที่สิรดนัยยังคงอยู่ในสภาพเหมือนเดิม ความจริงเขานัดให้ตะวันขึ้นมาเพื่อจะมอบหนังสือที่เป็นประโยชน์ให้เด็กหนุ่มไปอ่านแต่ตอนนี้เขาชักอยากให้ตะวันเข้าใจผิดและรีบออกไปก่อน เขาจะได้อยู่กับตฤณรดาแค่สองคนอีกสักพัก
“เดี๋ยวผมมาใหม่ทีหลังดีกว่าครับ” ตะวันบอกก่อนที่จะวิ่งราวนักกีฬาลมกรดเหรียญทองลงจากตัวบ้านไปทันที ความว่องไวของตะวันทำเอาตฤณรดาได้แต่ถอนหายใจพรืด
“ไวจริง ๆ เลย” ได้แต่บ่นในขณะที่ใบหน้านั้นเห่อร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตะวันจะไม่คิดไปไกลว่าเธอยั่วยวนเจ้านายมาดนิ่งของเขาใช่ไหม นายคนนั้นตั้งแต่วันที่เธอมาที่นี่ก็มองเธอราวกับเธอจะมาล่อลวงและกลั่นแกล้งสิรดนัยอยู่แล้ว ยิ่งนับวันเจ้านายเขาเริ่มไม่แสดงสีหน้านิ่ง ๆ เงียบขรึมเย็นชายิ่งไปกันใหญ่ บางวันเจ้าหนูตะวันยังพูดให้เลโอนี่ฟังเลยว่าตั้งแต่เธอเข้ามาคุณสิงโตก็เปลี่ยนไปไม่รู้ว่าเธอทำอย่างไร
สิรดนัยมองใบหน้าเห่อร้อนนั้นเงียบ ๆ เขาพอเดาความคิดตฤณรดาออกนะ แต่น่ากลัวว่าตฤณรดาจะเข้าใจตะวันผิดไปแล้ว เจ้าเด็กคนนั้นไม่ได้มีอะไรหรอกเป็นแค่เด็กหนุ่มขี้สงสัยเท่านั้นเอง ไม่ได้มองเธอไม่ดีเลยสักนิด
ในขณะที่สิรดนัยมองใบหน้าเห่อร้อนนั้นอยู่ดี ๆ สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมีบางอย่างบนมาเข้าตาเขา“โอ๊ะ”
“พี่สิงห์เป็นอะไรอะ” มือขวาที่กอดร่างบางไว้คลายออกยกขึ้นหมายจะขยี้ดวงตาข้างขวาที่มีบางสิ่งมาทำให้ระคายเคืองแต่มือบางกลับจับไว้เสียก่อน “อย่าขยี้ เดี๋ยวจะหนักกว่าเดิม”
“แสบ” เขาบอกแค่นั้นก่อนที่ตฤณรดาจะขยับเข้ามาใกล้
“เดี๋ยวคุณต้องเอาออกให้นะ” หญิงสาวบอกก่อนที่จะเป่าลมไปที่ดวงตา มือบางยกขึ้นเขี่ยสิ่งที่มาทำให้สามีของเธอระคายเคืองและแสบร้อนจนน้ำตาคลอออกไป สิรดนัยมองการกระทำนั้นดวงรอยยิ้มเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่ระคายเคืองนั้นออกไปแล้วเหลือเพียงอาการแสบตา
“แสบมากไหมคะ” เธอถามพร้อมกับมองใบหน้าคมในระยะห่างไม่ถึง10เซนติเมตร การได้มองหน้าได้สบสายตามันทำให้เธอต้องยอมรับกับตัวเองเลยว่ามีผลกับหัวใจดวงน้อย ๆ เอามาก ๆ
ตฤณรดาขยับออกแต่กลับถูกรวบกอดด้วยสัมผัสอ่อนโยน “รู้ไหม ถ้าใกล้กันอีกนิดจะจูบแล้วนะ”
“จูบได้ไหม?” เขาถามด้วยน้ำเสียงกึ่งถามกึ่งอ้อนพาลให้คนถูกถามใบหน้าร้อนฉ่า จะทำอะไรทำไมต้องมาถามเธอด้วยเล่า ถึงเธอไม่ใช่กุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วแต่ก็ไม่ได้ก๋ากั่นพอจะกล้าตอบรับหรือปฏิเสธคำถามทำนองนี้นะ
“ไม่ตอบถือว่าได้นะ” สิรดนัยเอ่ยก่อนที่จะเลื่อนริมฝีปากลงทาบสัมผัสกับกลีบปากนุ่มละมุนอย่างแผ่วเบาตฤณรดาได้แต่หลับตาลงด้วยความเขินอาย เธอไม่ชินเลยสักครั้งที่เขาจูบเธอ หัวใจมันเต้นตึกตัก ๆไปหมดแต่ก็ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาจะนำทาง แม้ว่าภายในอกข้างซ้ายจะเต้นแรงเสียจนน่ากลัว อาการแบบนี้จะเรียกว่าอะไรดีล่ะหลงรักเจ้าของจูบเหรอ? มันยังน้อยไป...เรียกว่าเธอรักและคลั่งใคล้เขายังจะง่ายกว่า
จูบนี้ของสิรดนัยไม่ใช่แค่สัมผัสที่ริมฝีปากเหมือนครั้งก่อน ๆ ที่เขาหยุดแค่แตะริมฝีปากเพื่อสร้างความคุ้นชินให้แก่หญิงสาวก่อนแต่กลับลึกซึ้งกว่านั้นเขาใช้เวลานี้ดื่มด่ำกับโพรงปากหวานหอมและหวังจะละเลียดความหวานนี้ให้หนำใจโดยไม่มีใครเข้ามาขวาง หัวใจภายในอกแกร่งเต้นรัวทุกครั้งที่เข้าใกล้ตฤณรดา ทุกครั้งที่สัมผัส ทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดหัวใจดวงนี้มักจะเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาชอบเธอเหรอ ไม่หรอกมันคือความรักที่แทรกลึกเข้าในใจเขาเรื่อย ๆ ต่างหาก ยิ่งใกล้ชิดเขายิ่งรักและหวงแหนมากขึ้นมากเสียจนอยากกลืนกินเธอทั้งตัวและเก็บซ่อนเธอไว้ไม่ให้ไอ้ผู้ชายคนไหนได้พบเห็น
แต่เขารู้ดีว่าเวลานั้นยังมาไม่ถึง เขายังต้องรอคอยไปก่อน ตอนนี้เขายังไม่อาจเก็บซ่อนเธอไว้คนเดียวได้ มันยังไม่ถึงเวลา...
มือขวาประคองลำคอหญิงสาวจากด้านหลังอย่างทะนุถนอมเมื่อร่างบอบบางอ่อนยวบลงในอ้อมแขน คล้ายว่าถูกเขาสูบพลังชีวิตไปหมดก่อนที่เขาจะผละออกอย่างอ้อยอิ่งแม้จะถอนจูบออกแล้วเขายังคงคลอเคลียอยู่กับใบหน้าร้อนฉ่าไม่ยอมห่าง
“คุณสิงโตครับ คุณกลางกับเพื่อนคนอื่น ๆ มาครับ” เสียงตะโกนจากด้านล่างดังขึ้นก่อนจะมีเสียงสนทนากันที่ด้านล่าง สิรดนัยถอนหายใจน้อย ๆ จะมีสักครั้งไหมที่เขาจะได้ใช้เวลากับตฤณรดานาน ๆ เนี่ย ทำไมกวินดนัยต้องมาตอนนี้ด้วยนะ ‘เดี๋ยวพ่อไม่ยกน้องสาวให้เสียหรอกขัดเวลาคนอื่นดีนัก’
“พะ พี่กลางกับเพื่อนมาหาไม่รีบลงไปเหรอ” หญิงสาวถามเสียงไม่มั่นคงนักด้วยความเขินอาย นับว่าแต้มบุญเธอยังพอมีตะวันจึงไม่ปล่อยให้กวินดนัยและเพื่อนคนอื่น ๆ พรวดพราดขึ้นมาเหมือนอย่างทุกที ‘เอ๊ะ ตะวันคงไม่ไปใส่ร้ายป้ายสีเธอให้พี่กลางกับคนอื่น ๆ ฟังหรอกนะยัยต้อง’
“คุณต้องไปอาบน้ำอาบท่าเถอะครับ เดี๋ยวพี่ลงไปหานายกลางกับเจ้าพวกนั้นก่อนแล้วเดี๋ยวถึงเวลาทานข้าวพี่จะขึ้นมาเรียก ถ้าพี่ไม่เรียกห้ามลงไปนะเพื่อนพี่บางคนขี้หลีใส่คนสวยเก่งนักเชียว พี่หวง” สิรดนัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวงแหน ที่มาวันนี้ไม่ได้มีแค่กวินดนัย อาทิตยะและเมฆินทร์อย่างแน่นอน ยังต้องมีชัชวินทร์ และอาจจะมีอีกสามสี่คนที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย เจ้าพวกขี้หลีที่เจอกันทีไรเขาปวดหัวทุกที เจ้าพวกนี้ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในป่าบ้าง อยู่แท่งขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลบ้าง อยู่บนเครื่องบินบ้าง อยู่สถานทูตบ้างไม่ค่อยได้พบกันเท่าไหร่นัก แต่ถ้าได้มีโอกาสรวมตัวกันล่ะก็เขาต้องกุมขมับเป็นแน่แท้
“รับทราบค่ะ” หญิงสาวตอบรับก่อนจะลุกขึ้นและวิ่งไปยังห้องนอนในทันที สิรดนัยทอดสายตามองตามด้วยสายตาแสนรักก่อนจะหยิบหนังสือที่หมายจะให้ตะวันเดินลงไปข้างล่าง กลุ่มเพื่อนของเขานั่งพูดคุยเฮฮากันอยู่ที่ศาลาริมสระบัวโดยมีตะวันคอยยืนฟังอยู่ด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ลมอะไรหอบมาฮึ” เขาถามออกไปสั้น ๆ ก่อนจะยื่นหนังสือให้ตะวันและส่งสายตาให้เด็กหนุ่มออกไป
“ลมแห่งความรักและคิดถึงไงสิงโตที่รัก อะไรน่ะเค้าไปอยู่กลางทะเลตั้งนานกว่าจะได้เจอไม่คิดถึงเค้าเหรอ” ปราณพงศ์ เพื่อนหนุ่มผู้หายหน้าหายตาไปอยู่แท่งขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลนานถึง4ปีเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงดัดจริตราวกับหญิงสาวกำลังถามแฟนหนุ่มของตัวเองอย่างน้อยใจ สิรดนัยได้แต่ถอนใจนอกจากปราณพงศ์จะขี้หลีแล้วยังดัดจริตอีกต่างหาก เล่นเสียหลายคนยังสงสัยว่าชายแท้หรือไม่เลย สายตาคมปรายตามองแก้วที่มีเท่าจำนวนคนพร้อมทั้งน้ำแข็งและขวดน้ำสีอำพันที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้งอย่างเหนื่อยหน่าย เดาได้ไม่ยากเลยว่าเจ้าหนูตะวันโดนพวกขี้หลีจ้างให้ไปหามา คืนนี้เจ้าพวกนี้คงไม่กลับเชื่อสิ
“ไม่น่ากลับมานะ แล้วนี่...?”
“ไม่น่าถาม นาน น๊าน จะมารวมกันได้สักทีก็ตั้งวงสิครับท่านผู้บริหาร” สราวุธ เพื่อนผู้เป็นนักบินทำงานในสายการบินซันชายเอสทีแอร์ไลน์แต่หาเวลาเจอผู้บริหารยากเย็นเสียเหลือเกินเอ่ยบอกพร้อมกับยื่นแก้วที่เติมน้ำแข็งและน้ำสีอำพันเรียบร้อยแล้วมาให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพร้อมกับกอดคอชายหนุ่มานั่งลงข้าง ๆ
“พวกนายดื่มเถอะ ฉันขอบายล่ะ ข้าวเย็นยังไม่ได้กินเลย” หนุ่มเจ้าของบ้านบอกปัด นอกจากเขาจะไม่ดื่มกับเพื่อนเพราะยังไม่ทันได้แตะข้าวเย็นสักเม็ดแล้ว เขายังรู้สึก...เกรงใจหญิงสาวด้วย คงไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบใจที่สามีดื่มแอลกอฮอร์นักหรอก
“ยังไม่กินข้าวแล้วไปกินอะไรมาครับเพื่อน ปากถึงได้เปื้อนสีชมพูอ่อน ๆ เอ ท่านผู้เชี่ยวชาญครับ รอยแบบนี้รอยอะไรครับ” ชัชวินทร์เอ่ยถามแซว ๆ ก่อนจะหันไปถามนักการทูตหนุ่มนักรักผู้เชี่ยวชาญไปเสียทุกเรื่องอย่างทินภัทรเมื่อสังเกตเห็นรอยลิปสติกที่เปื้อนติดริมฝีปากของสริดนัย
“ไหนดูสิ เฮ้ยเพื่อน ไปกินปากใครมาวะครับ” ทินภัทรรับมุกชัชวินทร์และถามออกมาเสียงดังราวกับตกใจ
“เพ้อเจ้อ”คนโดนเพื่อนเล่นงานว่าด้วยท่าทีนิ่ง ๆ ทั้งที่ความเป็นจริงสุดแสนจะเขิน
“เพ้อเจ้อที่ไหน ไหนดูอีกทีซิ ลิปผู้หญิงชัด ๆ ยังจะบอกว่าเพ้อเจ้ออีกเหรอ” ทินภัทรเถียงแล้วก็หันไปยังตัวเรือนอุ่นรัก “เอ ในห้องกระจกสุดวิเศษจะซ่อนใครไว้ไหมน๊า นายรู้ไหมไอ้แบงก์”
“รู้ดิ เป็นสาวน้อยเว้ย สาวน้อยแสนสวยด้วยเว้ย” อาทิตยะตอบไปในขณะที่คนเป็นเจ้าของบ้านนั้นยกมือขึ้นกุมขมับ มันจะมาแซวอะไรเขากันนักหนางานการไม่มีทำกันหรือไง
“พอ ๆ เลิกแซวกันสักที” สิรดนัยบอกพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากของตัวเองพร้อมกับยิ้มเขิน เขาไม่ไหวจะนิ่งกับคนพวกนี้แล้ว นี่ล่ะเขาถึงไม่พาตฤณรดาลงมาด้วยมันขี้แซวกันแบบนี้ไงล่ะ “ข้าวเย็นคงเสร็จแล้วมั้ง ไปกินข้าวก่อนนะ”
“เดี๋ยว ๆ จะไม่ชวนเพื่อน?” กวินดนัยที่เงียบปล่อยให้สิรดนัยถูกรุมมาตลอดเอ่ยถามเมื่อเจ้าของบ้านหาทางชิ่งไปจากพวกเขาแบบหน้าด้าน ๆ ด้วยความเขินเป็นครั้งแรก
“กินกันมาแล้วมั้ง” สิรดนัยบอกแล้วก็ได้รับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมาจากเพื่อนทุกคน แน่นอนว่านั่นแทนคำตอบได้อย่างดีว่าเจ้าพวกนี้จะมากินข้าวบ้านเขา
“เอาที่สบายใจเลยครับเพื่อน” คนเป็นเจ้าของบ้านบอกก่อนจะเดินนำไปโดยมีเพื่อน ๆ ที่นาน ๆ จะมารวมกันทีเดินตามมาด้วยเสียงหัวเราะ สิรดนัยเหลือบมองอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเลี่ยงไปตามตฤณรดาที่ห้อง จะให้หญิงสาวทานอาหารเย็นในห้องคนเดียวก็ไม่ได้เขาจึงจำใจต้องยอมให้เพื่อนได้กวนใจหญิงสาว บางคนที่เธอรู้จักแล้วก็คุยง่ายหน่อยแต่เจ้าพวกขี้หลีขี้แซวที่หญิงสาวไม่เคยเจอนี่สิ เขาว่าไม่ใครก็ใครล่ะต้องกุมขมับกันไปข้าง เขาหวังว่าคนนั้นจะไม่ใช่ภรรยาของเขานะ ‘หวังว่าคุณต้องจะแผลงฤทธิ์จัดการเจ้าพวกนี้ให้กุมขมับได้นะ’
