บทที่13 ความสัมพันธ์แปลกประหลาด
ในขณะที่ยายกับหลานกำลังเตรียมตัวรอรับการมาเยี่ยมเยียนของหลานชายและพี่ชายคนเป็นหลานและพี่ชายของคนทั้งคู่นั้นกำลังนั่งดูการนำเสนอโครงร่างของคอนโดมิเนี่ยมแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาแอบเหลือบมองนาฬิกาอยู่บ่อยครั้ง
“ฉันชอบโครงร่างที่ลูกน้องคุณนำเสนอมากนะคะคุณต้อม แต่ได้ยินมาว่าคุณต้อมเองก็จบสถาปนิกมา ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากร่วมงานกับคุณต้อมมากกว่าลูกน้องกิ๊กก๊อก” หญิงสาวผู้เป็นลูกค้าของบริษัทเอ่ยบอก เธอเป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนี่ยมสาวที่ประสบความสำเร็จมาพอสมควรในวงการธุรกิจ เจตนาของเธอเด่นชัดว่าต้องการสานสัมพันธ์กับหม่อมหลวงหนุ่มจนเตชินทร์ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ผู้หญิงประเภทนี้เขาค่อนข้างพบเจอบ่อยครั้งหลังจากเข้ามาบริหารงานยังบริษัทแห่งนี้
“น่าเสียดายนะครับ พอดีผมเพิ่งรับงานของคุณพ่อตาไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง แต่ถึงผมจะไม่ได้เข้าไปคุมงานส่วนนี้คุณวิวก็ไม่ต้องกังวลว่างานจะออกมาไม่ดี ทีมที่ผมจะส่งไปทำโครงการของคุณวิวเนี่ยเป็นทีมที่ดีที่สุดของบริษัท ทีมช่างได้มาตรฐาน วิศวกรฝีมือดี และที่สำคัญสถาปนิกเป็นคนที่ผมไว้ใจที่สุด ผมมั่นใจว่างานจะออกมาดีครับ ผมเชื่อมั่นในตัวเพื่อนของผมเพราะเขาเก่งกว่าผมเยอะเลย” เตชินทร์เอ่ยบอกพร้อมหันไปยังสถาปนิกหนุ่มที่เป็นเจ้าของโครงร่างของคอนโดมิเนี่ยมเมื่อสักครู่อย่างสัณหณัฐเพื่อนรักที่เขาดึงมาทำงานด้วย คู่เกย์ของเขาในสายตาใครหลายคน
“คุณวิมาดาไม่ต้องห่วงนะครับ โปรเจคต์นี้ผมจะพยายามให้เต็มที่เพื่อให้งานออกมาดีที่สุดครับ” สัณหณัฐเอ่ยบอกราวกับรู้ใจเพื่อนว่าต้องการให้ช่วยทำอะไรสักอย่าง “ความจริงคุณต้อมก็อยากจะคุมงานนี้นะครับแต่บังเอิญว่าคุณพ่อของภรรยาคุณต้อมเนี่ยท่านต้องการสร้างเรือนหอให้กับลูกชายท่านน่ะครับ เลยให้คุณต้อมดูแลเรื่องนี้ให้ พ่อภรรยาต้องมาก่อนสิครับว่าไหมล่ะ”
ด้วยท่าทีสุภาพคำพูดคำจาน้ำเสียงน่าฟังของสัณหณัฐที่เปล่งออกมานั้นทำให้วิมาดาต้องนิ่งไป ครั้งแรกเธอตกใจที่หม่อมหลวงเตชินทร์นั้นไม่โสดครู่ต่อมาเธอเริ่มรู้สึกสนใจสถาปนิกหนุ่มขึ้นมาแทนที่เสียแล้ว ท่าทีสุภาพนั้นทำให้เธออึ้งไป ในตอนแรกเธอไม่ได้สนใจชายหนุ่มคนนี้สักนิดแต่พอได้ยินน้ำเสียงน่าฟังกับกิริยาอ้อนน้อมสุภาพเข้าให้มันทำให้เธอรู้สึกว่าเขาก็หล่อเหลาและน่าสนใจมากทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไว้ใจคุณค่ะ คุณ?” เธอเว้นเพื่อเจตนาให้เขาแนะนำตัว
“ผมสัณหณัฐครับ เรียกผมว่าเพื่อนก็ได้” ชายหนุ่มแนะนำตัวก่อนที่จะยิ้มอย่างสุภาพ “นี่ก็เกินเวลางานมาพอสมควรแล้ว ผมคิดว่าเราควรปิดการประชุมในวันนี้ได้แล้วนะครับ หรือคุณวิเห็นว่ายังไงครับ”
“โอเคค่ะ ดิฉันอนุมัติโปรเจคต์นี้ หวังว่างานของเราจะไปได้ดีนะคะ” วิมาดาเอ่ยบอกก่อนที่จะลุกขึ้นยื่นมือออกไปด้านหน้าของสัณหณัฐ ชายหนุ่มยื่นมือไปจับเขย่าตามธรรมเนียนต่างชาติก่อนเตชินทร์จะสั่งปิดการประชุมด้วยดวงตาเปล่งประกาย
วิมาดาและคนอื่น ๆ ไปแล้วสองหนุ่มจึงเดินออกจากห้องประชุม เตชินทร์เร่งรีบในขณะที่สัณหณัฐนั้นก้าวเดินด้วยท่วงที่ธรรมดาไม่เร่งรีบและไม่เชื่องช้าแต่จุดหมายปลายทางของทั้งคู่คือที่เดียวกันซึ่งก็คือร้านกาแฟและเบเกอรี่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทแห่งนี้
ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดแต่เพราะมีสายเร่งด่วนจากลูกค้าเอาแต่ใจอย่างวิมาดาเข้ามาเตชินทร์จึงต้องให้เลขาเรียกทีมของสัณหณัฐเข้าบริษัทด่วนทั้งที่ในตอนที่หญิงสาวโทรมานั้นหม่อมหลวงยังหนุ่มรับภรรยาในนามออกจากบ้านของพ่อแม่บุญธรรมหญิงสาวได้ครึ่งทางแล้ว ใครคงไม่รู้แต่สัณหณัฐรู้ดีว่าเตชินทร์หงุดหงิดและไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ เพราะตลอด3ปีมานี้เพื่อนเขาแทบไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยกับปานมุกเลยจนกระทั่งสัปดาห์ก่อนที่หม่อมตรีประดับบอกว่าอยากพบเจอหลานสะใภ้ เตชินทร์จึงได้มีโอกาสได้สนทนากับภรรยาของตัวเองแต่โอกาสมันก็มีน้อยนิดเมื่อวิมาดาโทรมาด่วนขัดการจะเอ่ยปากสนทนากับปานมุกของเตชินทร์ เตชินทร์หงุดหงิดมากถึงมากที่สุด
ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่นั้นแปลกประหลาดและน่าอ่อนอกอ่อนใจยิ่งกว่าคู่ของสิรดนัยกับตฤณรดาเสียอีก เพราะคนทั้งคู่ยังไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกันเลยสักนิด
“รอนานไหมคุณ?” เตชินทร์ส่งเสียงถามขึ้นทันทีที่มาถึงร้านกาแฟแห่งนี้ ร้านกาแฟร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนสนิทปานมุกซึ่งเป็นผู้หญิงที่สัณหณัฐตามเฝ้ามองมาเกือบ3ปีแต่ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุย วนเวียนมาดื่มกาแฟที่นี่บ่อยยิ่งกว่าเข้าห้องน้ำ เขาให้ปานมุกรอที่นี่ก่อนที่จะขึ้นไปคุยงานคิดว่าคงแค่ไม่กี่นาทีเสร็จแต่ความจริงปาไปกว่าชั่วโมง เธอจะโกรธเขาไหมนะ
“ไม่นานหรอก เรารีบไปเถอะ” ปานมุกเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงปกติไม่ได้มีกระแสเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจแม้แต่นิด เตชินทร์พยักหน้ารับก่อนที่จะตบไหล่เป็นการบอกลาเพื่อนสนิทและเดินนำหญิงสาวออกจากร้านไป ปานมุกเดินตามไปด้วยใบหน้าขอโทษขอโพยสัณหณัฐเมื่อหญิงสาวนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้
3ปีก่อน
“ความวายเข้าเส้นเลือดอะพี่ เคมีวายแรงเว่อร์” เสียงกระซิบของวรรณาลิน หรือ วลิน น้องสาวแท้ ๆ ของเจ้าของร้านกาแฟทำให้คนที่นั่งดื่มกาแฟหลบมุมอยู่ต้องโผล่หน้าขึ้นทอดสายตามองตามสายตาของเด็กสาวแล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อคนที่วรรณาลินว่าเคมีวายแรงนั้นเป็นคนที่เธอรู้จัก
“ยัยวายมโน” วรรณวสาหรือวสา เจ้าของร้านสาวสวยเอ่ยว่าให้น้องสาวก่อนที่จะส่ายหน้าพรืดแล้วก่อนจะเข้าไปต้อนรับชายหนุ่มทั้งสองที่เดินคุยกันเข้ามาร้าน เธอได้ยินจากพนักงานของบริษัทตึกข้าง ๆ มาว่าหนึ่งหนุ่มในสองคนนี้เพิ่งเข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัทแห่งนี้และก็ดึงเอาชายหนุ่มอีกคนมาทำงานด้วย คนถูกดึงมาทำงานด้วยนั้นเธอได้พบบ่อยครั้งเพราะเขามาดื่มกาแฟที่ร้านเธอหลายครั้งแล้ว และบ่อยครั้งเช่นกันที่จะเห็นอีกคนตัวติดกันมาด้วย
“อ้าว มุกมาทำอะไรที่นี่เนี่ย” ชายหนุ่มผู้มีบุคลิกสุภาพเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้าของร้านสาว
“อ้อ นี่ร้านเพื่อนมุกเองจ้ะ เลยแวะมาหานะ เพื่อนมากินกาแฟเหรอ” ปานมุกเอ่ยถามญาติหนุ่ม แม้ว่าเธอจะเป็นลูกบุญธรรมของคุณวายุภัคญาติผู้พี่คุณแพรวารินทร์และคุณพรีมรดาญาติผู้น้องคุณพงศ์พยัคฆ์แต่เธอก็เป็นสายเลือดธิติธาดากุลคนหนึ่งจริง ๆ พ่อของเธอเป็นพี่ชายของคุณวายุภัคที่เสียไปตั้งแต่เธอยังเด็กเธอจึงเป็นญาติกับสัณหณัฐและพี่น้องจริง ๆ
“ครับ พอดีง่วงอะเลยมาดื่มแก้ง่วง” สัณหณัฐตอบก่อนที่จะยิ้มให้ไม่พูดอะไรต่อแต่กลับสั่งกาแฟและนั่งลงที่โต๊ะใกล้ ๆ ปานมุก
“รู้จักเหรอ?” วรรณวสากระซิบถามเพื่อนสาวหลังจากที่นำกาแฟมาเสิร์ฟ
“อือ เพื่อนเขาเป็นญาติห่างๆกับพ่อวายุกับแม่พรีมน่ะ เรามีศักดิ์เป็นญาติกัน” ปานมุกเอ่ยบอกก่อนจะยิ้มให้ชายหนุ่ม “เอ่อ มุกไปนั่งที่เดิมก่อนนะ”
“เดี๋ยว ๆ” ชายหนุ่มร้องห้ามทั้งที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร “มีอะไรเหรอ”
“เอ่อ... อ้อ พอดีเพื่อนเรียกให้คุณต้อมน่ะ คุณต้อมมีเรื่องจะคุยด้วย”คนถูกถามบอกก่อนที่จะโยนเรื่องไปให้เพื่อนหนุ่ม เตชินทร์ถลึงตาใส่คนที่อยู่ ๆโยนเรื่องมาให้
“คุณมีอะไรเหรอคะ?” ปานมุกหันมาถามด้วยท่าทางสงสัยแต่ก็เรียบนิ่งตามนิสัย
“เอ่อ... ก็ ถ้าไม่มีอะไรผมคุยกับคุณไม่ได้เหรอ?” เมื่อเพื่อนโยนมาเตชินทร์ก็ต้องตามน้ำไปไม่หักหน้าเพื่อนใจต้องช้ำใจ
“ถ้าไม่มีอะไรเราอย่าคุยกันดีกว่าค่ะ ฉันยังไม่รู้ว่าควรคุยอะไรกับคุณ” เปรี้ยง! ราวกับมีเสียงฟ้าฝ่าในใจของชายหนุ่มหญิงสาวรับรู้ได้ เขาคงไม่คิดว่าคนที่เป็นภรรยาในนามจะพูดออกมาได้ร้ายกาจแบบนี้สินะ และอาจไพร่คิดไปว่า มิน่าล่ะ เจ้าหล่อนถึงไม่ค่อยพูด เพราะพูดแล้วมันร้ายกาจแบบนี้เอง
“เอ่อ ขอโทษค่ะ พอดีฉันก็เป็นคนพูดแบบนี้ล่ะ อาจจะใช้คำพูดไม่ถูกต้อง ต้องขอโทษด้วยนะคะ” ปานมุกบอกก่อนที่จะลากวรรณวสากลับไปที่โต๊ะด้วยกลัวเธอจะทำให้ใครบางคนช็อคตายคาร้าน
“ยะ ยังโอเคไหม” คนเป็นเพื่อนถามเมื่อสองสาวจากไปแล้วแต่เตชินทร์ยังนิ่งค้าง เสียงของทั้งคู่นั้นเข้าหูสองสาวด้วยเพราะโต๊ะอยู่ไม่ไกลกันนัก
“อือ” เตชินทร์ตอบกลับเบาๆในขณะที่ในใจอยากจะวิ่งไปชนประตูร้านให้หัวแตกลืมๆคำพูดร้ายๆนั่นไปซะก่อนที่วรรณวสาจะลากเพื่อนสาวไปที่หลังเคาต์เตอร์แทนพอหันไปทางสองหนุ่มอีกทีจึงเห็นคนทั้งคู่ช่วยกันทำอะไรสักอย่าง เตชินทร์ขยับมานั่งโต๊ะตัวข้างๆสัณหณัฐและช่วยกันดู ช่วยกันทำงาน แม้ว่าในเวลานี้ทั้งสองจะดูจริงจังแต่คนอื่นที่หันมองมากลับรู้สึกแปลกๆโดยเฉพาะบรรดาสาววาย
“ออร่าความวายจับมากอะ” วรรณาลินที่มานั่งกับพี่สาวเอ่ยบอกและก็ได้รับคำส่งเสริมจากปานมุกที่แอบมีความวายซ่อนอยู่ในตัว “นั่นดิ ดูๆไปแล้วเหมือนคู่เกย์เลยอะ ถ้าจะมโนวายนี่ผิดไหมอะแก”
“บ้า คุณเสื้อขาวน่ะคล้ายเกย์อยู่ แต่คุณเสื้อดำ ฉันว่าเขาเป็นผู้ชายนะ ไม่น่าเป็นคู่เกย์อะ” สาวไม่วายอย่างวรรณวสาเอ่ยก่อนที่จะมองสองสถาปนิกหนุ่มอย่างพยายามไม่ให้ความวายจากสาววายทั้งสองแผ่มาถึงเธอจนเธอคิดแบบนั้นไปด้วย
“แต่บางทีก็เหมือนคู่เกย์ดีเนาะ เอ๊ะ หรือจะใช่” เจ้าของร้านเริ่มจะคิดตามสองสาววายก่อนที่จะสะดุ้งเมื่อเห็นความใกล้ชิดของคนทั้งสองมากขึ้น
“ฉันว่าใช่นะ” ปานมุกบอกแล้วก็เงียบ ถ้าสองคนนั้นเป็นคู่เกย์กันจริงเธอนี่ล่ะจะเสียใจ ‘นี่เรากำลังจะแต่งงานกับแฟนของเพื่อนใช่มั้ย เพื่อนจะไม่เสียใจแย่เหรอ’
เพราะความทรงจำนั้นนั่นเองที่ทำให้เธอฝังใจมาตลอดว่าได้แย่งแฟนของญาติหนุ่มเข้าให้แล้ว เธอจึงไม่อยากทำตัวสนิทกับชายหนุ่มมากนักความสัมพันธ์จึงอยู่ในขั้นแปลกจะชอบก็รู้สึกผิดกับสัณหณัฐจะไม่ชอบก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ก็เขาออกจะหน้าตาดี ‘บ้าจริง เธอคิดอะไรอยู่เนี่ย’
ขายาวๆสาวเท้าตามชายหนุ่มไม่แท้(ในความคิดของเธอ)ไปติดๆในใจขบคิดว่าเธอจะห้ามใจได้ไหมเมื่อมาเจอเขาแบบนี้ ‘เกิดมาชอบคนหล่อก็น่ากลุ้มใจเสียจริง ‘
ชายหนุ่มหันมองกลับเข้าไปในร้านครู่หนึ่งก่อนที่จะชักสีหน้าไม่ชอบใจ ในความคิดของปานมุกชายหนุ่ม(แท้)คงจะหึงหวงที่ตอนนี้สัณหณัฐเข้าไปคุยกับวรรณวสา ‘มีความหึงแรงจนน่าปวดใจ’
แม้จะปวดใจที่คนหล่อของเธอหึงหวงญาติหนุ่มแต่ปานมุกก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอมันไม่มีสิทธิ์นี่นะ
“หึงเพื่อนเขาขนาดนั้นเลย” ปานมุกเอ่ยถามแม้ตอนแรกจะคิดว่าไม่มีสิทธิ์พูดแต่นี่สามีในนามเธอนะ เธอพูดได้สิ แต่พอคิดว่าเอาเถอะเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ ไม่ได้เธอยอมปวดใจเป็นเพื่อนสาว
“แหนะๆ ทำหน้างง ไม่ต้องปิดหรอกคุณ คุณกับเพื่อนเป็นคู่รักกันใช่ไหมล่ะ ฉันดูออกนะ ไม่ต้องแอ๊บหรอก” หญิงสาวยังคงพูดอย่างสบายใจทั้งที่ในใจปวดจิตปวดใจมากในขณะที่เตชินทร์ได้แต่อ้าปากจะพูดแล้วก็หุบลงอยู่อย่างนั้นราวกับพูดไม่ออก
“ต่อไปก็เห็นฉันเป็นเพื่อนสาวล่ะกัน ปล่อยตัวตามสบาย ไม่ต้องแอบ คุณเป็นนี่เอง นายนัทอะไรนั่นเขาถึงอยากได้” มันเป็นคำพูดที่ปานมุกพูดอยู่ฝ่ายเดียวในขณะที่เตชินทร์เลิกอ้าปากหุบปากแล้วเลี้ยวลดเข้าจอดข้างถนน
“คุณคิดว่าผมเป็น...” เขาเว้นคำพูดไว้แค่นั้นแต่ในใจเดือดยิ่งกว่าน้ำร้อน คนที่จดทะเบียนสมรสกับเขาขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายคิดว่าเขาเป็นเกย์ และเป็นคู่รักของสัณหณัฐงั้นเหรอ
“เป็นเกย์ ไม่ต้องปิดหรอก สาววายอย่างฉันน่ะดูออกนะ อีกอย่างนี่ยุคไหนแล้ว ยุคนี้เปิดกว้างยอมรับเรื่องรสนิยมทางเพศมากขึ้นแล้ว คุณไม่ต้องอายต้องปิดหรอก ว่าแต่...” เธอบอกก่อนที่จะหยุดคำพูดไว้ที่ว่าแต่แล้วเอ่ยถามด้วยความอยากรู้เต็มประดา ปวดใจก็ยอมล่ะ “ใครรุก? ใครรับอ่ะ?”
กรามของหม่อมหลวงเตชินทร์ขบแน่นก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าปอดราวกับพยายามอดกั้น “แล้วคุณคิดว่าผมเป็นฝ่ายรับหรือฝ่ายรุกล่ะ?”
“อืม ดูจากภายนอกแล้ว... เพื่อนสุภาพ เรียบร้อย ไม่น่าจะรุก คุณต้องเป็นฝ่ายรุกแน่ ๆ ใช่มะ อุบ...” ไม่ทันที่สาวจิ้นวายจะได้ถามจบกลีบปากบางก็ถูกริมฝีปากร้อนกระแทกและบดขยี้อย่างร้อนแรงปนดุดัน มันเป็นการจูบ และเป็นการจูบเพื่อสั่งสอน
เขาค่อยๆผละออกก่อนที่จะมองสบตาคนหาว่าเขาเป็นฝ่ายรุก “ผมเป็นฝ่ายรุกจริง แต่ผมชอบรุกผู้หญิง ผมกับเพื่อนไม่ได้เป็นเกย์ แต่ถ้าไม่เชื่อ อยากพิสูจน์ผมพาคุณไปพิสูจน์ความแมนผมได้นะ ข้างหน้ามีม่านรูด”
อึ้ง ทึ่ง คาดไม่ถึง คือสิ่งที่เกิดกับปานมุก ไม่คิดว่าเตชินทร์จะจูบเธอและไม่คิดว่าตัวเองจะเสียจูบแรกเพราะหาว่าเขาเป็นเกย์แบบนี้ ‘เขาไม่ใช่เกย์จริงดิ’
เตชินทร์ยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นอาการคล้ายๆช็อคของคนที่เขาเพิ่งสั่งสอน "ว่าไง จะให้แวะไหม"
คนคล้ายวิญญาณหลุดไม่ตอบเตชินทร์จึงยิ่งนึกอยากแกล้ง ยังพอมีเวลาอีกนิดแกล้งได้ ชายหนุ่มขับรถต่อไปจนที่สุดแล้วก็เลี้ยวเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง...ที่นั่นคือโรงแรมม่านรูด
แสงไฟฉายเข้าตาหญิงสาวจนเธอได้สติ "นี่คุณพาฉันมาทำอะไรที่นี่?"
"ก็พามาพิสูจน์ไง ว่าผมแมนทั้งแท่ง" มันเป็นคำตอบที่จงใจพูดเพื่อแกล้ง ดูๆไปแล้วทีท่าของปานมุกตอนนี้ก็ไม่ได้เงียบนิ่ง และดูน่ารักเอามาก ๆ มากจนอยากจะแกล้ง ชายหนุ่มดับเครื่องรถก่อนที่จะเปิดประตูลงจากรถอ้อมมาเปิดประตูฝั่งตรงข้าง “มา มาพิสูจน์กัน”
"คะ คุณอย่าแกล้งนะ เราต้องไปหาหม่อมยายของคุณไม่ใช่เหรอ? ท่านจะรอนานนะ ฉันไม่คิดว่าคุณเป็นเกย์แล้ว" หญิงสาวบอกอย่างหวาดๆ ใบหน้าแบบนั้นยิ่งทำให้เตชินทร์อยากจะแกล้ง ชายหนุ่มขยับมาใกล้ก่อนที่จะช้อนอุ้มหญิงสาวออกมาจากรถ
“ว้าย คุณปล่อย ไม่นะ ไม่” คนไม่รู้ตัวว่าถูกแกล้งพูดขณะที่ถูกอุ้มเข้าไปด้านในห้อง ในใจเธอตอนนี้หวาดกลัวจนอยากจะร้องไห้ และในที่สุดก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ “ฮึก”
คนที่นึกสนุกอยากแกล้งถึงกับอึ้งเมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้ออกมา “เฮ้ยคุณ ถึงขนาดร้องเลยเหรอ เฮ้ย ผมขอโทษ ผมแค่แกล้งเท่านั้น”
“ฮึก คนบ้า คุณรู้มั้ยฉันเกลียดที่แบบนี้ฮือๆ มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องแย่ๆ ฮึก คุณมันใจร้าย ขี้แกล้งฮือ” คนร้องไห้บอกก่อนที่จะร้องไห้ออกมา
“เอ่อ ทะ ทำไมต้องร้องด้วย ไม่ร้องสิคุณ ผมไม่แกล้งแล้ว” เขาบอกก่อนที่จะวางหญิงสาวลงให้ยืนอยู่กลางห้อง
“ฮือๆ คุณทำให้ฉันนึกถึงเรื่องแย่ๆ ฮือ” หญิงสาวว่าก่อนที่จะนั่งย่องๆลงร้องไห้เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต “พ่อฉันเคยพาผู้หญิงเข้าที่แบบนี้ แม่พาฉันตามมา ฮือ แม่ยิงพ่อต่อหน้าฉันแล้วฆ่าตัวตายตามในม่านรูดแบบนี้ ฮึก คุณทำให้ฉันนึกถึงเรื่องบ้าๆนี่ คนใจร้าย”
"เอ่อ..." คนฟังพูดไม่ออก พลาดครั้งเดียวชีวิตเปลี่ยน คำนี้น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้แค่พลาดแกล้งเธอไปเท่านั้นชีวิตถึงกับเปลี่ยน คงถูกเกลียดแน่นอน
“เอ่อ เลิกร้องนะคุณ ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่นะ”เตชินทร์บอกก่อนที่จะเอื้อมไปจับจูงมือหญิงสาวออกจากห้องกลับมาที่รถ
ครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้นรถของชายหนุ่มจึงมาจอดอยู่ในโรงรถของวังสิราราช
“ขอโทษนะคุณ แต่ช่วยหยุดร้องนะ ฮึบ ฮึบนะคุณ เดี๋ยวหม่อมยายก็คิดว่าผมทำร้ายคุณพอดี พี่สิงโตก็พายัยต้องมาด้วย” เขาบอกก่อนที่จะปาดน้ำตาคนเป็นภรรยาในนาม
“ฉันจะไม่ร้องแล้ว ไม่ต้องตบหัวแล้วลูบหลังเลย” เธอบอกด้วยเสียงแง่งอนก่อนที่จะก้าวลงจากรถ และคำพูดนั้นทำให้เตวินทร์อึ้ง ตกลงว่าปานมุกเป็นคนยังไงกันแน่ล่ะเนี่ย “คุณเตชินทร์ วันนี้คุณทำให้ฉันร้องไห้ คอยดูนะสักวันฉันจะป่วนชีวิตคุณ เผลอๆ ฉันอาจทำเหมือนแม่ก็ได้ถ้าคุณพาใครเข้าม่านรูด บาย"
“แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมจบอนาคตคาม่านรูดแบบพ่อคุณแน่ แต่ก่อนจะป่วนชีวิตผมเนี่ย มาอยู่ด้วยกันก่อนไหม” เขาบอกหลังจากเดินออกมายืนข้าง ๆ กัน ทั้งคู่ยังไม่เดินเข้าไปด้านในและยังไม่มีใครออกมารับจึงยังพอมีเวลาคุยกัน
“ก็ถ้าไม่เป็นเกย์ก็อยู่ด้วยกันได้นะ” หญิงสาวเอ่ยบอกก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในโดยมีเตชินทร์เดินตามไปด้วยสีหน้าระรื่น จะผิดไหมถ้าเขาเข้าใจว่าเธอตอบตกลง เขาจะได้ใช้ชีวิตแต่งงานกับเขาสักทีไม่ต้องระแวงนัทกรเหมือนที่ผ่านมาตลอด3ปี ไอ้หมอนั่นเลิกยุ่งกับน้องสาวเขาทั้งสองคนแต่ยังให้คนลอบติดตามเขาอยู่ มันต้องบ้าแน่ ๆ
เตชินทร์และปานมุกหยุดเรื่องที่คุยไว้นั้นเมื่อเข้ามาถึงห้องรับแขกของวังสิราราช สองพี่น้องที่ไม่ค่อยมีเวลาเจอกันพูดคุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผิดกับสิรดนัยและปานมุกที่สนใจหนูน้อยติณภัทรจนหม่อมหลวงตระการตาอดไม่ได้ที่จะแซวว่าสงสัยลูกพี่ลูกน้องคู่นี้จะอยากมีลูกเป็นของตัวเองแล้ว
“อยากมีลูกผมช่วยได้นะ” เตชินทร์กระซิบบอกก่อนจะถูกมองตาดุ
“ฉันแค่เอ็นดูหลาน ไม่ได้อยากมีลูกไม่ต้องสาระแนย่ะ” เธอกระซิบบอกแต่ใบหน้ากลับแดงก่ำด้วยความเขินอาย
ตฤณรดามองคู่สามีภรรยาที่ประหลาดกว่าคู่เธอหลายขุมแล้วได้แต่ลอบยิ้ม เห็นทีเธอมีแววจะได้เลี้ยงหลานขึ้นมาบ้างล่ะมั้งจากที่ก่อนหน้าที่ไม่มีเคล้าความเป็นไปได้เลย สงสัยเธอจะต้องรอติดตามอย่างใกล้ชิดเสียแล้ว
