บทที่ 3 ความรักของมารดา
บทที่ 3
ความรักของมารดา
หนีไปกันเถอะ
ราวกับทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่ง อี้เตอเงยหน้าขึ้นมองฝูงชนที่กำลังหลั่งไหลมาที่กระท่อมหลังน้อยของตนด้วยความเจ็บปวดและสับสน จนเขาเผลอกัดฟันกระทบกันดัง กึก กึก กึก อย่างไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตอย่างไรดี
“เด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ชาวบ้านที่เพิ่งตามมาสมทบร้องถาม คืนนี้มีการจัดเวรยามเดินตรวจตราตลอดทั้งคืน ไม่ว่าจะมีเหตุดีหรือร้ายเกิดขึ้นในหมู่บ้าน ข่าวสารก็จะถูกส่งต่อไปยังทุกหลังคาเรือนอย่างรวดเร็วราวกับไฟไหม้หญ้าแห้ง
“เด็กผู้หญิง!”
เสียงตะโกนบอกต่อๆ กันไปดังกึกก้องราวกับเสียงยมทูตขาวดำกำลังมารับดวงวิญญาณก็ไม่ปาน อี้เตอเห็นเช่นนั้นก็รีบก้มลงคำนับทุกคนอย่างขอร้อง
“ทุกท่านได้โปรดฟังคำอ้อนวอนจากข้า ขอให้ข้าได้ไปบอกเรื่องนี้กับภรรยาก่อนเถอะนะ ตอนนี้นางทั้งเจ็บและบอบช้ำจากการคลอดลูก ข้าจึงอยากจะบอกเรื่องนี้กับนางด้วยตนเอง”
“จริงดังที่เจ้าพูด เรื่องนี้ละเอียดอ่อนนัก เข้าไปบอกเมียเจ้าเถอะ ข้าอนุญาต”
ท่านผู้เฒ่าเอ่ยอนุญาตโดยไม่รอฟังความคิดเห็นของใครทั้งนั้น เพราะถือว่าตนนั้นอาวุโสที่สุดในหมู่บ้าน
“ขอบพระคุณขอรับท่านผู้เฒ่า”
อี้เตอก้มลงใช้หน้าผากโขกลงไปที่ผืนดินหลายครั้ง ก่อนจะหันไปหาหมอเพื่อขออุ้มเด็กน้อยในอ้อมกอดไปให้ภรรยา
นาทีที่เขาได้สัมผัสเด็กน้อยในอ้อมกอดนั้น มันช่างเต็มตื้อไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา แต่เขาจะทำอย่างไรได้เล่า
หนึ่งชีวิตในอ้อมกอด หรือจะสู้อีกหลายร้อยชีวิตที่รออยู่นอกกระท่อม ยังไงเขาก็ไม่อาจฝืนชะตาฟ้าดิน หากเขาคิดขัดขืนทุกคนจะต้องตายกันหมดรวมทั้งเขาด้วย ซึ่งเขายังไม่อยากตาย เขายังอยากมีชีวิตอยู่!
‘ยกโทษให้พ่อด้วยนะเจ้าตัวน้อย’
ชายหนุ่มน้ำตาคลอก่อนจะเปิดประตูกระท่อมเข้าไป แล้วรีบปิดประตูลงทันที
“ท่านพี่...”
จิ่วเม่ยลืมตาขึ้นมองสามีด้วยความอ่อนแรง กระนั้นนางกลับรีบหยัดกายลุกขึ้นนั่งกึ่งนอนแล้วยื่นมือทั้งสองข้างออกมาเบื้องหน้าเพื่อรับลูกน้อยมากอดไว้แนบอก
อี้เตอส่งบุตรสาวตัวน้อยให้ภรรยา นางตระกองกอดเอาไว้อย่างแผ่วเบาทะนุถนอม ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเล็กๆ เขี่ยที่ปากกระจิริดของเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดู
“น่ารักน่าชังเหลือเกินลูกแม่ ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่า ‘เซี่ยวอิง’ เจ้าจะเป็นทั้งความรักและความหวังของแม่ นับจากนี้เจ้าจงเติบใหญ่อย่างแข็งแรงนะลูกรัก”
จิ่วเม่ยอวยพรให้บุตรสาว ก่อนจะบรรจงจูบลงบนหน้าผากน้อยๆ ที่แสนน่ารักน่าชัง
“แอ๊ะ!”
เด็กตัวน้อยยังไม่ลืมตา แต่กลับส่งเสียงอ้อแอ้เมื่อได้รับได้รับสัมผัสอบอุ่นจากมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหูน้อยๆ ได้แนบลงบนอกซ้ายทำให้ได้ยินเสียงหัวใจของมารดาที่แสนคุ้นเคยตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์
“ดูเอาเถอะ เจ้าช่างน่ารักเสียจริง”
จิ่วเม่ยหัวเราะทั้งน้ำตา มันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจและความอิ่มเอมอย่างไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกนี้ออกมาเป็นถ้อยคำใด
ตอนที่เด็กน้อยยังอยู่ในท้องนั้น นางเฝ้าทะนุถนอมดูแลมาเป็นอย่างดี ความรักความผูกพันค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อยทีละน้อยจนครบเก้าเดือน
แล้วเมื่อได้เห็นหน้าสายเลือดในอก จิ่วเม่ยก็รู้ได้ในทันทีว่าหัวใจของนางได้วางไว้ในกำมือของเด็กหญิงตัวน้อยเสียแล้ว เด็กคนนี้ทำให้หัวใจของนางพองฟู เฝ้าสัญญากับตนเองว่าจะปกป้องดูแลด้วยชีวิต
นี่สินะ ‘ความรักของแม่’ มันยิ่งใหญ่จนนางก็ไม่คาดคิดว่าจะสามารถมอบความรักเช่นนี้ให้กับใครได้
“จะ...จิ่วเม่ยข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกเจ้าเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงเครียดขรึม และขอบตาที่แดงก่ำของสามีทำให้รอยยิ้มของจิ่วเม่ยค่อยๆ เลือนหาย นางมองหน้าสามีนิ่งนานอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ เพื่อให้สามีบอกเรื่องสำคัญแก่นาง
“มีอะไรหรือ ท่านพูดมาเถอะ”
เรื่องราวทั้งหมดพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากหนาของผู้เป็นสามี เมื่อได้ฟังแววตาของหญิงที่เพิ่งให้กำเนิดเด็กทารกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นแววโรจน์ด้วยความกรุ่นโกรธ
นางก็ยิ่งกระชับเด็กในอ้อมกอดเอาไว้แน่น กัดฟันกรอดจนสันกรามปูดโปน มองใบหน้าสามีอย่างคาดคะเน ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“พวกเราหนีไปกันเถอะ หนีไปจากคนใจร้าย พาลูกหนีเข้าป่าไปไม่ต้องพบเจอผู้ใด”
“จะ...จะ...จิ่วเม่ย”
อี้เตอได้ยินดังนั้นก็ถึงกับติดอ่างไปชั่วขณะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดขึ้นเม็ดโต
ว่ากันว่า... ความเป็นแม่นั้นเกิดขึ้นพร้อมกับลูกน้อยที่เริ่มฟูกฟักอยู่ในครรภ์ ส่วนความเป็นพ่อนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้เห็นหน้า ได้ฟูมฟักเลี้ยงดู ได้ผูกสายสัมพันธ์ ความเป็นพ่อจึงจะเกิดขึ้น คำกล่าวนี้คงจริงเสียยิ่งกว่าจริงเมื่อผู้เป็นพ่ออย่างอี้เตอไม่มีความเมตตาให้กับสายเลือดของตนเองแม้เสี้ยวขณะจิต
จิ่วเม่ยยิ้มเศร้ารู้คำตอบของสามีในทันที สายตาของนางยามมองสามีเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง
