เทียนจื่อซาน
แผ่นดินใหญ่แห่งหนึ่งที่ไร้ชื่อเรียกชัดเจน นามของมันแตกต่างไปในแต่ละท้องที่ แต่หากพูดถึงมันทุกคนล้วนเข้าใจว่าหมายถึงที่ใด แผ่นดินนั้นมีแคว้นน้อยใหญ่อยู่หลากหลาย บ้างรุ่งเรือง บ้างล่มสลายจนสิ้นชื่อ
แต่ละดินแดนมีจุดเด่นต่างกัน ทั้งการเกษตร
การประมง หรือปศุสัตว์ ไม่เด่นเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง แต่แคว้นที่รุ่งเรืองจากการค้านั้นเลี่ยงชื่อแคว้นอ้ายไปไม่ได้
เหลาสุราแห่งหนึ่งโต๊ะด้านนอกสุด ชายหนุ่มวัยกลัดมันกลุ่มใหญ่กำลังเพ่งมองไปยังริมถนนอีกฟากอย่างลุ้นระทึก แม้ไม่ได้ยินเสียง แต่ก็คาดเดาได้จากท่าที
“เจ้าว่าครั้งนี้จะสำเร็จไหม”
“ข้าว่าแห้ว”
“ท่านหัวหน้าจะน่าสงสารเกินไปไหม จะทำลายสถิติตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่ได้นะ”
พวกเขาแย่งกันพูดจนแยกแทบไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใครบ้าง แต่จุดมุ่งหมายเดียวก็ยังเป็นคนที่อยู่อีกฟากถนน หญิงสาวจากร้านขายบะหมี่เริ่มทำท่าลำบากใจ ชายหนุ่มที่อยู่ข้างกันนั้นก็มีท่าทีประหม่าแล้วเช่นกัน
“แม่นางไม่มีเวลาสักนิดเลยหรือ” เทียนจื่อซานเกาศีรษะแก้เก้อ ในใจหวังเพียงสักนิดให้อีกฝ่ายตอบรับมา
“ท่านพูดแบบนี้ข้าลำบากใจนะเจ้าคะ”
“เวลาดื่มชาสักนิดก็ไม่ได้เลยหรือ”
“คือ…ข้า ข้าขอพูดตรง ๆ เลยนะเจ้าคะ เพราะท่านเป็นคนนิสัยดี ข้าจึงไม่อยากทำร้ายจิตใจ แต่ข้าไม่สนใจชายอื่นนอกจากสามีหรอกเจ้าค่ะ!”
“สะ...สามี?” ความรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าแล่นแปลบลงมากลางใจจนเข่าแทบทรุดตอนกลางวันแสก ๆ
“ขอโทษจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าผิดเองที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจนแต่แรก ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” ว่าแล้วนางก็วิ่งจากไป
ทิ้งหัวหน้ากลุ่มต้าหยางแห่งสำนักคุ้มภัยยืนเหี่ยวเฉาอยู่คนเดียว
สภาพน่าเวทนาของหัวหน้ากลุ่ม ทำให้เสวียนหรงจำใจต้องเดินไปลากเขากลับมาที่ร้าน จับนั่งเก้าอี้แล้วตบบ่า
ปุ ๆ อย่างให้กำลังใจ โต๊ะสองตัวที่ลากมาติดกันเงียบกริบ
มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่าน ทั้งที่อยู่ในบริเวณร้านเดียวกัน แต่บรรยากาศโต๊ะพวกเขาราวกับป่าช้าหน้าหนาวเหลือเกิน สถานการณ์ที่ไม่มีอะไรน่าทักเช่นนี้ก็ยังมีคนสมองถั่วโพล่งขึ้นจนได้
“ลูกพี่อกหักสิบครั้งแล้วนะ ปลูกแห้วได้เป็นไร่แล้วเนี่ย” กำปั้นเขกลงโป๊กทันทีที่เขาพูดจบ เกาเฟิงชุนลูบหัวตัวเองร้องโอดโอยมองรองหัวหน้าอย่างไม่เข้าใจ เห็นท่าทางของเขาแต่ละคนก็ได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจ เจ้าน้องเล็กนี่ยังพูดจาไม่ดูฝนดูแดดเหมือนเดิม โดนฟ้าผ่ากลางกบาลเลยเป็นอย่างไรล่ะ
ขณะที่ลูกน้องกลับมาเจี๊ยวจ๊าวเหมือนเดิมแล้ว
แต่ลูกพี่ใหญ่อย่างเทียนจื่อซานกลับเหมือนวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว
“หัวหน้า ข้าว่าหัวใจอันใสซื่อบริสุทธิ์ของท่านคงสงวนไว้ให้วัดวาอาราม…”
“ทำไม! ทำไมถึงเป็นข้าทุกที” เขาร้องเสียงดังแล้วยกไหเหล้ายกซดจนไหลล้นออกจากมุมปากเลอะเสื้อไปหมด แต่เสียงร่ำร้องของเขาก็ยังสู้โต๊ะอื่นในร้านไม่ได้
“ไม่ใช่ความผิดลูกพี่หรอกที่มีตาหามีแววไม่ ดูไม่ออกว่าสตรีคนไหนมีครอบครัวแล้วบ้าง”
“ไม่นะ ข้าว่าลูกพี่แค่โง่เง่าเท่านั้น”
“เกาเฟิงชุน! เจ้าเด็กนี่เอาอีกแล้วนะ ถ้าปากเจ้าว่างนั่งก็ยัดกับแกล้มเข้าไป” เสวียนหรงใช้ตะเกียบคีบ ๆ ยัดอาหารเข้าไปให้เต็มปากเจ้าตัวดี ก่อนจะพ่นอะไรไม่เข้าท่าออกมาอีก
บุรุษอกสามศอกแทบน้ำตาร่วงเผาะ เพราะโดนลูกน้องจิกกัดด้วยความบริสุทธิ์ใจ เกาเฟิงชุนทำงานดีและเป็นเด็กดีของพี่ ๆ มาก มาเสียก็แต่เขาปากพล่อยไปหน่อย จึงโดนพี่ชายทั้งหลายตบให้เข้าร่องเข้ารอยเป็นประจำ
“เอาน่าหัวหน้า อกหักแค่นี้ไม่ตายหรอก ลองใหม่ครั้งที่สิบเอ็ดก็ได้ ต้องมีสตรีสักคนที่ชอบพอท่านแน่”
“เพราะข้าอ่อนแอเกินไปหรือ” เทียนจื่อซานเริ่มตัดพ้อกับทุกอย่าง
“คนที่ตบสัตว์อสูรด้วยมือเปล่าเอาอะไรมาอ่อนแอเล่า”
“หรือท่าทางข้าน่ากลัวเกินไป?”
“บุรุษที่ดูอ่อนน้อมเหมือนเต้าหู้อย่างท่านไม่มีอีกแล้วในแคว้นอ้าย”
“ทำไมข้าไม่รู้สึกว่ากำลังโดนชมอยู่เลย” เขารู้สึกเหมือนโดนพี่น้องหลอกด่าอยู่มากกว่า
ต้าหยางเป็นการรวมรวมตัวของกลุ่มคนที่พลัดพรากจากพ่อแม่ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ และรับงานจากสำนักคุ้มภัยเลี้ยงชีพ รู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็มีสมาชิกสิบคนแล้ว ศูนย์รวมใจของทุกคนคือเทียนจื่อซาน เขาจึงได้เป็นหัวหน้า
ทุกคนสนิทกับเขาพอ ๆ กับที่นับได้ว่าเขาอกหักมากี่ครั้ง…
