ตอนที่ 4 เด็กทารก
กลางเดือนสิงหาคมปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยยี่สิบแปด
ดอมตื่นแต่เช้าเพื่อมาดูคันนา เมื่อคืนฝนตกหนักตลอดทั้งคืนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดแต่ก็ซาลงไปมาก ช่วงนี้ฝนตกชุก ไม่รู้ว่าคันนาจะขาดไปมากเท่าใดแล้ว ชายร่างใหญ่กำยำ ผิวคล้ำเข้มเพราะกรำแดดเดินแบกจอบเล่มใหญ่ไปตามคันนาเรื่อย ๆ ยังไม่เห็นจุดไหนที่คันนาขาดเลยแม้แต่จุดเดียว จะมีก็เพียงรอยรั่วที่เกิดจากไส้เดือนตัวใหญ่ที่ชอบขุดรูอยู่ตามคันนาจนทำให้คันนารั่วซึมอย่างไรก็ต้องใช้จอบขุดดินอุดรอยรั่วพวกนั้นอยู่ดี ไม่เช่นนั้นน้ำในนาข้าวก็จะเหือดแห้งไปทุกวันจนหมด
นาผืนนี้ครอบครัวของเขาขอเช่ากับพิมซึ่งเป็นแค่คนรู้จักกันในหมู่บ้าน เพราะครอบครัวทั้งฝั่งของเขาและฝั่งภรรยาไม่มีสมบัติให้ มีเพียงควายสองตัวแม่ลูกที่ตอนนี้ไถนาได้ทั้งคู่แล้ว อีกทั้งดอมกับภรรยาย้ายมาจากที่อื่นจึงไม่มีญาติอยู่ที่นี่เลย อาศัยว่าอยู่นานเกือบสิบปีจึงพอมีคนรู้จักและสนิทกันอยู่บ้าง ส่วนพิมเป็นสาวโสดอายุราวสี่สิบห้าปี เธอมีอาชีพหลักคือเปิดร้านขายของชำ อาศัยอยู่คนเดียวนาแห่งนี้จึงไม่มีใครทำให้ จากที่ดอมขอเช่าเธอจึงให้เขาทำนาแล้วแบ่งผลผลิตกันคนละครึ่งแทน ซึ่งดอมก็คิดว่าเป็นข้อเสนอที่ดี แต่บางปีน้ำก็ท่วมที่นาเกือบสองสามไร่ จึงทำให้ในปีนั้นเหลือผลผลิตไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าไม่มีที่ให้ทำกิน บวกกับรับจ้างรายวันก็พอมีเงินเลี้ยงครอบครัวอยู่โดยไม่อดอยาก
“อุแว้! อุแว้! อุแว้!”
ดอมชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงเด็กดังแว่วมาแต่ไกล เขาเงยหน้าขึ้นแล้วตั้งใจฟังอีกครั้ง เสียงเด็กก็ร้องไม่ยอมหยุด คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย เพื่อไขข้อข้องใจเขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาคิดว่าตัวเองคงหูฝาด เด็กเล็กที่ไหนจะมาร้องอยู่กลางทุ่งนาเช่นนี้ ฝนก็ยังโปรยปรายลงมาบางเบาตลอดเวลาทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นจัดจนถึงขั้นหนาว ถ้ามีเด็กจริงก็คงหนาวไม่น้อย
เขาได้ยินเสียงเด็กร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ และมองไปยังต้นตะโก ตรงนั้นมีจอมปลวกขนาดใหญ่ขึ้นอยู่รอบโคนต้นและจอมปลวกนั้นยังใกล้กับถนนที่มุ่งสู่หมู่บ้านออกไปยังถนนใหญ่ที่เชื่อมระหว่างอำเภอ
ดอมสาวเท้าให้เดินเร็วขึ้นอีก ยิ่งเดินเข้ามาใกล้เสียงเด็กร้องก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น พอเดินมาถึงใต้ต้นตะโกร่างของเขาถึงกับผงะ เด็กทารกตัวสีแดงที่ห่อหุ้มด้วยผ้าซิ่นไหมลายสวยกำลังดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่บนลานจอมปลวกพร้อมส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ตัวของเด็กเริ่มมีริ้วสีเขียวคล้ำ มดคันไฟที่หนีน้ำขึ้นมาบนจอมปลวกกำลังรุมกัดทารกตัวน้อยคนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ดอมทิ้งจอบไปอย่างไร้ทิศทาง ปรี่เข้าหาร่างเด็กทารกที่นอนอยู่บนจอมปลวกนั้นโดยเร็ว ใครนะช่างกล้านำเด็กมาทิ้งในวันที่ฝนตกเช่นนี้ได้ ใจคอช่างโหดร้ายนัก
นิ้วหยาบกร้านทั้งปัดทั้งหยิบตัวมดออกจากผิวบอบบางของเด็กราวยี่สิบตัวอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะหยิบแหวนที่ร้อยด้วยด้ายสีขาวที่ห้อยอยู่ที่คอเด็กขึ้นมาดู ตอนนี้ชีวิตเด็กสำคัญยิ่งกว่า ดอมกอดเด็กแนบอกแล้วรีบวิ่งฝ่าฝนกลับไปหาเมียกับลูกที่กระท่อมท้ายหมู่บ้าน ดีที่นาของเขาติดกับถนนแต่กระนั้นก็ยังเป็นถนนลูกรังตลอดทั้งสาย
ภรรยาและลูกทั้งสองเห็นดอมวิ่งอุ้มห่อผ้ามาก็ตกใจ พอเขาวิ่งเข้ามาใกล้จึงได้ยินเสียงเด็กร้อง “อุแว้! อุแว้! อุแว้!” เด็กยังร้องไห้เสียงดัง บางจังหวะกลั้นหายใจจนตัวเขียว
“แกไปเอาเด็กมาจากไหน” พุดจีบถามสามีเสียงสั่น เนื้อตัวก็พลอยสั่นไปด้วย
“ที่ทุ่งนาเราใต้ต้นตะโกโน่น” ดอมพยักพเยิดหน้าไปทางจอมปลวกที่นา
“ตายแล้ว! ใครช่างกล้าเอาหนูมาทิ้งได้ลงคอนะลูก” ภรรยาของดอมยื่นแขนออกไปช้อนร่างเด็กน้อยเข้ามากอดแล้วไกวไปมา ไม่นานเด็กคนนั้นก็หยุดร้อง ดวงตากลมมองคนตรงหน้าตาแป๋ว “หนูเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายลูก” พูดพลางเม้มปากไปด้วยแล้วเอียงใบหน้าออกข้างแล้วถ่มน้ำหมากสีแดงลงกับพื้น พุดจีบเริ่มกินหมากตั้งแต่อายุสิบห้าสิบหก จนตอนนี้ก็ย่างเข้าปีที่สิบสามแล้วที่เธอกินหมาก
“ผู้หญิง” ดอมบอกเมียเสียงเรียบ แต่แววตารู้สึกเป็นห่วงเด็กน้อยคนนี้เหลือเกิน ไม่รู้ว่าห่างอกแม่มากี่ชั่วโมงแล้ว
“แม่ครับผมขอดูด้วยคน” ธันวาลูกชายวัยแปดขวบร้องขอ และชะเง้อหน้าขึ้นมองเด็กในอ้อมกอดแม่
“หนูขอดูด้วยค่ะ หนูจะมีน้องแล้วเหรอคะแม่” ธารทิพย์ลูกสาววัยหกขวบก็ทำท่าอยากรู้อยากเห็นไม่ต่างกัน เธอดีใจที่จะมีน้องน้อยอีกคน
“จ้ะ” ผู้เป็นแม่ยิ้มตอบลูกแล้วเดินไปนั่งที่แคร่ไม้ไผ่หน้ากระท่อม ด้านบนมุงด้วยหญ้าคา ลูกทั้งสองจึงมองเห็นหน้าน้องได้เต็มสองตา
“น้องชื่ออะไรเหรอคะแม่” ธารทิพย์ตื่นเต้นที่จะมีน้อง
พุดจีบเงยหน้าขึ้นมองสามี แววตาของเขาแฝงความกังวลอยู่ในนั้น “เราจะตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่าอะไรดีพี่”