ตอนที่ 3 สุดยื้อ
ยุทธวีร์กลับบ้านมาด้วยใจที่ยังเป็นกังวล แม้เด็กคนนั้นจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แล้วก็ตาม ดูท่าอาการเธอคงหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน คืนนั้นเขาหลับไปทั้งที่ใจยังกระวนกระวายกับเรื่องเด็กคนนั้น
เช้าวันต่อมาเดินลงจากคฤหาสน์หลังใหญ่แล้วสั่งลูกน้องทันที “ไปโรงพยาบาล”
“ครับคุณวีร์”
มารดาทำได้เพียงมองตามแล้วเอ่ยตามหลังลูกชาย “วีร์ไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอลูก” เมื่อคืนเขาก็กลับดึกไม่ได้รับประทานอาหารเย็นร่วมกับครอบครัวด้วยซ้ำ ตื่นเช้ามาก็ยังรีบออกไปอีก
“ไม่ครับแม่ ผมมีธุระด่วนต้องทำครับ” เขาไม่แม้แต่จะหยุดรอคุยกับผู้เป็นแม่ด้วยซ้ำ มารดามองตามหลังลูกชายแล้วถอนหายใจ ถึงจะรู้ว่าลูกชายเป็นคนบ้างาน แต่เธอก็ยังไม่ชินสักครั้ง ดูแลทั้งโรงงาน ทั้งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
มาถึงโรงพยาบาลก็ถามหาห้องเด็กคนนั้นทันที เขารีบสาวเท้าไปยังห้องที่พยาบาลบอก
ภายในห้องพิเศษพยาบาลกำลังตรวจวัดความดันของเธออยู่ เด็กคนนั้นสวมชุดใหม่ของโรงพยาบาล เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน
“อาการเป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามพยาบาลเสียงเบา เพราะเกรงว่าจะรบกวนคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ขนตาเป็นแพงอนสวย ปากเธอแห้งเป็นขุยและซีดขาว ใบหน้าแทบไม่มีสีเลือด
“อาการหนักอยู่เหมือนกันค่ะ ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย อีกสักพักคุณหมอก็คงเข้ามาค่ะ” สิ้นคำแพทย์ผู้ดูแลคนไข้ก็เปิดประตูเข้ามาพอดี
แววตาของคุณหมอดูไม่สู้ดีนัก เขาไม่รอให้ยุทธวีร์ถาม “คนไข้ติดเชื้อในกระแสเลือดครับ เราคงทำได้เพียงรอเท่านั้น” แพทย์หนุ่มพูดเป็นนัย แต่ยุทธวีร์ก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเธอคงอยู่ได้อีกไม่นาน
เขาเงียบไปภายในเหมือนมีลมตีกลับขึ้นมาจนจุกอก
‘ขอให้เธอลืมตาขึ้นมาคุยกับฉันสักครั้ง…แค่นี้จะได้ไหม’ ยุทธวีร์ร่ำร้องในใจ
ถึงจะไม่ใช่ญาติแต่เขาก็รู้สึกผิดกับเธอเหลือเกิน แต่รอแล้วรอเล่าก็เหมือนเธอจะไม่ได้ยินเสียงที่เขาเอ่ยขอในใจ
คนตัวใหญ่เดินออกมาที่รถเหมือนร่างไร้วิญญาณ
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณวีร์”
“เด็กคนนั้นติดเชื้อในกระแสเลือด คงอยู่ได้อีกไม่เกินหนึ่งอาทิตย์” เขาบอกตามที่ได้คุยกับหมอ
ลุงเชยก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน เจ้านายเขาอุตส่าห์อยากช่วยเด็กคนนั้นแต่ก็ช่วยไม่ทัน เขาคงผิดหวังไม่น้อย
ร่างอ่อนแรงลืมตาขึ้นแล้วกลอกมองไปทั่วห้อง แต่พอเห็นพยาบาลเดินเข้ามาเธอก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม อีกทั้งสายระโยงระยางอยู่ที่แขนของเธอก็บอกแน่ชัดแล้วว่าเธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาล คำถามคือใครเป็นคนพาเธอมาที่นี่ ใครเป็นบุคคลใจบุญผู้นั้น ถ้าจะให้เธอจ่ายค่ายาค่าห้องเองเธอคงจ่ายไม่ไหว
หญิงสาวพยายามจะอ้าปากถามแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา ลมหายใจรวยรินเต็มที เธอรู้สึกเหมือนตัวเองขี้เกียจหายใจ เพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าอาการที่คนจะจากโลกนี้ไปมันไม่ห่วงอะไรจริง ๆ แต่ก็ดีแล้วการจากไปโดยเร็วมันอาจจะทำให้เธอพ้นทุกข์ก็ได้ ไม่ต้องคิดว่าวันนี้จะเอาอะไรกิน วันนี้จะนอนไหน แต่ถ้าเธอยังไม่เห็นหน้าผู้มีพระคุณคนนั้นเธอจะจากไปอย่างมีความสุขได้อย่างไร พยาบาลมองร่างที่นาน ๆ ทีจะตื่นขึ้นมาก่อนที่จะหลับยาวอีกครั้งด้วยความรู้สึกเวทนา
ตลอดหลายวันที่ผ่านมายุทธวีร์เทียวมาเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลทุกวัน แต่เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาสักที วันนี้เขาเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยอย่างมีความหวัง
“คุณวีร์มาพอดีเลยค่ะ” พยาบาลเอ่ยอย่างดีใจ
พอเห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมาเขาก็ระบายยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยแต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา เธอมองเขาแล้วหยดน้ำตาก็ไหลริน ใช่ผู้ชายคนนั้นจริง ๆ ด้วย ผู้ชายที่บอกว่าให้เธอรออยู่หน้าโรงงาน ผู้ชายที่บอกว่าจะพาเธอไปอยู่บ้านหลังใหม่และจะให้เธอได้เรียนหนังสือ ร่างซูบผอมใบหน้าซีดจนหาสีเลือดไม่เจอยิ้มอ่อนให้เขา ตอนนี้เธอเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนแทบไม่อยากหายใจ
มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือเธอไว้ อย่างน้อยเธอจะได้รู้ว่าทั้งชีวิตนี้เธอยังมีเขาอยู่
เธอทำได้เพียงมองหนุ่มหล่อใจดีตรงหน้า เขาเป็นใคร เขาไม่ใช่ญาติ เจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว แต่กลับยื่นมือเข้ามาช่วยเธออย่างไม่มีข้อกังขา
หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เธอเกิดมามีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ อย่าได้อดอยากเท่ากับชาตินี้เลย ถึงจะไม่ได้ร่ำรวยก็ขอให้ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ มีเสื้อผ้าสวมใส่เหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง สำคัญกว่านั้นหากเป็นไปได้ขอให้เธอได้ตอบแทนบุญคุณผู้ชายคนนี้ด้วยเถิด ‘คุณวีร์’
จิตสุดท้ายเฝ้าภาวนาก่อนลมหายใจของเธอจะสงบลง
ร่างผ่ายผอมบนเตียงยังเผยรอยยิ้มทั้งน้ำตาออกมาให้เขาเห็น เธอมีหลายอย่างที่อยากคุยกับเขา อยากขอบคุณเขา แต่เธอคงทำได้เพียงสื่อสารทุกอย่างผ่านดวงตาเลื่อนลอยคู่นั้น เธอค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างช้า ๆ ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มพลันกลับเข้าสู่สภาวะปกติ อวัยวะทุกส่วนบนร่างกายไร้การตอบสนอง
เธอจากไปอย่างสงบ ดวงตาของชายหนุ่มแดงก่ำ แต่ไม่ได้ปล่อยให้หยดน้ำไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว หากวันนั้นเขาลงมาจากห้องทำงานเร็วกว่านี้ เธอก็คงไม่มีจุดจบเช่นนี้