บท
ตั้งค่า

4 จักรพรรดิผู้ด่างพร้อย

สายลมกลางค่ำคืนพัดเอาฝุ่นทรายลอยฟุ้งคลุ้งเหนือผืนดินแห้งผาก เมื่อเงาร่างสูงในชุดคลุมสีดำก้าวกลับมาจนถึงรัศมีการสนทนา หนึ่งในบุรุษสามคนที่กำลังยืนรออย่างเงียบเชียบใต้แสงจันทรา ก็เริ่มการเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่

“หายไปเสียนานเลยนะเสด็จพี่” หย่งหลินกล่าวลอยๆ ขณะเท้าแขนกับอาชาตัวเขื่องที่ยืนอยู่ข้างๆ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับริมฝีปาก “หรือมัวแต่หลงสตรีเผ่าทะเลทรายเข้าให้?”

เสียงหัวเราะเบาๆ ของแม่ทัพหลิวเหวินดังขึ้นจากด้านหลัง “คืนนี้พระจันทร์กลมดีนัก ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนต้องมนต์เข้าให้จริงๆ”

คำพูดนั้นเป็นเพียงการหยอกล้อเล่นตามประสาชายหนุ่ม แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิด คือคำตอบจากปากขององค์จักรพรรดิ

“อืม… ใช่” อวี้หลงตอบพลางยกมือลูบไล้ริมฝีปากของตนเบาๆ ดวงตาฉายแววครุ่นคิด “นาง… ช่างน่าหลงใหลอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ”

ทั้งสามคนชะงักไปพร้อมกัน รอยยิ้มของหย่งหลินค้างอยู่ตรงมุมปาก ขณะที่ฟู่เหยียนกับหลิวเหวินสบตากันเงียบงัน ความเงียบครอบคลุมระยะสั้นๆ ก่อนที่น้องชายต่างมารดาจะหลุดหัวเราะแห้งๆ ออกมา

“ท่านล้อข้าเล่นสินะ? กลางทะเลทรายรกร้างแบบนี้จะมีสตรีที่ไหนมาให้หลงได้ นอกจากว่า...”

เขาเงียบไปทันที เมื่อสายตาทุกคนเริ่มหันไปมองยังทิศทางของโอเอซิสซึ่งห่างออกไปไม่มากนัก พร้อมกันนั้นใบหน้าของอวี้หลงยังคงนิ่งเงียบ ราวกับไม่คิดจะปฏิเสธคำกล่าวของใคร

และในที่สุด หย่งหลินก็ตาโต “นี่! ทะ ท่าน! คงไม่ได้หมายความว่า…”

“กลับค่าย” อวี้หลงพูดตัดบท ดวงตาคมดุเหลือบมองเหล่าพวกพ้องด้วยแววเฉียบขาด “ไปแจ้งทุกหน่วย เราจะเคลื่อนพลเข้าเผ่าหวงซาคืนนี้!”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ฟู่เหยียนกับหลิวเหวินขานรับพร้อมกัน ก่อนจะหันไปจัดการตามคำสั่งทันที

ส่วนหย่งหลินยืนอ้าปากค้างอยู่อีกครู่ กว่าจะเรียบเรียงคำพูดได้ ก็พบว่าพี่ชายของเขาได้เดินนำล่วงหน้าไปแล้ว ปล่อยให้คนที่ยังสับสนทำได้เพียงหันไปถามสายลมเบาๆ “เขาคงไม่ได้หมายถึงธิดาหัวหน้าเผ่าจริงๆ ใช่ไหม?”

อวี้หลงบนหลังอาชาสีนิลกาล เดินนำหน้ากลุ่มพวกพ้องโดยไร้คำพูดใด ริมฝีปากหยักนิ่งสนิท แต่ในแววตาดำลึกกลับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งที่เริ่มก่อตัวอย่างเงียบงัน

ดูเหมือนทางเดินไปยังเป้าหมายของเขา จะมีสิ่งล้ำค่าให้แวะเก็บติดไม้ติดมือกลับไปด้วยเสียแล้ว

บุรุษผู้นี้ไม่ได้เติบโตมากับความหอมหวานของวัยเยาว์ หากแต่ถูกวางบนเส้นทางของอำนาจตั้งแต่แรกลืมตา เขาคือโอรสของฮองเฮา ประสูติในตำหนักกลาง ถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทในคืนเดียวกับที่ร้องไห้เป็นครั้งแรก

อวี้หลงถูกสอนให้เฉียบคมก่อนจะพูดเป็น เด็ดขาดก่อนจะยืนได้เต็มสองเท้า ไม่มีใครในแคว้นเหยี่ยนหลงกล้าสั่นคลอนบัลลังก์ที่ปูไว้ให้เขา จนกระทั่งอายุสิบห้า...

ปีนั้นเขาสูญเสียบางสิ่ง จู่ๆ ความสามารถในการรับรสก็สูญหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ความผิดปกติเล็กน้อยที่สามารถกลายเป็นมลทินในสายตาราชสำนัก หากข่าวหลุดลอดออกไป

และมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ความลับนี้ หนึ่งในนั้นคือหย่งหลิน เด็กน้อยที่เติบโตขึ้นด้วยความฝันจะเก่งกาจด้านการแพทย์ เมื่อเริ่มย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม เขาพลิกห้องหนังสือวังหลวง และออกเดินทางทุกทิศตามหาสมุนไพรหายาก เพื่อพยายามรักษาพี่ชายที่เขารักยิ่งกว่าชีวิตตนเอง

แต่ดูเหมือนความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า ไม่ว่ากี่ครั้งกี่ครา ไม่ว่ายาสูตรใดจะถูกปรุงขึ้นจากสมุนไพรหายากเพียงไหน ประสาทการรับรสของอวี้หลงก็ยังคงตายด้าน

แล้วใครจะคาดคิดเล่าว่า สิ่งที่ปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับไม่ใช่ตำรายาโบราณใด แต่เป็นจุมพิตที่เขาช่วงชิงมาจากสตรีเผ่าทะเลทราย

อวี้หลงเคยคิดเสมอว่า หน้าที่ของจักรพรรดิคือการรบ การชิงไหวชิงพริบ การดำรงอยู่เพื่อแผ่นดินและผู้คน นับแต่ถือกำเนิดจวบจนย่างเข้าสู่วัยเบญจเพส ผ่านศึกใหญ่เล็กนับไม่ถ้วน เขากลับไม่เคยรู้สึกอยาก ‘ครอบครอง’ ใครเลย

ขึ้นครองราชย์มาได้หนึ่งปี ผู้คนต่างรบเร้าให้อภิเษกพระชายา บรรดาผู้มีอำนาจนำบุตรสาวตนมาอวดโฉมราวกับตลาดทาส มีทั้งสาวงามจากตระกูลใหญ่ สตรีสายเลือดขุนนาง และแม้แต่หญิงหม้ายจอมมารยาที่หวังจะขึ้นนั่งข้างบัลลังก์ ทว่าไม่เคยมีผู้ใด ที่กระเทาะปราการเยือกเย็นในใจของอวี้หลงได้เลย

จนกระทั่งได้พบนาง สตรีแปลกหน้าจากดินแดนแห้งแล้ง ไร้นามไร้แซ่ ไร้สิ่งใดบ่งบอกถึงฐานะที่เหมาะควรกับจักรพรรดิ ทว่ากลับฝากร่องรอยไว้ในห้วงความคิดของเขา... ไม่เคยเลือนหาย

ถ้านี่คือหายนะ… เขายินยอมเดินเข้าไปด้วยตัวเอง

อวี้หลงหยุดเดินชั่วครู่ก่อนยกมือแตะริมฝีปากเบาๆ ความรู้สึกอุ่นซ่านและรสสัมผัสอันหวานล้ำ ยังไม่จางหายไปแม้ผ่านมาหลายเค่อ รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นที่มุมปาก

ว่ากันว่าสตรีเผ่าทะเลทรายร้ายกาจกว่าอสรพิษ ดูท่าแล้วจะจริง แต่เป็นอสรพิษที่เขาเต็มใจให้เลื้อยเข้ามารัดหัวใจเองเสียมากกว่า

ภายในเวลาไม่นาน กลุ่มม้าทั้งสี่ก็ขี่กลับมาถึงค่ายหลัก อวี้หลงออกคำสั่งโดยไม่ลังเล “ล้อมเมืองให้แน่นหนา แม้แต่นกก็ห้ามบินออกไป”

คำสั่งส่งต่อผ่านรองแม่ทัพออกไปทันที ทหารกว่าแสนนายเคลื่อนตัวราวพายุเงียบ หยัดแนวล้อมเมืองซาเยวไว้ทุกทิศทุกทาง

อวี้หลงควบม้าออกไปยืนเด่นอยู่หน้ากองทัพ สายตาเขาจับจ้องไปยังประตูเมืองที่ปิดสนิท ในเงาเงียบภายใต้กำแพงหินสูงชัน ซาเจิ้งกำลังครุ่นคิดไม่ตก

ภายในห้องบัญชาการ เสียงเหล่าผู้อาวุโสและกลุ่มผู้นำโวยวายเซ็งแซ่ ต่างเสนอความคิดแย้งกันไม่หยุด ซาเจิ้งขมวดคิ้วแน่น ยิ่งฟังยิ่งหงุดหงิด ไม่มีคำใดช่วยแก้ปัญหาได้สักทาง มีแต่ถ่วงความคิดของเขาให้ช้าลง

และแล้ว เสียงฝีเท้าก็เร่งเข้ามาจากด้านนอก นายทหารคนหนึ่งผลักผ้าเข้ามาในกระโจม แล้วคุกเข่ารายงานเสียงหอบ “ท่านหัวหน้า! ทัพชิงหลัวส่งสานจ์มา ฝ่าบาทอวี้หลง ทรงประสงค์จะเจรจากับท่านโดยตรง!”

ซาเจิ้งนิ่งไปครู่ ก่อนถอนหายใจอย่างรู้สึกกดดัน เขาไร้ทางเลือก ไม่อาจปฏิเสธคำขอแกมคำสั่งนั้น “เตรียมตัว ข้าจะออกไปพบเขา”

ประตูเมืองเปิดออกช้าๆ เสียงเหล็กบดกับเม็ดทรายดังกึกก้องราวกับสัญญาณแห่งโชคชะตา ซาเจิ้งก้าวเท้าออกไปพร้อมผู้นำเผ่าคนสำคัญ และทหารองครักษ์อีกเจ็ดถึงแปดคน

จำนวนของฝั่งตรงข้ามสร้างความประหลาดใจให้ซาเจิ้งไม่น้อย เพราะมีเพียงสี่คนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือจักรพรรดิแห่งแคว้นเหยี่ยนหลง น้อยเกินกว่าจะปลอดภัยในสนามเจรจา แต่พวกเขากลับก้าวเข้ามาโดยไม่ลังเล

อวี้หลงกระโดดลงจากหลังม้าเป็นคนแรก ก่อนผู้ติดตามทั้งสามจะค่อยๆ ทยอยลงจากหลังอาชา เดินเข้ามายืนสมทบด้านหลังองค์จักรพรรดิ ที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับกลุ่มของซาเจิ้ง

และเหตุการณ์ต่อมาได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับชาวซา จนซาเจิ้งถึงกับผงะถอยหลังไปครึ่งก้าว ส่วนผู้ติดตามของเขาต่างหันมองหน้ากันด้วยความตกใจ เมื่ออวี้หลงโค้งกายลงอย่างนอบน้อม

นี่คือจักรพรรดิแห่งแผ่นดิน ทว่ากลับโค้งคำนับเขาราวกับทั้งคู่เท่าเทียม ซาเจิ้งรีบโค้งตอบตามมารยาท “ฝ่าบาท... ท่านช่างให้เกียรติข้ายิ่งนัก”

อวี้หลงยิ้มบาง เอ่ยสุภาพ “ข้าต้องขออภัยอย่างสูง ที่ไร้มารยาทใช้กำลังล้อมเมืองเอาไว้ ความจริง... ข้าเพียงไม่รู้วิธีจะเชิญผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านออกมาจากประตูเมือง จึงจำต้องใช้วิธีสิ้นคิดเยี่ยงนี้”

คำพูดเรียบง่ายแต่ฉลาดมีชั้นเชิง ซาเจิ้งหัวเราะในลำคอ “วิธีสิ้นคิด... แต่ดูเหมือนมันจะได้ผลดีทีเดียว” เขาว่าอย่างประชดแต่ก็มีรอยยิ้มแฝงอยู่ “เช่นนั้นฝ่าบาท ท่านปรารถนาสิ่งใดจากผู้เฒ่าแห่งทะเลทรายอย่างข้า?”

อวี้หลงสบตาอีกฝ่าย ไม่อ้อมค้อม “ข้าปรารถนาจะรวมทั้ง 5 ดินแดนให้เป็นหนึ่ง”

ตลอดชีวิต อวี้หลงไม่เคยรู้จักคำว่าเป็นไปไม่ได้ เขาถูกหล่อหลอมให้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่แรกกำเนิด วังหลวงคือสนามฝึก และเข่นฆ่าคือวิชาแรกที่เรียนรู้ ทว่าเขากลับไม่เคยคิดจะใช้อำนาจ บังคับหรือช่วงชิงสิ่งที่ปรารถนาจากมือของผู้ใด

ซาเจิ้งหัวเราะเสียงดังราวกับได้ฟังเรื่องตลก “หึ! ก็เหมือนจักรพรรดิองค์อื่นที่มาก่อนท่านนั่นแหละ พูดถึงความเป็นหนึ่ง แล้วก็กระชับดาบฟันชาวซาจนสิ้นใจ ข้าเข้าใจผิดไปเสียแล้ว คิดว่าท่านแตกต่าง”

อวี้หลงกลับหัวเราะเบาๆ อย่างใจเย็น “ดูเหมือนท่านจะเข้าใจข้าผิดจริงๆ ด้วย” ซาเจิ้งเลิกคิ้ว ก่อนอวี้หลงจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ข้ามิใช่ต้องการรวบอำนาจมาไว้ที่ตนเอง ข้าต้องการสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นพอจะต้านภัยใดก็ตาม ที่หมายจะทำลายแคว้นเหยี่ยนหลงของพวกเรา”

เขาหยุดเล็กน้อย มองทะลุไปยังผืนทรายเบื้องหลัง ก่อนพูดต่อ “เผ่าหวงซายืนหยัดมาได้นับพันปี ไม่ต้องพึ่งใคร ใช้สองมือสร้างชีวิตกลางผืนดินไร้น้ำฝน ต่อสู้อย่างภาคภูมิ ข้ารู้ และข้าศรัทธา”

“ศรัทธา?” ซาเจิ้งขมวดคิ้ว

“ใช่... ข้าศรัทธาพอจะสละเวลาจากราชกิจทั้งหมด มายืนต่อหน้าท่าน เพื่อวางศาสตรา แล้วเริ่มสร้างบางสิ่งที่มั่นคงกว่าเหล็กกล้า นั่นคือ... ความเชื่อใจ”

เสียงของอวี้หลงเงียบลงท่ามกลางสายลมเย็นของยามย่ำค่ำ ซาเจิ้งยังคงไม่ตอบ แต่แววตาเริ่มแปรเปลี่ยนเล็กน้อย จากแข็งกร้าวกลายเป็นฉงน แล้วค่อยๆ เจือรอยครุ่นคิด

อวี้หลงเห็นแววลังเลในดวงตาของซาเจิ้ง ไม่ใช่ความไม่เชื่อใจเสียทีเดียว แต่ยังคงมีเงาของความระแวงเร้นอยู่ภายใน เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงด้วยความหนักแน่นจริงใจ

“ข้าเข้าใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้ย่อมมิใช่เรื่องเล็ก หากท่านยังไม่แน่ใจในเจตนาของข้า ก็จงใช้เวลาตรึกตรองให้ดีเถิด” ดวงตาคมของจักรพรรดิหนุ่มทอดมองอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย

“ฟ้าสางวันพรุ่ง... หากท่านยังไม่เปลี่ยนใจ ข้ายินดีสั่งให้กองทัพของข้าถอยกลับ และไม่ให้ทหารแม้แต่ผู้เดียว ย่างกรายเข้ามาเหยียบผืนทรายของท่านอีก”

“…”

“จวบจนยุคสมัยของข้าจะสิ้นสุด กองทัพแห่งชิงหลัวและอีก 3 เผ่าพันธมิตร จะไม่รุกรานดินแดนซาเยวอีกต่อไป!!”

ถ้อยคำที่เขาเอ่ยเปี่ยมด้วยอำนาจของจักรพรรดิ ผู้สามารถตัดสินใจเรื่องเป็นตายของคนทั้งแผ่นดินได้ในประโยคเดียว ทว่ากลับเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมน่าเคารพ

อวี้หลงหยุดพูดครู่หนึ่ง แล้วปรายตามองไปยังแนวกำแพงหินของเมือง “เพียงแต่... หากวันข้างหน้าเมื่อข้าไม่อยู่แล้ว คงไม่อาจให้คำสัญญาแทนผู้ที่จะขึ้นมานั่งบนบัลลังก์ในภายหลังได้”

หลังกล่าวจบ อวี้หลงผงกศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างให้ความเคารพ จากนั้นหมุนตัวกลับเดินไปคว้าม้าคู่ใจ แล้วกระโดดขึ้นหลังอาชาสง่างามอย่างคล่องแคล่ว

ทุกสายตาจับจ้องอยู่กับแผ่นหลังตรงของจักรพรรดิหนุ่ม ขณะที่เขาบังคับม้าให้หันหัวกลับ เตรียมเดินทางกลับสู่ค่ายทหารของชิงหลัว

ทว่าเสียงหนึ่งดังขึ้นทันควันจากด้านหลัง “เดี๋ยวก่อน!” ซาเจิ้งเอ่ยเสียงเข้ม “ก่อนที่ข้าจะให้คำตอบ... ข้าขอโอกาสทำความรู้จักกับชาวชิงหลัวอย่างท่านเสียหน่อยได้หรือไม่?”

อวี้หลงชะงักเล็กน้อย ก่อนเอี้ยวหน้าไปมองยังบุรุษผู้ครองดินแดนทะเลทราย แววตาของเขาแน่วแน่ ดวงหน้าเรียบนิ่งไร้พิษภัย ทว่าเต็มไปด้วยความเด็ดขาดของผู้นำ

“ข้าจะไม่ตัดสินใจจากคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค แต่จะตัดสินจากสิ่งที่ได้เห็นด้วยตา และสัมผัสด้วยหัวใจ” ซาเจิ้งเอ่ยเสียงหนักแน่นไม่แพ้กัน “ข้าอยากจะรู้ว่ามันคุ้มกับการลงทุนของเผ่าหวงซาหรือไม่”

ได้ยินเช่นนั้นอวี้หลงที่ยังอยู่บนหลังม้าลอบยิ้มบางๆ คล้ายผู้ที่รู้ล่วงหน้าว่าบทสนทนานี้จะจบเช่นไร สายตาของเขาทอดผ่านเส้นขอบฟ้า ก่อนหันหน้ากลับไปยังซาเจิ้ง

“เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้า ท่านยินดีจะออกเดินทางไปเยือนนครชิงหลัวของข้าเลยหรือไม่?”

ซาเจิ้งเลิกคิ้วก่อนหัวเราะแผ่วเบา “หึ! ดูท่าท่านจะวางหมากไว้ล่วงหน้าทุกก้าวแล้วกระมัง ฝ่าบาท”

อวี้หลงไม่ปฏิเสธ ไม่ยืนยัน เพียงยิ้มและกระตุกบังเหียนม้าหันหลังกลับไปยังแนวค่าย พร้อมทิ้งท้ายไว้ด้วยเสียงเรียบสุขุม

“ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะพาท่านไปเห็น ว่าชิงหลัวของข้า ไม่ได้มีแค่กำแพงสูงและมังกรทองบนธงจักรพรรดิ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel