3 รสหวานของจุมพิต
แสงแดดยามเย็นคล้อยต่ำ ลูบไล้ผืนทรายด้วยแสงทองอ่อนเรื่อ เงาอูฐและม้าเหยียดตัวยาวบนพื้นราบของทะเลทรายขรุขระ เหล่านักรบแห่งเผ่าหวงซาควบม้าฝ่าความร้อนระอุมาเนิ่นนาน ทว่าธิดาหัวหน้าเผ่ากลับยังคงนั่งหลังตรงอยู่เหนืออานม้า ราวกับคลื่นลมไม่อาจโยกไหว
หลิงซานั่งนิ่งอยู่บนหลังอาชาคู่ใจตัวใหม่ ขนสีขาวเงินของมันสะท้อนแสงแดดเป็นประกายสว่าง ทว่าดวงตาคมกลับเหม่อมองไปไกลกว่าพื้นทรายเบื้องหน้า
ในห้วงความคิด นางเห็นภาพบิดายืนอยู่หน้ากระโจมในยามเช้า สีหน้าของเขาแลดูเข้มแข็งดังเช่นทุกครา ทว่าดวงตานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย
"ใจเย็นๆ ทำสิ่งใดคิดตรึกตรองให้รอบคอบ" เขาพูดพลางวางมือลงบนบ่าของบุตรสาว "เดินทางให้มั่นคง และจงกลับมาโดยปลอดภัย เพราะหากเจ้าไม่อยู่ พ่อก็คงไม่มีใครให้เถียงด้วยอีกแล้ว"
หลิงซายิ้มบางขณะหวนคิด พลางหลุบตามองบังเหียนในมือ ออกแรงกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย
"ฮือ... ข้าเมื่อยจะตายอยู่แล้ว!" เสียงบ่นกระปอดกระแปดจากด้านข้างดังขึ้นขัดจังหวะความคิด หลิงซาหันไปมองก็เห็นเสี่ยวจูกำลังปาดเหงื่ออย่างเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าของสาวใช้คนสนิทแดงจัดจากแดดตลอดวัน ดวงตาฉ่ำน้ำเล็กน้อยราวกับใกล้ร้องไห้เต็มที
"เจ้ามันไม่เหมาะจะออกจากเมืองเลยจริงๆ" หลิงซาพูดเรียบๆ แต่เสียงที่หลุดจากปากกลับมีแววเอ็นดูเจืออยู่ไม่น้อย
นางเหลียวมองท้องฟ้า ก่อนทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าแล้วชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นกลุ่มต้นปาล์มชูก้านอยู่ลิบๆ พร้อมแสงสะท้อนจากผิวน้ำในแอ่งขนาดย่อมตรงกลาง
"ตั้งค่ายพักแรมที่โอเอซิสนั่น" หลิงซาเอ่ยคำสั่ง ดวงตาสีนิลจับจ้องทิศทางไม่ละสายตา “วันนี้เราจะหยุดแค่ตรงนี้ พรุ่งนี้ค่อยเคลื่อนพลต่อ”
“ขอรับ!” เสียงรับคำจากรองแม่ทัพที่ควบม้าอยู่อีกด้านดังขึ้น ก่อนขบวนจะค่อยๆ เบนเส้นทางตรงสู่โอเอซิสซึ่งรออยู่ตรงหน้า
ยามค่ำมาเยือน หลิงซาเดินตรวจแนวค่ายอย่างละเอียดจนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงหมุนกายกลับ เสี่ยวจูรีบเดินตามแผ่นหลังเจ้านายต้อยๆ
"ไปเถิด เจ้าควรไปอาบน้ำเสียที" หลิงซาเอ่ยโดยไม่หันหลัง
"ไม่ได้เจ้าค่ะ!" เสี่ยวจูพูดเสียงดังขึ้น "ท่านเป็นคุณหนู จะปล่อยสาวใช้อย่างข้าล้างตัวก่อนได้อย่างไร ข้าจะรอ!"
หลิงซาหันกลับไปส่งยิ้มบาง "เจ้าก็ดื้อไม่เลิกจริงๆ" นางไม่โต้แย้งต่อ และพยักหน้าอย่างยอมจำนน "ก็ได้ ข้าจะไปก่อน"
ร่างเล็กในชุดนักรบงามสง่าเดินตรงไปยังโอเอซิส ซึ่งรายล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ไม่มากนัก แอ่งน้ำขนาดพอเหมาะอยู่ตรงกลาง น้ำใสเย็นสะท้อนแสงดาวแรกของค่ำคืนที่เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาช้าๆ
นางถอดชุดเกราะหนักอึ้งออก เผยให้เห็นอาภรณ์ด้านในเรียบง่ายและพลิ้วเบา ดวงตาคมยังคงสังเกตการณ์รอบตัวด้วยสัญชาตญาณของนักรบ ทว่านางไม่รู้เลยว่าขณะนี้ มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาจากเบื้องหลังเงาไม้
หลังต้นปาล์มสูงตระหง่านริมโอเอซิส ร่างสูงในชุดคลุมสีดำสนิทกลืนไปกับบรรยากาศยามรัตติกาลยืนนิ่งเงียบ ลมหายใจของเขาราบเรียบและไร้เสียง ขณะเพ่งมองหญิงสาวผู้เพิ่งก้าวเข้ามาในเขตแอ่งน้ำ
อวี้หลงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ดวงตาดำสนิทจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว เงาสะท้อนของชุดเกราะสลักลวดลายทำให้เขาแน่ใจว่านางมิใช่สตรีธรรมดา ท่าทางที่องอาจ และการที่สาวใช้เรียกชื่อของนางออกมาเมื่อครู่ ก็ทำให้รู้ได้ในทันทีว่านางคือธิดาของหัวหน้าเผ่าหวงซา
ความประหลาดใจเกิดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อระยะห่างระหว่างเขากับร่างระหงร่นเข้ามาใกล้มากขึ้น ดวงหน้าคุ้นตา แววตาคุ้นเคย เป็นนาง... คนเดียวกับสตรีผู้เขย่าหัวใจเขาเมื่อสามเดือนก่อน
ริมฝีปากของจักรพรรดิหนุ่มค่อยๆ โค้งขึ้นช้าๆ ขณะเฝ้ามองเงาร่างของหลิงซาที่นั่งยองๆ อยู่ริมโอเอซิส มือหนึ่งแตะน้ำเบาๆ ไม่นานร่างบอบบางก็ก้าวเดินลงไป กระทั่งระดับน้ำปริ่มเนินอกอิ่ม
‘ข้าเคยคิดจะลืมเจ้า... แต่เจ้ากลับมาให้ข้าจดจำอีกครั้ง’
และคราวนี้ เขาไม่อาจปล่อยให้นางเดินจากไปเหมือนในวันนั้นได้อีก...
แสงจันทร์สีเงินสาดทาบลงบนผิวน้ำของโอเอซิส คลื่นน้ำสั่นไหวตามแรงขยับของร่างระหง เงาใบปาล์มโยกไหวพลิ้วเบา ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน หลิงซาแหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างเพลิดเพลิน ชุดคลุมบางเบาที่สวมทับผิวกาย เปียกน้ำแนบลู่เข้ากับเรือนร่างที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม
เสียงเนื้อกระทบน้ำเบาๆ และสายลมที่หอบเอากลิ่นหอมจากเกสรดอกไม้ป่ามาปะทะจมูก ไม่อาจกลบกลืนความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในใจนักรบสาว
บางอย่างผิดปกติ...
สัญชาตญาณของนักรบกระซิบเตือน มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จากพงหญ้าด้านหลังต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ราวกับว่ามีบางสิ่งหรือใครบางคน กำลังจับจ้องนางอยู่
ไม่ลังเล... หลิงซายกมือดึงปิ่นปักผมบนศีรษะ แล้วสะบัดข้อมือขว้างออกไปอย่างแม่นยำ ปิ่นเหล็กพุ่งแหวกอากาศตรงเข้าปะทะเปลือกไม้เสียงดังปึก
เงาดำที่หลบอยู่หลังต้นไม้ขยับตัวอย่างตกใจ หลิงซาเบิกตากว้าง ก่อนจะรีบพุ่งตัวขึ้นจากแอ่งน้ำ สะบัดหยาดน้ำออกจากเรือนผม แล้วคว้าเอาเสื้อคลุมตัวเก่ามาพันกายไว้ลวกๆ ร่างบางหันขวับไปยังจุดที่ปิ่นปักผมปักคาอยู่ ตะโกนเสียงดังกังวาน
"ผู้ใดอยู่ตรงนั้น!? ออกมาเดี๋ยวนี้!"
เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนที่เสียงหัวเราะเบาๆ จะดังขึ้นจากเงามืด ใบหน้าคมเข้มโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ทีละนิด แสงจันทร์สะท้อนประกายในดวงตา ร่างสูงในชุดคลุมสีดำก้าวออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
"เจ้า...!" หลิงซาถลึงตาใส่ ดวงตาคมวาวขึ้น มันมีทั้งความประหลาดใจและขุ่นเคือง "เจ้านั่นเอง... เจ้าโจรขโมยม้า! ในที่สุดเจ้าก็มาให้ข้าเอาคืนถึงที่!"
อวี้หลงหัวเราะเบาๆ ขณะเดินเข้าใกล้ ดวงตาคมกริบไล่มองเรือนร่างตรงหน้าอย่างไม่ปิดบังความชื่นชม "เจ้าจำข้าได้...น่าปลื้มใจนัก นึกว่าสตรีเผ่าทะเลทรายจะมีความจำสั้นเสียอีก"
"หุบปาก!" หลิงซาตะคอก ดวงหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธและอับอาย "เจ้าตามข้ามาทำไม! สอดแนมกองทัพหวงซาของข้ารึ? หรือว่า...จะมาขโมยม้าข้าอีก?"
ตัวเก่ายังไม่ได้คืน ยังมีหน้าจะมาปล้นม้าตัวใหม่ของนางอีกรึ คราวนี้อย่าได้หวังเชียว
"คราวนี้ไม่ต้องล้มตัวแกล้งตายแล้วใช่หรือไม่?" เขายิ้มกวน "หรือเจ้ามีความคิดอยากเปลี่ยนใจ มาช่วยข้าอาบน้ำแทนล้างแค้นดี?"
คำพูดยั่วเย้าเช่นนั้นทำเอาหลิงซาเดือดพล่าน นางไม่รอช้า คว้ามีดสั้นที่เหน็บไว้ใต้ชายผ้าออกมา แล้วพุ่งเข้าใส่บุรุษหนุ่มตรงหน้าโดยไม่ออมแรง
ทว่าความเร็วของอวี้หลงกลับเหนือชั้นเกินกว่าที่หลิงซาคาดคิด เขาหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย แล้วสวนกลับด้วยการคว้าข้อมือนางเอาไว้
ร่างหนาโอบรัดร่างนุ่มนิ่มไว้ในอ้อมกอด แผ่นหลังเกือบเปลือยเปล่าเสียดสีกับกล้ามหน้าอกที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมตัวโคร่ง พันธนาการหลวมๆ ทว่าหลิงซากลับดีดดิ้นไม่หลุด
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะเจ้าคนไร้ยางอาย!” หลิงซาแหวขึ้น เสียงเข้มของนางสั่นไหวด้วยความโกรธและความอับอาย ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาวาววับไปด้วยโทสะ
อวี้หลงหัวเราะเบาๆ ใกล้ใบหูเล็ก เสียงทุ้มต่ำของเขาเต็มไปด้วยแววล้อเลียน “จะรีบไปไหนกันเล่า ราตรีนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”
“ข้าไม่คิดจะใช้มันทั้งคืนกับคนอย่างเจ้า!” นางพยายามดิ้นพล่าน ดึงข้อมือให้หลุดจากพันธนาการของเขา แต่แขนแกร่งกลับรัดแน่นขึ้น คล้ายยิ่งนางขัดขืน ยิ่งเป็นเชื้อไฟให้เปลวเพลิงในดวงตาคมเร่าร้อนกว่าเดิม
“แต่ข้า... คิดนะ” อวี้หลงกระซิบเสียงพร่า ก่อนจะโน้มใบหน้าลงช้าๆ ปลายจมูกโด่งคมสัมผัสผิวเนียนบนลาดไหล่นาง ไล้เบาๆ ไปตามเส้นโค้งของไหปลาร้า ขณะที่ลมหายใจอุ่นร้อนพ่นรดผิวนวลจนขนอ่อนลุกชัน
หลิงซากัดฟันแน่น ดวงตาคู่นั้นสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ “เจ้า... เจ้านี่มัน...!”
“ข้ารู้...” เขาขัดจังหวะนางเสียงนุ่ม “เจ้าจะด่าว่าข้าเลว ข้าไร้ยางอาย ข้าเป็นโจร... ข้ายอมรับหมดเลย หากมันแลกกับการได้อยู่ใกล้เจ้าแบบนี้”
ยังไม่ทันที่หลิงซาจะได้สบถออกมาอีกคำ ร่างของนางก็ถูกอวี้หลงพลิกให้หันกลับมาเผชิญหน้าในชั่วพริบตา
"เจ้าทำ...!" เสียงประท้วงของนางถูกกลืนหาย เมื่อแผ่นหลังบางแนบชิดเข้ากับต้นปาล์มสูงด้านหลัง สายลมหนาวยามรัตติกาลพัดแรงวูบหนึ่ง ทว่าความร้อนระอุที่ปะทุอยู่ระหว่างสองร่าง กลับแทบจะอยู่ในจุดหลอมละลาย
“มองข้าสิ” อวี้หลงเอ่ยเสียงเรียบ แต่ดวงตากลับแฝงประกายเร่าร้อน
เขาใช้มือเพียงข้างเดียวจับข้อมือทั้งสองของหลิงซาไพล่ไว้ด้านหลัง บังคับให้นางแนบชิดกับต้นไม้จนไร้ทางหนี ดิ้นขัดขืนก็ไร้ผล ท่วงท่าของเขามั่นคงและเด็ดขาดยิ่งกว่าครั้งใด แรงบีบที่เพิ่มขึ้นทีละน้อยทำให้มือบางที่ยังยึดมีดสั้นไว้แน่นค่อยๆ สั่น
“ปล่อย...” นางขบกราม ดวงหน้าแดงเรื่อทั้งจากโทสะ และความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
“ปล่อย?” อวี้หลงหัวเราะแผ่วเบา ก่อนโน้มหน้าลงใกล้กว่าเดิม “ปล่อยมีดนั่นก่อนสิ แล้วข้าถึงจะคิด... ปล่อยเจ้า”
มือข้างที่กุมข้อมือเล็กบีบแน่นขึ้นอีกนิด จนปลายนิ้วของนางอ่อนแรง และในที่สุดอาวุธขนาดเล็ก แต่สามารถพรากลมหายใจของเหยื่อได้ในพริบตา ก็หลุดร่วงลงบนพื้นทรายเนียนละเอียด
เคร้ง!
เสียงเหล็กกระทบพื้นทรายดังขึ้นเบาๆ เมื่อมีดสั้นหลุดจากมือหลิงซา กลิ้งตกลงไปแนบเงารากไม้ ดวงตาของอวี้หลงกดลึก มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงใจ ร่างสูงยังคงตรึงนางไว้แน่น
“ดีมาก” เสียงนั้นราวกับกระซิบ
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงซาหัวใจสั่นสะท้านยิ่งกว่า คือสายตาและลมหายใจของเขา ซึ่งกำลังจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้านางในระยะอันตราย
“เจ้าจะทำอันใด?...” เสียงของนางพร่าแผ่วลงอย่างน่าแปลกใจ อวี้หลงไม่ได้ตอบคำถามนั้นด้วยถ้อยคำ แต่เป็นการกระทำแทนทั้งหมด
ริมฝีปากหยักคมค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ลอดผ่านใบไม้ไหวเอน ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบปลายจมูกเชิดรั้นชัดเจน จนหลิงซาเผลอสะดุ้งเบาๆ
และแล้ว... ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงบนกลีบปากอิ่มอย่างแผ่วเบาทว่าแนบแน่น สัมผัสแรกนั้นนุ่มนวลอย่างไม่คาดคิด ราวกับจะละลายทุกแรงต่อต้านที่นางรวบรวมไว้ ประหนึ่งเขากำลังชิมรสผลไม้ต้องห้าม ที่รอคอยมาเนิ่นนานในค่ำคืนหนึ่งของทะเลทราย
ความหวานที่ไม่ได้สัมผัสมาร่วมสิบปี จู่ๆ ปลายลิ้นของอวี้หลงพลันรับรู้ได้ เป็นความรู้สึก... ไม่คุ้นเคย ไม่ใช่เพียงเพราะนุ่มนวลหรือหวานละมุน แต่มันคือรสชาติที่เขาแทบลืมไปแล้วว่ามันเป็นอย่างไร
ริมฝีปากของหลิงซา ราวกับปลุกสัมผัสบางอย่างให้ตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน ปลายลิ้นที่เคยเฉยชากับทุกสิ่ง บัดนี้กลับเหมือนรับรู้บางอย่างที่เคยหายไปนานนัก บางอย่างที่เขาคิดว่าไม่มีวันจะหวนคืนมาอีก
อวี้หลงประหลาดใจจนแทบหยุดหายใจ ความตื่นเต้นแล่นวาบขึ้นมาในอก ลามไปทั่วแนวสันหลัง จังหวะนั้นเขาไม่ใช่จักรพรรดิผู้สุขุมรอบคอบอีกต่อไป แต่กลายเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ที่เฝ้าไขว่คว้าสัมผัสที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ลิ้มอีกครั้ง
ริมฝีปากเขาประทับซ้ำลงไปอย่างเงียบงัน ช้ากว่าเดิม อ่อนโยนกว่าเดิม ประหนึ่งอยากซึมซับทุกเศษเสี้ยวที่หลิงซากำลังมอบให้
หากนี่เป็นเพียงฝันกลางทะเลทราย เขาก็จะขอฝันให้ลึกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จะไม่รีบร้อนตื่น ไม่ปล่อยให้มันผ่านไปโดยไร้ร่องรอย
หลิงซาเบิกตากว้างในตอนแรกด้วยความตกใจที่ไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อเขาเคลื่อนไหวอย่างแผ่วช้า เปลี่ยนจุมพิตเป็นจังหวะลึกซึ้ง ซึมซาบ และวาบหวามยิ่งขึ้นไปทุกที หัวใจของนางกลับเริ่มเต้นแรง เสียงหวีดหวิวในอกดังแทนเสียงลม
กลิ่นกายของเขา กลิ่นทรายแห้ง ควันไฟอ่อนจาง และบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของอวี้หลง ทำให้นางหลงลืมไปชั่วครู่ว่าใครเป็นใคร
นิ้วเรียวกระชับแน่นกับมือที่ตรึงไว้ด้านหลัง แรงต่อต้านอ่อนลงช้าๆ เหลือเพียงความสับสนและบางสิ่งที่คล้ายยอมรับ กระทั่ง...
“อื้อ!” นางส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ อย่างไม่อาจห้าม
อวี้หลงคล้ายได้ยิน เขาผละออกช้าๆ นัยน์ตาสีนิลกดลึกสบเข้าไปในดวงตาเชื่อมช้อย ใบหน้าเขาแนบใกล้จนหน้าผากเกือบแตะกัน
“เจ้ารู้หรือไม่...” เสียงของเขาทุ้มต่ำ “เจ้าทำให้ข้า...”
“คุณหนู! อาบน้ำเสร็จหรือยังเจ้าคะ?!” เสียงใสของเสี่ยวจูแว่วมาแต่ไกล คล้ายสายฟ้าฟาดลงกลางใจทั้งสองในห้วงเวลาเดียวกัน
อวี้หลงชะงัก นัยน์ตาคมที่เคยจ้องลึกเต็มไปด้วยแรงปรารถนาเบนไปยังทิศต้นเสียงเพียงชั่วขณะ และนั่นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาส
หลิงซารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีผลักเขาออกเต็มแรง ร่างสูงผงะถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนที่เงาดำของเขาจะไถลหลบหายไปในความมืดยามรัตติกาล ราวกับไม่เคยปรากฏตัวอยู่ตรงนี้
หลิงซาหันขวับไปทางโอเอซิส เสี่ยวจูกำลังก้าวเท้าเข้ามา มือเล็กถือผ้าเช็ดตัวไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใยและงุนงง “ไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ? ใบหน้าท่านดูเห่อแดง”
เสี่ยวจูน่าจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ แต่หลิงซาไม่อาจพูดออกไปได้ ไม่ใช่เพียงเพราะอับอายที่เสียท่าถูกโจรขโมยม้าแตะต้อง แต่เพราะนางไม่เข้าใจตนเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ต่อต้านเขาจนถึงที่สุด
และยิ่งไม่เข้าใจว่า... ทำไมถึงรู้สึกวูบโหวง เมื่อเขาหายไปในความมืด นางจึงเลือกเงียบ ปิดผนึกเหตุการณ์นี้ไว้ในอก เหมือนทรายที่กลบซ่อนรอยเท้า ให้ลบเลือนไปกับค่ำคืนอันยาวนาน
“อาจจะ...” หลิงซาตอบเสียงแกว่ง ยกมือขึ้นกุมพวงแก้ม ขณะอีกมือรวบเสื้อคลุมขึ้นแนบกาย มองไปยังพุ่มไม้ที่เงาสุดท้ายของเขาเพิ่งหายลับไป
นางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หัวใจยังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ไม่ใช่เพราะความตกใจ แต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่นางไม่อยากยอมรับ
“เรารีบกลับกันเถิด” หลิงซาเอ่ยเสียงเบา “ดูเหมือนน้ำมันจะเย็นเกินไปแล้ว”
เสี่ยวจูพยักหน้า แม้ยังไม่เข้าใจนัก แต่ก็ไม่กล้าถามต่อ เมื่อเดินจากไปได้ไม่กี่ก้าว หลิงซาก็หันกลับไปมองอีกครั้ง เงาไม้ยังคงไหวไกวตามแรงลม แต่ไม่มีวี่แววของบุรุษผู้มาเยือน
