บท
ตั้งค่า

5 ล่อซื้อ

แสงอรุณแรกของวันยังไม่ทันเลื่อนพ้นแนวฟ้า กลุ่มควันจากกองไฟค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือค่ายทัพกลางทะเลทราย หลิงซาในชุดนักรบเต็มยศยืนอยู่หน้ากระโจม ตรวจตราความพร้อมของกองกำลัง ข้างกายนางมีเสี่ยวจูยืนทำท่าเช็ดเหงื่อ ปากบ่นพึมพำถึงความเหน็ดเหนื่อยของการเดินทาง ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มออกเดินด้วยซ้ำ

หลิงซาหันไปกำลังจะต่อว่า แต่แล้วสายตากลับเหลือบเห็นเงาม้าตัวหนึ่งพุ่งฝ่าคลื่นทรายมาแต่ไกล ความรู้สึกไม่สู้ดีแล่นวาบเข้ามาในอกโดยไม่ทราบสาเหตุ ดวงตาคมเพ่งจับเงานั้นนิ่ง ขณะหัวใจเริ่มเต้นแรงโดยไร้เหตุผล

เมื่อม้าตัวนั้นใกล้เข้ามามากขึ้น หลิงซาก็เริ่มเห็นชัดว่าเป็นเครื่องแต่งกายของเผ่าตนเอง ร่างของทหารหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว ร้องตะโกนโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์

"คุณหนู! แย่แล้ว! ซาเยวถูกกองทัพชิงหลัวตีล้อมและเข้ายึดได้แล้วขอรับ!"

ทหารผู้นั้นกระโดดลงจากหลังม้าทันทีที่ถึงที่หมาย เขาเข่าทรุดนั่งลงกองตรงหน้าค่าย ใบหน้าชุ่มเหงื่อและเปรอะทรายสะท้อนแววตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

เสียงร้องตะโกนอันร้อนรน ทำให้เหล่าทหารเผ่าหวงซาหันขวับไปมองเป็นตาเดียว นัยน์ตาคมวาววับด้วยความรู้สึกไม่สู้ดี ตั้งแต่ยังมองเห็นเพียงเงาลิบๆ ของม้า รีบพุ่งกายเข้าไปสอบถาม

“เจ้าว่าอะไรนะ?” หลิงซาถามเสียงเรียบ แต่แฝงความเย็นเยียบ

“ขอรับ... ข้า... ข้าเห็นกับตา...” เขาพยายามเรียงถ้อยคำทั้งที่ยังหอบ “ข้าเป็นทหารลาดตระเวน ตอนกลับไปถึงใกล้เขตเมือง พบว่าบรรยากาศไม่ปกติ”

เขาหอบหายใจ ก่อนเล่าต่อ “ข้าจึงหลบซ่อนตัวอยู่บนสันทรายที่มองเห็นเมืองได้ในระยะไกล และได้เห็น... กองทัพชิงหลัวล้อมเมืองไว้โดยรอบ ประตูเมืองปิดสนิท ไม่มีธงของเราปักอยู่เหมือนเดิม ข้าจึงคิดว่า... เมืองของเราน่าจะถูกยึดแล้ว”

เขาเงยหน้ามองหลิงซา ดวงตาสั่นไหวด้วยความรู้สึกผิด “ข้ากลัวจะช้าเกินไป เลยรีบควบม้ามาแจ้งท่านทันที”

ใบหน้าของหลิงซาแข็งทื่อ ดวงตาสีดำขลับจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่กระพริบ แม้พยายามสงบใจแต่ภายในกลับวูบโหวงอย่างรุนแรง

ข่าวที่ไม่ผ่านการยืนยันแน่ชัด แต่เพียงภาพเงาของความเป็นไปได้ ก็เพียงพอจะทำให้โลหิตของนักรบสาวเย็นเฉียบราวกับถูกสาดด้วยน้ำแข็ง

ดวงหน้าคมของหลิงซาถึงกับซีดเผือดชั่วพริบตา นางก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว คำรามเสียงต่ำอย่างไม่อาจควบคุม "ว่าอย่างไรนะ?!"

"พวกมัน... กองทัพชิงหลัว... ยึดเมืองเราได้แล้วขอรับ!"

หัวใจของหลิงซาร่วงหล่นดิ่งลึก นางไม่รอฟังรายละเอียดใดอีก พลันตวัดหน้ากลับไปออกคำสั่งเสียงดัง "เตรียมม้า! เคลื่อนทัพกลับซาเยวทันที!"

ความวูบไหวในอกยังไม่ทันจาง ความคิดบางอย่างก็ผุดวาบขึ้นมาในห้วงสำนึก ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างประหลาดเกินคาดเดา ข่าวลือเรื่องฮ่องเต้ไร้บารมีถูกปล่อยออกมา โดยไร้ความเกรงกลัวในอำนาจที่สามารถบั่นคอคนกล่าวได้ในพริบตา

และการรวมหัวของสามเผ่า ที่ดูคล้ายจะเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างตั้งใจราวกับถูกกำหนดไว้ ทุกสิ่งอย่างล้วนดูเป็นใจให้เผ่าหวงซาส่งกองทัพออกจากเมือง

เมื่อทุกอย่างเรียงร้อยเข้าด้วยกัน หลิงซาก็พลันเข้าใจในทันที นี่มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่มือของใครบางคนกำลังกุมบังเหียนอยู่เบื้องหลังทุกระลอกคลื่น

ชิงหลัวไม่ได้อ่อนแออย่างข่าวลวง แต่คือผู้จุดข่าวลือนั้นขึ้นเอง ล่อเสือให้ออกจากถ้ำ ก่อนจะย้อนกลับมาโจมตีรังของมันในยามเผลอ เมืองที่ไร้กำลังพล คือเป้าหมายที่สมบูรณ์แบบของการบุกเงียบ

สัญชาตญาณนักรบของหลิงซาร้องเตือนทันทีว่า... ทุกอย่างล้วนถูกจัดวางไว้แล้ว

ขบวนทัพเผ่าหวงซาเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วราวกับพายุทราย หลิงซาขี่อาชาสีขาวเงินทะยานนำหน้าขบวน โดยมีเสียวจูตามหลังอย่างทุกลักทุเลไม่ห่าง สีหน้าของนางเคร่งเครียดเกินบรรยาย ตลอดทางหัวใจดวงน้อยว้าวุ่นร้อนรน ดวงตาคมกริบจับจ้องเส้นขอบฟ้าเบื้องหน้าโดยไม่วอกแวก

เมื่อกลับมาถึงชายเมืองซาเยว ทุกอย่างยังคงเงียบงัน แต่บรรยากาศกลับอึมครึมผิดปกติ เหล่าชาวบ้านที่อยู่ในเมืองต่างหลบตา ทหารที่เฝ้าค่ายมีสีหน้าเคร่งเครียด นางเร่งควบม้าเข้าไปถึงลานกลางหมู่บ้าน และกระโดดลงจากหลังม้าด้วยความรีบร้อน

"ท่านพ่ออยู่ที่ใด?!" หลิงซาตะโกนถามเสียงดังลั่นจนทุกคนสะดุ้ง

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งทำท่าจะก้าวออกมาตอบ ทว่าหนึ่งในผู้นำเผ่าอีกคนที่มีความเห็นต่างกับคนอื่นๆ ไม่ปรารถนาจะร่วมแผ่นดินกับชิงหลัวกลับแทรกตัวออกมาก่อน ดวงตาของเขาเปล่งประกายแววตาร้ายกาจอย่างคาดไม่ถึง

"พ่อของเจ้าถูกกองทัพชิงหลัวจับตัวไปเป็นเชลยแล้ว" เขากล่าวเสียงเข้ม ดวงตาเจือแววเยาะหยัน "และรู้หรือไม่ พวกมันต้องการให้เจ้าสวามิภักดิ์และแต่งงานกับจักรพรรดิแห่งแคว้นเหยี่ยนหลง เพื่อสานสัมพันธ์เป็นพันธมิตร ถึงจะปล่อยหัวหน้าเผ่าของเราเป็นอิสระ"

คำพูดนั้นทำเอาทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบ มันคือข้อมูลเท็จที่เป็นจริง แม้ซาเจิ้งจะไม่ได้ถูกจับตัวไปอย่างที่กล่าวอ้าง แต่การไปชิงหลัว ก็ไม่ต่างจากการตกอยู่ในกำมือของศัตรู

หนำซ้ำเรื่องแต่งงานสานสัมพันธ์ จักรพรรดิหนุ่มก็ได้มีการเปรยออกมา แม้จะฟังดูเป็นถ้อยคำหยอกเย้า แต่แววตาและสีหน้าของเขา กลับไม่มีแม้แต่เงาของความล้อเล่น

หลิงซายืนนิ่งงันชั่วครู่ ดวงตาของนางเบิกกว้าง ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนระเบิดเสียงออกมา "แต่งงานสานสัมพันธ์งั้นรึ?! ได้สิ! ข้าจะให้เขาได้แต่งกับดาบของข้า!"

นางสะบัดหน้ากลับโดยไม่รอฟังสิ่งใดอีก เสี่ยวจูรีบก้าวตาม คว้าแขนเสื้อของเจ้านายไว้แน่น

"คุณหนู!" เสียงของนางสั่นไหวแต่หนักแน่น "ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงท่านหัวหน้าเผ่า ข้าเองก็เช่นกัน แต่ขอร้องเถิดเจ้าคะ อย่าเพิ่งบุ่มบ่ามไปแบบนี้"

หลิงซาหันกลับมา ดวงตาคู่คมวาววับราวมีเปลวไฟซ่อนอยู่ "บุ่มบ่าม? ท่านพ่ออยู่ในมือศัตรู เจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไร นั่งเฉยๆ แล้วรอปาฏิหาริย์งั้นหรือ?"

"ไม่ใช่เจ้าค่ะ!" เสี่ยวจูรีบส่ายหน้า "ข้าเพียงอยากให้คุณหนูมีสติและใจเย็นกว่านี้ ท่านยังมีเวลาคิด มีเวลาวางแผน!"

"ข้าไม่มีเวลาหรอก!" หลิงซาตอบเสียงเข้ม "ทุกลมหายใจที่ข้าปล่อยให้เขาอยู่ในเมืองนั้น โดยไม่มีข้าอยู่เคียงข้าง คือความเสี่ยง!"

เสี่ยวจูเม้มปากจนกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่นกว่าเดิม "ก็เพราะมันเสี่ยงไงเจ้าคะ คุณหนูจึงยิ่งต้องมีสติ ท่านเก่งก็จริง แต่ถ้าทำอะไรตอนใจร้อน มันอาจพลาดพลั้งได้ง่ายกว่าทุกที"

คำเตือนนั้นทำให้หลิงซาชะงักไปเล็กน้อย สายตาของนางลดความวาวลงชั่วครู่ ก่อนจะหลุบตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก

"ข้ารู้..." เสียงของนางเบาลงกว่าเดิม แต่ยังไม่ยอมอ่อนแรง "แต่ข้าก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้จริงๆ"

"ถ้าเช่นนั้นข้าไปกับท่าน" เสี่ยวจูพูดขึ้นทันที "ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านเดินทางเพียงลำพัง!"

"ไม่ได้!!" หลิงซาส่ายหน้าเป็นพัลวัน "เจ้าจะทำให้ข้าต้องชะลอทุกย่างก้าว ความอดทนต่อสภาพอากาศนอกเมืองของเจ้ามีจำกัด"

"แต่ข้า..."

"ข้าตัดสินใจแล้ว" น้ำเสียงของหลิงซาแน่วแน่ ดวงตาคมยังไม่แผ่วลง "เจ้าต้องอยู่ที่นี่ รอฟังข่าวจากข้า และหากภายใน 1 สัปดาห์ข้าไม่ติดต่อกลับมา เจ้าก็จงบอกทุกคนว่าข้าทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว"

เสี่ยวจูเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหลุบตาลง พยักหน้าอย่างช้าๆ "เจ้าค่ะ แต่โปรดกลับมาให้ได้นะเจ้าคะ"

หลิงซาไม่ตอบ เพียงส่งสายตาหนึ่งครั้งแทนคำสัญญา แล้วหันกายเหวี่ยงตัวขึ้นหลังอาชา

เสียงกีบม้าดังกระทบผืนทรายอีกครั้ง พร้อมเงาร่างของยอดนักรบสาวทะยานสู่เส้นขอบฟ้า ทิ้งไว้เพียงแววตาวูบไหวของสาวใช้ผู้เฝ้าดูอยู่ในความเงียบ

สองวันต่อมา...

ตลอดเส้นทางอันยาวไกล หลิงซาขี่ม้าหามรุ่งหามค่ำโดยไม่ยอมหยุดพัก เส้นทางที่ควรใช้เวลาหลายวันกลับถูกย่นลงเหลือเพียงสองวันหนึ่งคืน

สายลมทะเลทรายโบกตีใบหน้า แสงแดดแผดกล้า และความอ่อนล้าของร่างกายล้วนไม่อาจหยุดฝีเท้านางได้ แต่สิ่งที่กัดกินยิ่งกว่าสายลมหรือทรายร้อน คือความหวาดหวั่นในใจ

ความคิดถึงใบหน้าของซาเจิ้งไม่เคยละไปจากใจนางแม้ชั่วครู่ ไม่รู้ว่าบัดนี้เขาถูกจับตัวไปอยู่ที่ใด ได้รับการปฏิบัติอย่างไร หรือแม้กระทั่ง... ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

ความหวาดกลัวที่ไม่อาจเอ่ย กลืนกินลมหายใจไปทุกจังหวะ มันกัดแทะจิตใจราวกับหนามในอกที่ไม่มีทางถอน ตั้งแต่จำความได้ ซาเจิ้งคือเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวที่หลิงซามี หากวันนี้นางต้องสูญเสียเขาไป เพราะความไม่ระวังของตน

เพียงคิดน้ำตาก็แทบเอ่อล้น แต่หลิงซาไม่ยอมให้มันไหลออกมา นางทำได้เพียงกระชับบังเหียนแน่นกว่าเดิม เร่งฝีเท้าม้าดุจเปลวไฟเผาผ่านทะเลทราย เพราะเวลานี้ความกลัว ไม่อาจมีที่ยืนในใจของคนที่ตั้งใจจะทวงคนสำคัญกลับคืน

ท่ามกลางแดดแผดกล้าแห่งยามบ่ายใกล้ค่ำ เงาร่างบนหลังอาชาเพียงหนึ่งเดียว ตัดผ่านผืนทรายร้อนระอุอย่างมุ่งมั่นไม่หยุดหย่อน ฝุ่นทรายลอยตามแรงฝีเท้า ปะทะกับเกราะสีเงินหม่นที่เปื้อนฝุ่นและเหงื่อของนักรบสาว

หลิงซาไม่ได้หยุดพักแม้ยามค่ำคืน อาศัยเพียงแสงจันทร์นำทาง บางคราวหลับตาพักเพียงชั่วลมหายใจบนหลังม้า แล้วเร่งเดินทางต่อทันที

กระทั่งในยามบ่ายของวันที่สอง ร่างสูงบนหลังอาชาเริ่มโงนเงน ม้าสีขาวเงินหอบหายใจถี่ กีบเท้าสะเปะสะปะ กระทั่งย่างเข้าสู่รัศมีของกำแพงเมืองใหญ่แห่งนครชิงหลัว มันก็ล้มฮวบลงกับพื้นทราย

หลิงซาตกใจ รีบกระโจนลงจากหลังม้า คุกเข่าข้างร่างของสหายร่วมทางผู้ภักดี “ข้า... ขอโทษ” เสียงของนางสั่นเครือ ขณะเอื้อมมือสัมผัสขนเปื้อนเหงื่อของมันเบาๆ

อาชาคู่ใจเพียงหายใจอ่อนแรง มันไม่ได้ตาย แต่หมดเรี่ยวแรงจนลุกไม่ไหว หลิงซาหลุบตาลง กัดฟันแน่นแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “กลับไป... หากเจ้าลุกไหว จงหาทางกลับเผ่า ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องตายเพราะข้า”

จากนั้นนางลุกขึ้น เงยหน้ามองกำแพงสูงตระหง่านของชิงหลัว ดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความแน่วแน่ แม้จะตัวลำพังไร้ที่พึ่ง แต่ใจของนางกลับแข็งแกร่งดั่งมีหมื่นทหารอยู่เบื้องหลัง

หลิงซาหลบเร้นอยู่หลังเนินทราย ลอบสังเกตการเข้าออกของเหล่าคาราวานที่แวะพักตรวจสอบสินค้าก่อนเข้าเมือง ไม่นานก็สังเกตเห็นกองคาราวานชุดหนึ่ง มีสตรีจำนวนหนึ่งแต่งกายสีสันฉูดฉาด ผ้าคลุมบางเบา ท่าทางราวกับนักแสดงหรือนักเต้นจากดินแดนตะวันตก

แผนการถูกจุดประกายขึ้นในพริบตา ช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการจัดสินค้าและตรวจตรา หลิงซาฉวยโอกาสลอบเข้าไปยังหลังรถม้าที่ขนสัมภาระ ล้วงหยิบเอาเสื้อผ้าของนักเต้นออกมาชุดหนึ่ง พร้อมผ้าคลุมที่ใช้บดบังใบหน้าอย่างมิดชิด แล้วรีบหลบไปเปลี่ยนหลังเนินทราย

เมื่อนางกลับออกมาอีกครั้ง ร่างของนักรบแห่งเผ่าหวงซาก็หายไป กลายเป็นนักเต้นสาวผู้มีดวงตาคมซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมบางเบา

อาภรณ์ที่สวมใส่ทั้งบางและน้อยชิ้น เผยให้เห็นเรือนร่างทรงเสน่ห์ หากไม่เพ่งพินิจดูดีๆ ย่อมไม่มีผู้ใดสงสัยว่านางคือยอดนักรบแสนอันตราย

หลิงซาเดินประสานเข้ากับกลุ่มนักเต้นอย่างแนบเนียน ไม่มีใครทันสังเกตถึงร่างแปลกปลอมที่เพิ่มขึ้น สตรีทั้งกลุ่มถูกเปิดทางให้เดินเข้าสู่เขตกำแพงเมือง หลังตรวจตราเพียงผ่านๆ

เมื่อผ่านประตูเมืองมาได้สำเร็จ หัวใจของหลิงซาเต้นรัวอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้า หากแต่นัยน์ตายังคงนิ่งแน่วไม่ไหวเอน นางเดินปะปนไปกับเหล่านักเต้นที่พูดคุยกันอย่างตื่นเต้น

“คืนนี้ได้เข้าไปในตำหนักหลวงแน่ ข้าได้ยินว่าองค์จักรพรรดิจะเสวยเลี้ยงรับแขกใหญ่ด้วยตัวเองเลยนะ!”

“ข้าล่ะตื่นเต้นยิ่งนัก ได้ยินว่าฝ่าบาทรูปงามเกินคำบรรยาย หากแม้เพียงปรายตามองข้าสักครั้ง ข้าคงตายตาหลับ!” หลิงซาได้ฟังสิ่งเหล่านั้นแล้วรู้สึกนึกขัน

‘หึ... รูปงามรึ?’

นางก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มเหยียดใต้ผ้าคลุม

ดี... คืนนี้นางจะได้พบหน้าจักรพรรดิชั่ว ผู้ที่บังอาจจับบิดาของนาง และบังอาจปรามาสนางว่าจะยอมแต่งงานกับเขา!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel