2 ข่าวลวง
สามเดือนต่อมา
ลมร้อนจากผืนทรายพัดเอื่อยพาเอากลิ่นหอมของเครื่องเทศ และกลิ่นหอมไหม้จากเนื้อย่างลอยแตะจมูก ตลาดกลางเมืองซาเยวในวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ
กลุ่มพ่อค้าคาราวานจากเผ่าเจินไห่ ฉีเหอ และแม้แต่เหลียนซาน ต่างพากันตั้งแผงขายของเรียงรายสุดสายตา เสียงต่อรองราคา เสียงหัวเราะ และเสียงบรรเลงดนตรีพื้นเมืองดังคลอเคลียไปกับแสงแดดอุ่นของยามสาย
“คุณหนูเจ้าคะ ดูนี่สิ! สร้อยหยกเส้นนี้สวยมากเลย” เสี่ยวจูเอ่ยพลางชี้ไปยังแผงขายเครื่องประดับจากเจินไห่ หยกเขียวขุ่นถูกเจียระไนเป็นรูปลายเมฆอย่างประณีต
หลิงซามองตามด้วยความสนอกสนใจ แม้ชื่นชอบในศิลปะการต่อสู้เป็นหลัก แต่ยังคงเป็นสตรีที่รักในความสวยงาม ทว่าขณะกำลังจะเอื้อมมือไปสัมผัสสร้อยหยก เสียงกระซิบกระซาบของพ่อค้ากลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักก็สะดุดโสตประสาท
“ข้าว่าแล้ว ฮ่องเต้ชิงหลัวก็แค่บุรุษเจ้าสำราญ ดีแต่ลวงตาคนด้วยเปลือกนอก”
“ข้าเองก็ได้ยินมา ว่าทั้งวันหมกตัวอยู่แต่ตำหนักใน เสาะหาสตรีหน้าใหม่มาเคล้าเคียง ไม่กลัวเลยหรือไรว่าเหล่าพันธมิตรจะโค่นบัลลังก์เข้าสักวัน”
“โอ๊ย! เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา 3 เผ่านั้นเขาวางแผนร่วมมือกันจะยกทัพไปตีนครชิงหลัวไม่ช้านี้แล้ว”
หลิงซาขมวดคิ้วทันที เสี่ยวจูที่ยืนข้างๆ ก็พลอยได้ยินเข้าไปด้วยเช่นกัน นางเบิกตากว้าง หันไปกระซิบเสียงเบา “คุณหนูได้ยินหรือไม่เจ้าคะ?”
หลิงซาพยักหน้า สายตาเรียบนิ่งเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “กลับ” นางเอ่ยเพียงคำเดียวก่อนหมุนกายเดินออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับถึงหมู่บ้าน หลิงซาไม่รอช้ารีบตรงไปยังกระโจมใหญ่ใจกลางค่ายทหาร ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ประชุมหารือของเหล่าผู้อาวุโสและผู้นำเผ่า เสียงสนทนาเข้มข้นลอดออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดผ้าเข้าไป
“หากทั้ง 3 พันธมิตรคิดรวมกำลังกันถล่มชิงหลัวจริง เราควรส่งทัพไปสมทบ!”
“เห็นด้วย หากราชสำนักอ่อนแออย่างข่าวลือจริง ก็ถึงเวลาที่พวกมันจะต้องชดใช้ทุกสิ่งที่เคยทำกับดินแดนของเรา!”
หลิงซาเปิดผ้าเข้าไปอย่างไร้มารยาท ดวงตาคมกวาดมองทุกคนในที่ประชุม ก่อนหยุดอยู่ที่ซาเจิ้งผู้เป็นบิดา
“ข้าขออาสานำทัพไปเอง” นางเอ่ยเสียงหนักแน่นกลางความเงียบชั่ววูบ ทุกสายตาหันมามองนางเป็นตาเดียว
“ซาเอ๋อร์...” ซาเจิ้งลุกขึ้นจากที่นั่ง สีหน้าเคร่งเครียด “เจ้ายังไม่รู้แน่ชัดว่าข่าวที่ได้ยินนั้นจริงเท็จเพียงใด”
“ข่าวอาจไม่จริง แต่ความอ่อนแอของชิงหลัวก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน” หลิงซาตอบเสียงนิ่ง “หากเป็นโอกาสเดียวที่เราจะได้แสดงจุดยืน ข้าขอเป็นผู้นำไปพบความจริงด้วยตาตนเอง”
เสียงฮือฮาเริ่มดังขึ้นในหมู่ผู้อาวุโส บ้างเห็นด้วย บ้างค้าน ซาเจิ้งมองธิดาสุดที่รักด้วยแววตาลึกซึ้ง เขารู้ดีว่าหลิงซาไม่เคยพูดในสิ่งที่ตนเองไม่มั่นใจ
“พ่อให้เวลาเจ้าหนึ่งคืน ไปตรึกตรองให้รอบคอบ หากพรุ่งนี้คำตอบเจ้ายังยืนยันคำเดิม พ่อคงไม่อาจห้ามความมุ่งมั่นของเจ้าได้ จะยอมให้เจ้าเป็นผู้นำทัพอย่างที่ปรารถนา”
หลิงซาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ นางเพียงค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม ก่อนหมุนกายออกจากกระโจม ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศในห้องประชุม จนดูอึมครึมจนน่าอึดอัด
แสงจันทร์สีเงินสาดส่องลงบนผืนทรายที่เย็นลงแล้ว ทว่าในกระโจมหลังย่อมซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเขตกองบัญชาการ หลิงซากลับนอนนิ่งตาเบิกโพลง จ้องเพดานผ้าขึงตึงเบื้องบนโดยไม่มีวี่แววว่าจะข่มตาหลับลงได้
คำพูดของเหล่าผู้อาวุโสในวันนี้ยังคงก้องอยู่ในหู ข่าวลือจากตลาด สีหน้าเคร่งเครียดของพ่อ และสายตาหลากความเห็นของคนในเผ่า ทั้งหมดทั้งมวลผสานกันเป็นพายุในใจที่ไม่อาจสงบลงง่ายๆ
แม้นางจะสงบเยือกเย็นภายนอก แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับพลุ่งพล่านอยู่ภายใน คล้ายมีบางสิ่งที่รอการพิสูจน์ ไม่ใช่แค่ข่าวลือของจักรพรรดิเจ้าสำราญ แต่ยังมีคำถามหนึ่งที่เนิ่นนานแล้วก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
เหตุใดบุรุษผู้นั้นถึงเก่งกาจเกินกว่านาง?
เขาเป็นใครกันแน่?
และเหตุใด... เงาของเขาถึงไม่เคยเลือนหายไปจากความคิด?
เรื่องนี้รบกวนจิตใจหลิงซามายาวนานกว่าสามเดือน ไม่ว่าจะทำอะไรหรือเวลาไหน ภาพของบุรุษผู้นั้นก็จะปรากฏขึ้นในจิตสำนึกจนนางรู้สึกหงุดหงิด
ที่ผ่านมาหลิงซาเทียวขี่ม้าไปเดินวนแถวโอเอซิสนั้นอยู่เสมอ เพื่อหวังจะได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง ต้องการพิสูจน์ว่าความพ่ายแพ้ที่ได้รับ มันเป็นเพราะจังหวะบังเอิญที่นางดวงซวยและเขาดันโชคดี หรือเป็นเพราะความสามารถของคนผู้นั้นเหนือกว่านางจริงๆ กันแน่ แต่เขาก็ไม่เคยโผล่มาอีกเลย
ยิ่งนานกลางคืนก็ยิ่งยาว แต่เมื่อแสงแรกของอรุณพาดผ่านปลายกระโจม หลิงซาพลันยันตัวลุกขึ้น ก่อนคว้าผ้าคลุมคล้องไหล่ ก้าวออกไปสู่โลกที่อาบแสงทองของยามเช้า
นางเดินเร็ว... เร็วราวกับกลัวว่าจะไม่ทันอะไรบางอย่างที่ตนเองตั้งใจไว้ เสียงฝีเท้าคุ้นเคยของบิดาดังขึ้นที่ด้านหน้ากระโจมใหญ่พอดิบพอดี ร่างสูงใหญ่นั้นเพิ่งก้าวออกมาโดยมีแม่ทัพคนสนิทตามหลัง ขณะกำลังจะเดินไปตรวจแนวกองทัพ
“ท่านพ่อ!” เสียงหลิงซาดังขึ้นจนคนรอบข้างต้องหยุดฝีเท้า ซาเจิ้งชะงัก หันไปมองลูกสาวที่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้ามุ่งมั่น นางหยุดห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนประกาศเสียงหนักแน่นอย่างไม่ลังเล “ข้าขอยืนยันคำเดิม ข้าจะเป็นคนนำทัพไปยังชิงหลัวด้วยตนเอง”
ซาเจิ้งอ้าปากจะกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อสบกับดวงตาคมลึกที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่ของบุตรสาว ก็ได้แต่ถอนหายใจช้าๆ
“ในเมื่อเจ้าแน่ใจ พ่อก็จะไม่ขัด” เขากล่าวเสียงหนัก “เตรียมตัวให้พร้อม อีกสามวันเราจะเคลื่อนพล”
หลิงซาค้อมศีรษะ “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ” น้ำเสียงของนางนิ่งแต่ในดวงตากลับทอแววประกาย
ซาเจิ้งเดินจากไปพร้อมข้าราชบริพาร ทิ้งให้หลิงซายืนอยู่ตรงนั้น ทันทีที่บิดาพ้นสายตา นางก็ปล่อยรอยยิ้มแห่งชัยชนะออกมาทันควัน
“คุณหนู...” เสี่ยวจูที่ตามมาเงียบๆ ตั้งแต่แรก เงยหน้ามองเจ้านายตนด้วยแววตาสั่นไหว “ท่านดีใจนักหรือเจ้าคะ?”
“แน่นอนสิ” หลิงซาหันไปตอบเสียงเบา แต่สีหน้าเปล่งปลั่งเต็มไปด้วยความดีใจ “ข้าอยากรู้ความจริง อยากเห็นด้วยตาตนเอง และอยาก...” นางชะงักเล็กน้อย ไม่พูดต่อ
เสี่ยวจูเม้มริมฝีปาก “งั้น... ข้าขอไปกับท่านด้วยนะเจ้าคะ”
“ไม่ได้!” หลิงซาหันไปทันควัน น้ำเสียงเข้ม “เจ้าสู้ใครไม่ได้แม้แต่เด็กสิบขวบ จะตามข้าไปเป็นภาระหรือไร?”
“แต่... แต่ข้าเป็นห่วงท่าน!” เสี่ยวจูพูดเสียงสั่น “ข้าไม่เคยปล่อยให้ท่านออกไปไหนคนเดียวข้ามคืนข้ามวัน ข้าจะไม่อุ่นใจเลยหากไม่เห็นท่านกลับมาอย่างปลอดภัย”
“เสี่ยวจู...” หลิงซาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจยาว “เจ้าดื้อไม่แพ้ข้าเลยนะ”
สาวใช้คนสนิทยิ้มออกมาทันที “แปลว่าท่านยอมให้ข้าไปด้วยแล้ว ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“เอาเถอะ ถ้าเจ้ายืนยันจะไป ข้าจะให้ติดตามไปด้วยก็ได้ แต่ต้องอยู่หลังสุดของขบวน ห้ามเข้าใกล้แนวหน้าเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
เสี่ยวจูพยักหน้าแรง “เจ้าค่ะ ข้าสัญญา!”
ดวงตาของหลิงซาสบเข้ากับสายลม ที่พัดเอาฝุ่นทรายปลิวลอยขึ้นคลอแสงอรุณอันอ่อนจาง นางยกมือขึ้นป้องแดด มองไปยังขอบฟ้าอันไกลโพ้นอย่างแน่วแน่
ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือแผนการใด นางจะเป็นคนไปค้นหาความจริงนั้นด้วยตนเอง...
ในหุบเขาแห้งแล้งที่ทอดตัวขนานไปกับชายแดนด้านตะวันออกของซาเยว เงาภูเขาสูงทอดทาบลงบนค่ายทหารชั่วคราว ที่ตั้งเรียงลดหลั่นกันอย่างแนบเนียนใต้เพิงหิน
กระโจมทหารสีเข้มกลมกลืนกับผืนทรายถูกตั้งกระจายเป็นระยะ เสียงอาชากระทืบเท้าเบาๆ ดังสลับกับเสียงคมดาบกระทบกันยามทหารฝึกอาวุธ
ท่ามกลางความเงียบสงบอันตึงเครียด เหล่าทหารของกองทัพชิงหลัวนั่งเฝ้ายามกันเงียบเชียบ ไม่มีการโห่ร้องหรือซ้อมรบเสียงดังเช่นเคย เพราะนี่คือการรบที่ต้องอาศัยความลับเหนือพลัง
เบื้องหน้าสุดของแนวค่าย แม่ทัพหลิวเหวินผู้เฉียบขาดยืนกอดอกอยู่บนชะง่อนหิน เขาทอดสายตามองลงไปยังทะเลทรายเบื้องล่างที่ไร้วี่แววของผู้คน ระบายลมหายใจช้าๆ ก่อนหันกลับไปมองเส้นทางแคบที่คดเคี้ยวขึ้นมาจากด้านล่าง
“ยังไม่มีข่าวจากเมืองหลวงเลยหรือ?” เขาถามกับนายทหารคนหนึ่งที่ยืนเฝ้าทางเข้า
“ยังขอรับท่านแม่ทัพ แต่คาดว่าอีกไม่นาน”
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าม้าเร่งร้อนดังขึ้นจากปลายทาง กลุ่มควันฝุ่นเบาบางเริ่มลอยฟุ้งขึ้นตามแนวเขา ก่อนที่เงาร่างของม้ากลุ่มหนึ่งจะปรากฏขึ้นจากโค้งหิน
ม้าศึกสีดำสนิทวิ่งนำอยู่หน้าขบวน มันควบตรงเข้ามาอย่างมั่นคง คนที่อยู่บนหลังม้าสวมผ้าคลุมสีเทาหม่นไม่มีเครื่องประดับใด แต่เพียงแวบเดียว ทุกคนในค่ายพลันหยุดนิ่งและรีบคุกเข่าลงทันที
“ฝ่าบาท!”
อวี้หลงยกมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้น ก่อนบังคับม้าเดินตรงไปยังที่ตั้งกระโจมของแม่ทัพหลิวเหวิน และหยุดลงตรงด้านหน้าทางเข้าที่มีเขายืนรอต้อนรับ
อวี้หลงลงจากหลังม้าช้าๆ ดึงผ้าคลุมออกเผยให้เห็นอาภรณ์เนื้อดีแต่เรียบง่าย เขาก้าวเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแม่ทัพคู่บารมี แล้วพยักหน้าเบาๆ ส่งสัญญาณให้เดินตามเข้าไปด้านใน หย่งหลินและฟู่เหยียนที่มาพร้อมกับอวี้หลง หลังลงจากหลังม้าก็เดินตามแผ่นหลังทรงอำนาจเข้าไปด้วยเช่นกัน
“สายของเรารายงานมาแล้ว เผ่าหวงซากำลังตั้งทัพ และแม่ทัพนำทัพทำศึกในครั้งนี้คือธิดาหัวหน้าเผ่า หลิงซา...”
ชื่อที่ออกจากริมฝีปากของฮ่องเต้ทำให้หลิวเหวินเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่เขาไม่ถามอะไรนอกจากเพียงกล่าวสั้นๆ “ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน”
อวี้หลงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ข้าไม่เคยบีบบังคับให้คนเหล่านั้นเดินมา ข้าเพียงทำให้พวกเขาเลือกที่จะเดินออกมาหาข้าเองด้วยความเต็มใจ”
หลิวเหวินถอนหายใจ “แล้วต่อไป?”
“เราจะเข้าซาเยว” น้ำเสียงของจักรพรรดิหนุ่มนิ่งเรียบ “ตอนนี้กองกำลังในเผ่าหวงซาเหลือเพียงครึ่งเดียว เพราะอีกครึ่งหนึ่งเตรียมเคลื่อนทัพออก เราจะไม่ทำลายแต่จะล้อม และขอเจรจา”
“กับผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ซาเจิ้ง” อวี้หลงตอบทันที “หากเขาคือหัวใจของเผ่า ข้าก็ต้องพูดกับหัวใจดวงนั้นก่อน”
หลิวเหวินพยักหน้าช้าๆ รับคำ “เช่นนั้นกระหม่อมจะให้กองหน้าขยับในคืนนี้”
“ดี” อวี้หลงตอบสั้นๆ ก่อนทอดสายตาไปยังขอบฟ้าอันไกลโพ้น
นี่ไม่ใช่เพียงศึกแห่งกลยุทธ์เท่านั้นที่กำลังดำเนินอยู่ แต่ยังเป็นศึกในใจของเขาด้วยเช่นกัน เป้าหมายรวบรวมแผ่นดินแคว้นเหยียนหลงจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเดิมพันในครั้งนี้
หากสำเร็จ ห้าชนเผ่ารวมเป็นหนึ่ง แคว้นเหยียนหลงจะแข็งแกร่งไร้ผู้ใดทัดเทียม แต่หากล้มเหลว... ก็อาจแตกแยกไร้ทางประสาน
ตลอดกาล...
