1 ข่าวลือ
แสงแดดยามบ่ายคล้อยทาบไล้ลงบนผืนทรายสีทองอมส้ม อุณหภูมิยังคงอบอ้าวแต่ไม่ร้อนจัดเท่าเวลาเที่ยงวัน ลมร้อนผะแผ่วพัดหอบกลิ่นดินแห้ง เจือกลิ่นควันจางๆ จากเตาเผาอาหารของกระโจมแต่ละหลัง คล้ายลมหายใจสุดท้ายของวันก่อนแสงจะลาลับ
ท่ามกลางดินแดนร้างไร้พืชพรรณ หมู่บ้านกลางทะเลทรายกลับตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม กระโจมขนาดใหญ่เรียงรายเป็นระเบียบ หลังคาผ้าหนาเหยียดตึงด้วยเสาซึ่งทำจากกระดูกอูฐ มีผืนหนังสัตว์ขึงรอบด้านบังแดดและกันเม็ดทราย แท่นหินที่ใช้วางหม้อและถุงเกลือเรียงรายอยู่หน้าประตูทางเข้า คล้ายเป็นสัญลักษณ์ของครัวเรือนแต่ละหลัง
ม้าหลายสิบตัวถูกผูกไว้กับเสาไม้เตี้ย แสงแดดส่องลอดระหว่างกระโจม เผยให้เห็นร่างกำยำของบุรุษหนุ่มที่เดินสวนมา บ้างแบกฟ่อนฟาง บ้างหาบน้ำ ส่วนเด็กๆ ฝึกขว้างมีดหรือยิงธนูอยู่บนลานฝึกขนาดย่อมใต้ร่มผ้าใบตึงรัด แม้จะห้อมล้อมด้วยความแร้นแค้น แต่ชาวเผ่าหวงซาก็มีแววตาเด็ดเดี่ยว เข้มแข็งเกินคำบรรยาย
ที่นี่คือดินแดน ซาเยว ทะเลทรายสุดขอบสายตา เต็มไปด้วยผืนทรายสีทองแดงอันร้อนระอุยามแดดจ้า และเย็นเยียบราวน้ำแข็งยามราตรี มันคือดินแดนไร้ความปรานี ที่แม้แต่สายฝนก็ยังหลีกเลี่ยงจะโปรยปรายลงมา
ภูมิประเทศของซาเยวเป็นทะเลทรายสลับกับภูเขาหินแห้งแล้ง ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน ไร้ทุ่งหญ้าให้สัตว์เลี้ยงแทะกิน มีเพียงโอเอซิสไม่กี่แห่งที่เป็นแหล่งน้ำใจกลางความแห้งแล้ง และกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ใครๆ ต่างหมายปอง ชาวซารู้ซึ้งในเรื่องนี้ดี จึงสืบทอดวิชาการต่อสู้กันมาแต่บรรพกาล
แม้ไร้ร่มเงาแห่งไม้ใหญ่ ไร้ความอุดมสมบูรณ์อย่างดินแดนอื่น แต่ผู้คนที่นี่กลับแข็งแกร่ง รักสงบแต่ไม่ยอมศิโรราบ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสมถะ ยึดมั่นในเกียรติ และซื่อสัตย์ต่อเผ่าของตนยิ่งกว่าสิ่งใด
ซาเยวไม่ใช่ดินแดนที่ผู้คนทั่วไปเลือกอยู่อาศัย แต่เป็นดินแดนที่ผู้ถูกเลือกเท่านั้นจึงจะมีลมหายใจอยู่รอดต่อไปได้
“คุณหนูหลิงซา!” เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ เมื่อมองเห็นร่างหนึ่งกำลังเดินเข้าหมู่บ้านมาจากทางฝั่งทิศตะวันตก
ร่างนั้นแม้สวมชุดคลุมบุรุษห่มทับไว้อีกชั้น แต่ก็จำแนกได้ไม่ยากจากท่วงท่าการก้าวเดินแสนสง่างาม กับดวงตาคมดุที่ราวกับสามารถกรีดท้องฟ้าให้แยกออกจากกัน
“ท่านกลับมาได้อย่างไรน่ะ?” เสี่ยวจู สาวรับใช้คนสนิทของหลิงซารีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านาย “ตอนออกไปท่านขี่ม้า แล้วนี่เหตุใดถึงเดินกลับมาเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?”
หลิงซาชะงักเล็กน้อยก่อนตอบน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าทำม้าหลุดกลางทาง” นางไม่แสดงสีหน้าใดให้เห็น แม้ข้างในจะยังคงรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องโกหก
“ม้าหลุด?!” เสี่ยวจูตกใจ “แต่ท่านขี่อวี้ไปมิใช่หรือเจ้าคะ? ปกติอวี้ไม่เคยดื้อเลยนี่นา”
อวี้คืออาชาที่มีทั้งความสง่างามและฉลาดเป็นกรด มันสามารถวิ่งกลับมาหาเจ้าของได้แม้อยู่ไกลนับพันลี้ ถูกฝึกมาให้มีความซื่อสัตย์และภักดี การที่หลิงซาบอกว่าทำม้าหลุดจึงเป็นเรื่องที่เสี่ยวจูทำใจเชื่อได้ยาก
“ก็วันนี้มันหลุด!” หลิงซาตัดบท ไม่เปิดช่องให้ถามต่อ จากนั้นเดินปรี่เข้าไปยังลานฝึกด้วยท่าทางหัวเสีย ดวงตาคู่นั้นคุกรุ่นเหมือนพายุทรายที่ก่อตัวอีกระลอก
“ทุกคน หยุด!” เสียงนางเฉียบขาด แรงสะเทือนจากเสียงเพียงคำเดียวก็ทำให้ทหารฝึกหัด และนักรบชายฉกรรจ์ที่กำลังต่อสู้ซ้อมมือกันอยู่ชะงักทันที หลิงซาก้าวไปยืนกลางลาน “มาทั้งหมดนี่แหละ เข้ามาพร้อมกัน!”
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนที่บุรุษหนุ่มร่างใหญ่ผู้หนึ่งจะก้าวออกมา “คุณหนูหมายความว่า...”
“เข้ามา!” นางเสียงดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่มีใครกล้าลังเล หลิงซาแกว่งมีดสั้นในมือด้วยท่วงท่าคุ้นเคย สายตาเคร่งเครียดไม่เหมือนการฝึก แต่เหมือนกำลังเอาจริงเสียมากกว่า
นักรบทั้งห้ารายล้อมเข้ามาทีละก้าว ทุกคนรู้ดีว่าฝีมือของธิดาหัวหน้าเผ่านั้นไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตาม
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคือภาพการต่อสู้อันดุดัน เฉียบขาด และรวดเร็ว ทุกดาบ ทุกมีด และทุกหมัดของพวกเขาถูกหลิงซาตอบโต้ด้วยท่าทางแม่นยำและรุนแรง ราวกับนางไม่ได้สู้กับพวกเดียวกัน แต่มองเป็นใครบางคนในใจ
ภายในไม่ถึงหนึ่งเค่อ นักรบทั้งห้าถูกจัดการนอนสิ้นสภาพร้องโอดโอยอยู่บนพื้น หลิงซาหายใจหอบถี่ มองร่างพวกนั้นด้วยแววตาครุ่นคิด
ไม่ใช่เป็นเพราะฝีมือนางตกอย่างที่คิดแต่อย่างใด หลิงซาชนะเสมอ ไม่มีใครในเผ่ารับมือนางได้เกินสามกระบวนท่า แล้วเหตุใดนางจึงแพ้เขา? เจ้าบุรุษแปลกหน้าที่ขโมยม้าไป
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากด้านข้างของลานฝึก ฝีเท้าที่ไม่เร่งรีบ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจในทุกย่างก้าว หลิงซาหันไปตามเสียงนั้นทันที แววตาอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมผ้าทอลายทรายสีหม่น ก้าวเดินตรงเข้ามาท่ามกลางแดดที่เอียงเฉียงของบ่ายคล้อย
เขาคือหัวหน้าเผ่าหวงซา ซาเจิ้ง ผู้แบกรับชีวิตประชาชนนับแสนในเผ่า ผิวของเขาหยาบคล้ำด้วยแดดและลมกร้านแห่งทะเลทราย เส้นผมแซมขาวถูกรวบไว้หลวมๆ ด้วยเชือกหนังเก่า ราวกับไม่ยี่หระต่อความประณีต แต่กลับดูสง่างามในแบบของผืนทราย หนวดเครารุงรังไม่ได้ตัดแต่งอย่างคนเมืองใหญ่ แต่กลับส่งเสริมให้ใบหน้านั้นดูหนักแน่น มั่นคง และยิ่งใหญ่ดั่งผืนทรายที่ไม่มีวันโอนเอน
ดวงตาของซาเจิ้งล้ำลึก ดั่งคนที่เคยผ่านการรบ การเสียเลือด และการเสียสละมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ลึกลงไปในนั้น... ยังมีความละมุนอ่อนโยนเสมอ ยามมองไปยังธิดาเพียงคนเดียวของตน
“เจ้าโกรธอยู่หรือลูกรัก?” เขาถามด้วยรอยยิ้มบาง
“ข้าไม่ได้โกรธ!” หลิงซาตอบด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดที่ปกปิดไว้ไม่มิด พลางเก็บมีดสั้นเข้าฝักซึ่งเหน็บอยู่บริเวณเอวคอด
“แต่สีหน้าเจ้าบูดยิ่งกว่าอาหารค้างคืนอีกนะ เด็กโง่” ซาเจิ้งหัวเราะเบาๆ เดินเข้าใกล้ พลางยื่นผลอินทผาลัมให้ลูกสาว “กินอะไรหวานๆ หน่อยไหม?”
“ข้ายังไม่หิว”
“อย่างนั้นก็ไปเป็นเพื่อนพ่อ พ่อจะกินแทนเจ้าเอง” เขาตอบอย่างใจเย็น
หลิงซาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้า แม้นางจะเอาแต่ใจ ชอบเอาชนะ และต้องอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ แต่มีเพียงบุรุษผู้เดียวในโลกนี้เท่านั้นที่หลิงซายอมให้เดินนำ ก็คือซาเจิ้ง
เขาคือคนสำคัญคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในชีวิต มารดาจากไปตั้งแต่นางยังจำภาพใดไม่ได้ ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าในวัยเยาว์ ที่มีเพียงแผ่นหลังกว้างของบิดาคอยกำบังสายลมร้อนกับฝนทราย
และนั่น... คือเหตุผลที่หลิงซาต้องการแข็งแกร่ง แข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดต่อกรกับทุกสิ่ง เพื่อปกป้องคนคนเดียวที่นางรักและหลงเหลืออยู่ และหลิงซาจะไม่มีวันยอมให้ใครพรากเขาไป นอกจากความตาย
อีกฟากของแคว้น ฝุ่นควันสีแดงคล้ำลอยอ้อยอิ่งเหนือขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ก่อนจะจางหาย เมื่อเงากำแพงหินสูงตระหง่านปรากฏขึ้นกลางแดดบ่ายปลายวัน
นครชิงหลัว ศูนย์กลางของแคว้นเหยี่ยนหลง ดินแดนอันรุ่งเรืองที่สุดในใต้หล้า ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากร วัฒนธรรม และผู้คนหลากเผ่าพันธุ์
กำแพงเมืองสูงชะลูดขึงขังด้วยหินศิลา แข็งแกร่งดั่งภูผา เรียงทอดไปจรดขอบฟ้า ตรงจุดประตูเมืองมีธงจักรพรรดิพื้นดำลายมังกรทองโบกสะบัดอยู่เหนือศีรษะผู้คน ท่ามกลางเสียงล้อเกวียนและเสียงตะโกนของพ่อค้าแม่ขายที่กึกก้องทั่วตรอกถนน
กลุ่มอาชาหกตัวควบฝ่าฝุ่นผงที่ยังลอยคลุ้งเข้ามาจากประตูเมือง เสียงกีบม้ากระทบพื้นหินดังก้องสะเทือนทั่วผืนถนน ผ้าปิดจมูกถูกดึงลงทีละคน เผยให้เห็นใบหน้าเปื้อนทรายและเม็ดเหงื่อของเหล่าบุรุษหนุ่มในชุดคลุมเรียบง่าย
“ในที่สุดก็กลับมาถึงเสียที” หย่งหลินถอนหายใจแรง ดวงตากวาดมองผู้คนพลุกพล่านรอบข้างราวกับไม่เคยชิน ทั้งที่เติบโตในเมืองนี้มาตั้งแต่เล็ก “ข้าลืมไปแล้วว่าเมืองหลวงวุ่นวายขนาดนี้”
อวี้หลงไม่พูดอะไร เขาเพียงยกมือออกคำสั่งให้กลุ่มขี่ม้าชะลอลง จากนั้นจึงเลี้ยวเข้าไปยังตรอกแคบสายหนึ่งที่ทอดยาวเข้าสู่ย่านราชสำนัก
คนทั่วไปไม่ได้เอะใจอะไรกับกลุ่มบุรุษหนุ่มเหล่านี้ พวกเขาดูไม่ต่างจากคณะพ่อค้าที่เพิ่งกลับจากดินแดนห่างไกล เสื้อผ้าหม่นกร่ำด้วยฝุ่นทราย ม้าก็ดูอ่อนล้าเต็มที แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า หนึ่งในนั้นคือฮ่องเต้แห่งแคว้นเหยี่ยนหลง
เมื่อเลี้ยวผ่านตรอกสุดท้าย ประตูลับบานใหญ่ซ่อนอยู่ในเงากำแพงก็เปิดออกช้าๆ รับกลุ่มม้าเข้าไปโดยไร้เสียงเอะอะ หลังผ่านพ้นเข้ามาในเขตพระราชฐาน ชุดคลุมตัวนอกถูกถอดออก เหลือเพียงอาภรณ์เนื้อดีที่ซ่อนอยู่ข้างใต้
ฟู่เหยียนยื่นผ้าชุบน้ำให้เจ้านายของตน อวี้หลงเช็ดหน้าเอาคราบทรายออก เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มในวัยยี่สิบห้าปี ดวงตาดำสนิทแฝงความลึกลับยากหยั่งถึง
“เตรียมตัวให้พร้อม” เขาเอ่ยเรียบๆ ขณะเดินขึ้นบันไดหินเข้าสู่ตำหนักชั้นใน “ประชุมกับสภาขุนนาง... จัดในคืนนี้”
“ไม่พักก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลิวเหวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล เขารู้ดีว่าอวี้หลงแทบไม่ได้หลับพักตลอดสามวันที่ผ่านมา
แต่จักรพรรดิหนุ่มกลับเพียงหัวเราะในลำคอเบาๆ “ข้าไม่มีเวลาเหลือให้พักนักหรอกหลิวเหวิน... เสด็จพ่อของข้าไม่มีโอกาสทำฝันของตนให้เป็นจริง ข้าจะไม่ยอมเป็นเช่นนั้น”
สิ้นประโยคนั้นทุกคนต่างแยกย้ายไปเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมในคืนนี้
เมื่อทหารยามเห็นเจ้าเหนือหัวเดินเข้ามาใกล้ จึงหันไปเปิดประตูตำหนักฝั่งตะวันออกออกช้าๆ เสียงประตูไม้เลื่อนบดกับพื้นหินดังครืด ลานอาบน้ำด้านในที่ล้อมรอบด้วยผนังหินหยกปรากฏขึ้น เสียงน้ำไหลจากปากพญามังกรกระทบอ่างหินใสสะอาดเป็นจังหวะนิ่งสงบ
อวี้หลงถอดอาภรณ์ออกทีละชั้น เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งและกล้ามเนื้อแน่นเป็นลอนจากการฝึกฝนมิได้หย่อน แม้จะเป็นฮ่องเต้แต่ไม่เคยปล่อยตัวละเลย
เขาเดินลงไปในอ่าง สัมผัสเย็นฉ่ำจากสายน้ำสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายอ่อนล้า คว้าผ้าขาวสะอาดขึ้นมาชุบน้ำ แล้วเริ่มลูบไล้ตามลำคอและแผ่นหลังอย่างรวดเร็ว เศษทรายแห้งกรังที่ฝังอยู่ตามผิวค่อยๆ หลุดลอกตามแรงขัด
ฟู่เหยียนรออยู่เงียบๆ ที่ประตูอีกฝั่ง พร้อมชุดฉลองพระองค์ที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมแท้สีดำสนิท ปักลายมังกรห้าเล็บด้วยด้ายทองคำแท้ทั้งผืน ชุดนั้นหนักด้วยเครื่องประดับและเส้นไหมที่สื่อถึงผู้มีสถานะสูงสุดของแคว้น
“ฝ่าบาท ทรงเหนื่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฟู่เหยียนเอ่ยถามขณะช่วยสวมชุดด้านในให้
“ไม่เลยสักนิด” อวี้หลงตอบเสียงเรียบ “ข้ารู้สึกเปี่ยมไปด้วยพลังเสียด้วยซ้ำ”
หลังแต่งองค์เสร็จสมบูรณ์ เขาหยุดอยู่หน้ากระจกทองเหลืองบานสูง จ้องเงาสะท้อนของตนเองในชุดจักรพรรดิที่ขับรูปร่าง และดวงตาคมลึกให้ดูเด็ดขาดยิ่งขึ้นกว่าที่เคย
จากบุรุษหนุ่มที่เพิ่งปลอมตัวเป็นพ่อค้า เต็มไปด้วยฝุ่นทรายและรอยขีดข่วนจากทะเลทราย บัดนี้กลับกลายเป็นองค์จักรพรรดิแห่งแคว้นเหยี่ยนหลงที่ไม่มีใครกล้าลบหลู่
“ไปเถอะ” เขาเอ่ยขณะหมุนกายออกจากห้อง “ได้เวลาเริ่มสานฝันของข้าให้เป็นจริงแล้ว”
เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินดังกังวาน สะท้อนก้องไปตามทางเดินแคบที่ทอดสู่ใจกลางพระราชวัง เมื่ออวี้หลงก้าวผ่านประตูไม้บานใหญ่เข้าไป เสียงสนทนาเบาๆ ของเหล่าขุนนางที่ยืนเรียงอยู่เบื้องล่างก็เงียบลงโดยพลัน ทุกสายตาหันมามองยังร่างสูงสง่าที่ก้าวเข้าไปกลางห้องโถง
ภายในท้องพระโรงสร้างจากไม้หอมและหินหยก แท่นบัลลังก์มังกรตั้งอยู่เบื้องบน ประดับด้วยผืนผ้าสีดำลายมังกรทองเรียบหรู ไร้ความเว่อวังแต่เปี่ยมด้วยพลังและอำนาจ
อวี้หลงไม่รีรอ เขาก้าวขึ้นบัลลังก์อย่างมั่นคงน่าเกรงขาม ก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “ท่านทั้งหลาย การประชุม... เริ่มได้”
ขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้นค้อมตัวแล้วเปิดบทสนทนา “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินว่าเสด็จกลับจากการเดินทางไปซาเยวโดยสวัสดิภาพ นับเป็นบุญของแผ่นดินพะย่ะค่ะ”
“การกลับมามิใช่บุญ” อวี้หลงตอบ “แต่เป็นการได้ไปเห็นด้วยตาตนเองว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไรต่างหาก ที่ถือว่าเป็นบุญของข้ายิ่งนัก” เขามองลงไปยังเหล่าขุนนางที่ต่างลอบสบตากันด้วยความงุนงง ก่อนกล่าวต่อ “ท่ามกลางภูมิประเทศอันโหดร้ายที่สุดในแคว้น มันทำให้ข้า... มองเห็นบางสิ่ง”
“แคว้นเหยี่ยนหลงของเราประกอบด้วย 5 ดินแดน ชิงหลัว เหลียนซาน เจินไห่ ฉีเหอ และหวงซา” เขาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “แต่ถึงจะอยู่ภายใต้ธงจักรพรรดิผืนเดียวกัน ก็ยังไม่มีวันร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวได้จริง” คำพูดนั้นทำให้หลายคนขยับตัวด้วยความไม่สบายใจ
“ในอดีตบรรพบุรุษของข้า พวกเขาต่างพยายามรวมดินแดนให้เป็นหนึ่ง แต่ไม่มีใครทำสำเร็จ เพราะเลือกใช้เพียงกำลัง แต่ข้า... จะใช้แผนการ”
อวี้หลงหยุดเล็กน้อย ก่อนหันไปยังฟู่เหยียนแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาแต่เปี่ยมพลัง “เริ่มได้แล้ว ปล่อยข่าวออกไป”
“ข่าวเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ขุนนางผู้ดูแลกรมข่าวราชสำนักถามขึ้นด้วยความงุนงง
ริมฝีปากของจักรพรรดิหนุ่มโค้งขึ้นช้าๆ “ข่าวว่าข้า อวี้หลง... กลายเป็นฮ่องเต้เจ้าสำราญ เอาแต่ดื่มสุราเคล้านารี ไร้ความสามารถ ไร้สำนึก ไร้บารมี!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วท้องพระโรง ขุนนางหลายคนตาเบิกโพลง ขณะที่ฟู่เหยียน หย่งหลิน และหลิวเหวินกลับสงบนิ่ง เพราะพวกเขารู้แผนนี้ตั้งแต่แรก
“ฝะ ฝ่าบาท!” ขุนนางอีกคนออกตัวคัดค้าน “หากปล่อยข่าวเท็จแบบนี้ออกไป พระเกียรติยศของพระองค์...”
“เกียรติยศที่คนจำ หรือความจริงที่เราต้องการ?” อวี้หลงย้อนถาม ดวงตาคมลึกจ้องอีกฝ่ายจนต้องหลบสายตา “ปล่อยข่าวลือนี้ไปให้ถึงหูเผ่าหวงซา ว่าความอัปยศนี้ทำให้อีก 3 ดินแดน วางแผนร่วมมือกันเตรียมยกทัพมาตีนครชิงหลัว เพื่อชิงบัลลังก์จากข้า!”
ร่างสูงสง่าลุกขึ้นจากบัลลังก์ พริบตานั้นทั้งห้องพลันเงียบงัน “ข้าจะเปิดโอกาสให้ชาวซา เดินเข้ามาหาข้าเอง” อวี้หลงก้าวลงจากบัลลังก์ มือไขว้หลัง ดวงตาเหม่อมองไปยังเบื้องนอกที่ฟ้ากำลังเปลี่ยนสีเข้าสู่ยามสนธยา
เสียงดาบไม่เคยก่อให้เกิดสันติ แต่เป็นกลยุทธ์ต่างหากที่จะนำพามันมาให้เขา
