บท
ตั้งค่า

บทนำ แรกพบสบสายตา

เสียงคำรามของพายุแผดก้องไปทั่วผืนฟ้า ฝุ่นทรายกลืนกินแสงอาทิตย์จนมืดมัว ราวอสูรกายกำลังอ้าปากงับดวงตะวัน กลุ่มชายฉกรรจ์บนหลังม้าเร่งฝ่าทะเลทรายด้วยอาการร้อนรน แววตาของทุกคนเต็มไปด้วยความตระหนก เมื่อผืนทรายเริ่มไหวระลอกใหญ่

“ฝะ ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! พายุมาแล้ว!” เสียงหนึ่งตะโกนฝ่ากระแสลม

อวี้หลง จักรพรรดิหนุ่มผู้ลอบปลอมตัวเป็นพ่อค้าคาราวานกระชับบังเหียนแน่น “เร็ว!! แยกกันหลบก่อน! รักษาชีวิตตัวเองเอาไว้!”

ทันทีที่คำสั่งเปล่งออก ลมหมุนสีแดงคล้ำก็ซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างโหดร้าย ฝุ่นทรายแทงเข้าดวงตาราวใบมีด ม้าแตกกระเจิงจากฝูง เสียงร้องโหยหวนปะปนกับเสียงตะโกนโกลาหล

อวี้หลงพยายามควบม้าให้มั่นแต่ไร้ผล แรงลมโถมซัดจนอาชาเสียการทรงตัว ยกขาหน้าสะบัดเจ้าของล้มกลิ้งตกลงกระแทกผืนทรายอย่างแรง ก่อนห้อจากไปไม่เหลียวหลังกลับมาแล

“เวรเอ๊ย!!” เขาเค้นเสียงพร่า ตอนนี้อวี้หลงเหลือเพียงตัวคนเดียว ไร้พาหนะพาเขากลับไปหาพวกพ้อง

ดวงตาคมหรี่ลงพยายามมองหาทิศ แต่ทุกอย่างคือความมืดสีน้ำตาลที่หมุนวนไม่ยอมแผ่วความบ้าคลั่ง เปลวพายุกลืนกินทุกสรรพสิ่ง

มือหนาขุดทรายหาจุดยึด ฝืนร่างกายอันสั่นสะท้านจากแรงปะทะ ก่อนค่อยๆ ยันตัวยืนขึ้นเดินโซซัดโซเซ กระทั่งเห็นเงาสะท้อนแสงวาวในม่านทราย มันคือกลุ่มต้นปาล์มและแอ่งน้ำที่ส่งไอเย็นแม้เพียงเลือนลาง

“โอเอซิส…” เขากัดฟัน “ขอบคุณสวรรค์”

พอถึงที่หมาย ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงนั่งบนผืนทรายอย่างอ่อนแรง อาศัยเงาต้นปาล์มบังแสงแดดอันร้อนระอุ ดวงตาคมมองไปยังขอบฟ้าอันว่างเปล่า แต่แล้วแววตาของเขาก็เปลี่ยนไป

กลางม่านทรายที่เริ่มจางลง มีเงาร่างหนึ่งกำลังควบม้าตรงเข้ามาอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมแวววาวด้วยความดีใจ ทว่าเมื่อเงานั้นเคลื่อนมาใกล้มากขึ้น ความหวังที่มีพลันดับสิ้น "ไม่ใช่พวกเรา…" เขาพึมพำ

ร่างนั้นสวมชุดคลุมหลวมแบบบุรุษ มีผ้าคลุมหน้าแนบแน่นจนยากจะเห็นรูปหน้า อวี้หลงเหลือบลงมองสภาพตัวเอง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก แล้วตัดสินใจล้มตัวนอนคว่ำกับผืนทรายทันที

เขาทิ้งตัวลงราวหมดสติ เสแสร้งอย่างแนบเนียน หวังใช้โอกาสชิงม้าหลบหนีออกจากถิ่นเผ่าของศัตรู

เสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามาทุกขณะ แล้วหยุดลงห่างจากเขาไม่เกินสองวา จากจังหวะย่างเท้าของอาชา เสียงก้าวย่างนั้นช่างหนักแน่นแต่สง่างาม

บุรุษ? นักรบ? หรือยามลาดตระเวนของเผ่าทะเลทรายกันแน่?

ร่างนั้นลงจากหลังม้า ปลายเท้าคู่นั้นสะท้อนแสงแดดบนเม็ดทรายระยิบระยับ อวี้หลงนับจังหวะในใจ

สาม...

สอง...

หนึ่ง...

เขารีบกลั้นลมหายใจทันควัน เมื่อมือเรียวยื่นมาตรวจชีพจรของเขา

ทันใดนั้น! อวี้หลงพลิกตัวคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่น พร้อมเหวี่ยงร่างนั้นลงกับผืนทราย “ขอโทษนะสหาย ข้าขอยืมม้าเจ้าสักประเดี๋ยว” เอ่ยพลางยิ้มมุมปาก

ทว่ามือของอีกฝ่ายโต้กลับเร็วกว่าที่คิด ร่างคล่องแคล่วพลิกตัวหนี และสวนมีดสั้นเข้ามาอย่างแม่นยำ อวี้หลงหลบแทบไม่ทัน

“หืม... ฝีมือเจ้าดีเกินกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้เสียอีก เจ้าคงไม่ใช่ทหารลาดตระเวนสินะ?”

การต่อสู้ระหว่างบุรุษต่างถิ่นและนักรบปริศนาเริ่มขึ้นอย่างดุเดือด อวี้หลงเริ่มเผยท่วงท่าการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์ กระทั่งปลายนิ้วของเขาเผลอเกี่ยวผ้าคลุมหน้าหลุดออก ปลิวไปกับกระแสลมอ่อนๆ เผยให้เห็นใบหน้าใต้ผืนผ้า

นักรบทะเลทรายที่เข้าใจว่าเป็นบุรุษ กลายเป็นสตรีไปได้อย่างไร อีกทั้งนางยังงดงามราวหยาดน้ำค้างแรกของทะเลทราย ริมฝีปากแดงระเรื่อ ผิวขาวนวลกระจ่างขัดกับวิถีชีวิตในดินแดนอันร้อนระอุ ดวงตาคมกล้าดุดัน เป็นสตรีที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความน่ายำเกรง แม้เพียงยืนนิ่ง นางก็ทำให้หัวใจเขาสะท้านวาบ

“สตรี…” หาใช่หญิงสาวธรรมดาไม่ แต่นางคือผู้เดียวที่ดึงดูดสายตาเขาได้โดยไม่รู้ตัว ทว่าความรู้สึกนี้... ไม่ควรปรากฏขึ้นในยามนี้

อวี้หลงสะบัดความคิดฟุ้งซ่าน พุ่งเข้าจับร่างตรงหน้าทุ่มลงบนผืนทรายอีกครั้ง เขาฉวยโอกาสกระโจนขึ้นหลังม้า ในขณะนั้น นางพยายามลุกขึ้นคว้ามีด จ้องมองตามแผ่นหลังเขาไม่วางตา

อวี้หลงหันกลับไปสบตานางอีกครั้ง เพียงเสี้ยวลมหายใจ ก่อนควบม้าจากไป ทิ้งนางไว้ในโอเอซิส และทิ้งอะไรบางอย่างไว้ในใจของตัวเอง อย่างที่เขาไม่อยากยอมรับ

เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ห่างออกไปจนเลือนหายไปกับลมทะเลทราย ร่างบางในชุดคลุมบุรุษยืนแน่นิ่ง ลมร้อนโบกพัดให้ผ้าแพรบางปลิวแนบเส้นผมสีดำสนิทที่สยายลู่ตามแรงลม

ดวงตาคมคู่นั้นยังจับจ้องไปยังทิศทางที่บุรุษแปลกหน้าเพิ่งจากไป แม้เขาจะกลายเป็นเพียงเงาเลือนรางในม่านทรายที่จางลงเรื่อยๆ แต่สายตาของนางยังไม่ละไปไหน

ในมือบางมีมีดสั้น ขยับนิ้วเพียงนิดเดียว ปลายเหล็กนั้นอาจทะลุแผ่นหลังหนาที่กำลังควบม้าหนีไปอย่างง่ายดาย แต่นางกลับนิ่งเฉย เพียงกำด้ามมีดแน่น ราวกับกลั่นกลืนทุกสิ่งไว้ในความเงียบ

ไม่ใช่เพราะไม่กล้า... แต่เพราะไม่อยากขัดขวางใครบางคนที่ควรค่าพอจะได้รับอิสรภาพ

นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนใบหน้าใต้เงาผ้าคลุมศีรษะจะเผยแววครุ่นคิด ริมฝีปากอิ่มขบเม้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเรียบ ทว่าแฝงความหมายแน่วแน่

“ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป” เสียงนั้นต่ำและหนักแน่น “แต่หากมีวาสนาได้พบเจอกันอีกครั้งเมื่อใดล่ะก็... ข้าจะเอาคืนอย่างสาสมเลยทีเดียว เจ้าโจรขโมยม้า!”

หลิงซา ธิดาคนเดียวของหัวหน้าเผ่าหวงซา นักรบหญิงผู้แบกเกียรติแห่งผืนทรายไว้บนบ่าที่ไม่เคยอ่อนล้า นางเติบโตมากับแดดแผด เงาทราย และเลือดที่ไม่เคยเหือดหาย กระทั่งแม้แต่บุรุษแข็งแกร่งแห่งเผ่า ก็ยังไม่กล้าลองดาบกับนางเกินสามกระบวนท่า

แววตาของนางในยามนี้ไร้แววโทสะ แต่แฝงไปด้วยประกายสนใจและชื่นชม เพราะตั้งแต่จำความได้กระทั่งอายุย่างเข้ายี่สิบสามปี ไม่มีบุรุษหน้าไหนเคยรับมือนางได้นานเท่านี้มาก่อน

แต่เขา... คนแปลกหน้าที่บังเอิญพบเจอในโอเอซิส กลับทำให้นางเพลี้ยงพล้ำ และฉุดหัวใจให้อ่อนไหวในชั่วขณะ

หลิงซายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง ปล่อยให้ลมทะเลทรายลูบไล้ผิวหน้า กระทั่งเงาของบุรุษผู้นั้นเลือนหายไปจากสายตาโดยสิ้นเชิง เหลือเพียงรอยเท้าม้าบนผืนทราย และกลิ่นไออบอุ่นประหลาดที่ยังคลุ้งค้างในอก ราวควันบางๆ ที่ไม่ยอมจางหาย เมื่อนั้นจึงหมุนกายเดินเท้าไปยังทิศทางที่มีเมืองของตนตั้งอยู่

อีกด้านหนึ่ง...

ท่ามกลางแสงแดดที่กำลังแผดจ้า อวี้หลงควบม้าออกจากโอเอซิสด้วยแววตาหนักแน่น เขาไม่ได้เหลียวหลังกลับไปอีก แต่ในใจกลับมีบางอย่างตึงแน่น เหมือนถูกมัดด้วยเส้นด้ายที่มองไม่เห็น

อวี้หลงไม่ได้ชิงม้าเพราะความเห็นแก่ตัว แต่เพราะตรงนั้นคือโอเอซิสที่อยู่ห่างจากเมืองเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เขารู้... นางเติบโตมากับทะเลทราย ย่อมเอาตัวรอดได้ดีกว่าเขา คนต่างถิ่นที่แม้แต่ทิศก็ยังหลง

ควบม้าไปได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าของอาชาอีกกลุ่มเริ่มแว่วมาแต่ไกล อวี้หลงหันควับไปตามเสียง แสงแดดที่อาบแนวขอบฟ้าทำให้เงาร่างเบื้องหน้าแลดูลางเลือนราวภาพในฝัน

กลุ่มม้าสามตัวทะยานฝ่าทรายร้อนตรงเข้ามา ดวงตาคมหรี่มองอย่างระแวดระวัง เมื่อถึงระยะใกล้ เขาก็จำพวกพ้องของตนได้ทันที

ผู้ที่มาถึงเป็นคนแรกคือ ฟู่เหยียน องครักษ์ประจำตัวซึ่งอยู่รับใช้อวี้หลงมาตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันกระทั่งเจ้านายของเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์

ฟู่เหยียนไม่พูดพร่ำ รีบลงจากหลังม้าตรงเข้ามาด้วยสีหน้าห่วงกังวล “ฝ่าบาท บาดเจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

“ข้าสบายดี” อวี้หลงตอบเรียบๆ เสียงของเขายังไม่ทันจาง คนที่สองก็ควบม้ามาถึง หยุดลงข้างพี่ชายกับองครักษ์พร้อมเสียงหัวเราะทะเล้น

“เฮ้อ... เสด็จพี่ ข้านึกว่าท่านจะละลายกลายเป็นผงอยู่กลางทะเลทรายไปเสียแล้ว” หย่งหลิน เอ่ยอย่างทะเล้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุรนทุรายด้วยความเป็นห่วง

แม้เป็นอ๋องเจ้าสำราญที่การแพทย์โดดเด่นกว่าด้านอื่นๆ แต่ก็เป็นน้องชายต่างมารดาที่ไม่เคยมีความคิดอยากแย่งชิงราชบัลลังก์ เขารักอวี้หลงมาก และยินดีสละชีวิตปกป้องพี่ชายคนนี้

อวี้หลงปรายตามองพลางถอนหายใจเบาๆ “ข้าว่าน่าจะเป็นเจ้าซะมากกว่านะ”

อายุยี่สิบแล้วแท้ๆ โตพอจะแต่งสตรีสักคนเป็นเมียได้แล้ว แต่ยังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ชอบอ้อนเอาแต่ใจ อย่างการมาสอดแนมเผ่าหวงซาครั้งนี้ หย่งหลินก็ร้องจะตามมาให้ได้

ทุกย่างก้าวคืออันตรายถึงแก่ชีวิต ทว่าอวี้หลงทนการรบเร้าจากเจ้าเด็กเอาแต่ใจคนนี้ไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้ตามมา คิดเสียว่าเผื่อได้ใช้ความสามารถด้านการรักษาของเขา

หลิวเหวิน แม่ทัพคู่บารมีและยังพ่วงตำแหน่งสหายคนสนิท ควบม้ามาถึงเป็นลำดับสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เขาไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าให้ ก่อนจะมองกวาดไปรอบตัวอย่างระแวดระวัง กระทั่งผู้ติดตามอีกสองคนตามมาสมทบจนครบ

หลังรวมกลุ่มกัน เสียงพูดคุยถึงพายุเมื่อครู่ก็เริ่มดังขึ้น มีทั้งการบ่น การหัวเราะ และการสรรเสริญโชคชะตา ทุกคนดูจะตื่นเต้นและโล่งใจที่รอดมาได้

“ข้าไม่เคยเจออะไรเช่นนี้มาก่อนเลยนะ” หย่งหลินบ่นเสียงดัง พลางปัดทรายออกจากชายแขนเสื้อ “ตอนลมโหมแรงที่สุด ข้ากำลังกินข้าวโพดปิ้งอยู่พอดี ทรายพุ่งเข้าปากเต็มๆ!”

“เวลาความเป็นความตาย ท่านอ๋องยังมีอารมณ์กินอีกรึ?” ฟู่เหยียนพูดพลางส่ายหน้าอย่างระอา

“จะรู้หรือว่าลมมันจะบ้าคลั่งขนาดนั้น ข้าคิดว่าลมแค่แรงขึ้นเฉยๆ ใครจะคิดว่าพายุจะกลืนคนได้จริงๆ”

“ที่นี่คือทะเลทราย ไม่ใช่ลานหน้าวังนะพ่ะย่ะค่ะ” หลิวเหวินพูดนิ่งๆ เสียงของเขาเบา แต่เฉียบคมพอจะทำให้เสียงหัวเราะทั้งกลุ่มชะงักในพริบตา

“ข้ายอมรับเลย” หย่งหลินยกมือ “ทะเลทรายนี่โหดกว่าขันทีหน้าเหี้ยมในวังตั้งหลายเท่า อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่พ่นทรายเข้าปากข้า”

อวี้หลงฟังอยู่เงียบๆ มาตลอด กระทั่งมีคนหันไปถาม “แล้วฝ่าบาทล่ะพ่ะย่ะค่ะ ประสบการณ์ครั้งแรกกับพายุทะเลทราย เป็นอย่างไรบ้าง?” ฟู่เหยียนเอ่ยพลางจ้องสบตา เหมือนจะหยั่งเชิงทั้งคำพูดและแววตาคู่นั้น

อวี้หลงหันหน้าเงยขึ้นมองท้องฟ้า ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “ดี... น่าสนใจ” เขาตอบเพียงเท่านั้น

“ดี?” หย่งหลินหรี่ตา “เสด็จพี่โดนลมตีหัวรึ?”

อวี้หลงหัวเราะในลำคอคล้ายจะเย้ยตนเอง “บางสิ่งที่ไม่คาดคิด มักพาเราให้พบเจอกับเรื่องที่ไม่เคยคาดฝันเช่นกัน” คำพูดนั้นคลุมเครือพอจะทำให้ทุกคนเงียบลงด้วยความฉงน

“เช่น... ทรายเต็มรองเท้า?”

อวี้หลงไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มราวกับมีความลับในใจ ก่อนกล่าวตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กลับเมืองหลวง”

กลุ่มอาชาหกตัวห้อตะบึงมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของนครชิงหลัว พวกเขาต้องเร่งฝีเท้าเพื่อออกจากแนวเขตซาเยวให้ได้ก่อนตะวันจะลับฟ้า

เพราะยามราตรีในทะเลทรายนั้นอันตรายเกินจะคาดเดา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย กลุ่มโจร หรือแม้แต่อากาศอันหฤโหด ที่อาจแปรเปลี่ยนเป็นพายุได้ทุกเมื่อ

อวี้หลงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกนับถือชาวซา ผู้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในผืนดินอันไร้ความปรานีนี้ได้ โดยไม่ถูกทะเลทรายบดขยี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel