บทที่17. พูดคนเดียว
เหมยซิงนึกถึงเรื่องราวที่พูดคุยกับเสียเอี๋ยน แม้คนผู้นั้นพูดกำกวมไม่ขยายความให้เข้าใจทั้งหมด แต่คาดเดาว่าคุณชายของเสียเอี๋ยนผู้นี้คล้ายกับนางตรงที่ดวงจิตมาอยู่อีกร่าง ซ้ำร้ายที่ดวงจิตของเขาดันมาอยู่ในร่างที่เป็นผักสื่อสารกับใครไม่ได้เช่นนี้ อยากกลับบ้านก็ทำไม่ได้ ส่วนนางดวงจิตมาอยู่ในร่างเด็กสาววัยสิบหก ทว่าดวงจิตของนางหลุดมาจากอีกโลกหนึ่ง
นางเหลือความหวังน้อยเหลือเกินที่จะได้กลับไปโลกเดิม แต่พอคิดว่านางอาจจะช่วยคนที่มีสภาพเป็นผักให้กลับคืนเป็นปกติในร่างที่ควรอยู่ นางก็มีกำลังใจขึ้นมา และที่สำคัญ...หากนางกลับไม่ได้จริง ๆ ขอเพียงได้รู้ว่าลุงทองดีสบายดีก็พอแล้ว
จะว่าไปชีวิตในร่างนี้มีส่วนคล้ายกับนางในโลกโน้น นางมีลุงทองดีเป็นเหมือนพ่อบุญธรรม อยู่ที่นี่นางก็มีติงเชาเป็นพ่อบุญธรรม แต่ที่นี่นางยังมีน้อง ๆ ให้เป็นห่วง อยู่ที่โน้นมีเด็ก ๆ แถวบ้านที่ลุงทองดีพามาเรียนหมัดมวยเพื่อไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
นางมองนาฬิกาทรายที่เสียเอี๋ยนนำมาไว้ให้ เพิ่งรู้ว่าของสิ่งนี้มีมาตั้งแต่โบราณ น่าเสียดายนางไม่ใช่คนคลั่งไคล้ประวัติศาสตร์ อาจมีตื่นเต้นบ้างแต่ไม่ได้รู้สึกถึงขนาดกระโดดโลดเต้น เพียงแค่คิดว่าถ้าแลกเป็นเงินจะได้เท่าไรกัน
“แม่นางน้อย เจ้าต้องป้อนยาให้คุณชายของข้าทุกชั่วยาม” เสียเอี๋ยนย้ำหนักหนาแม้ก่อนออกเดินทางก็ยังย้ำอีกครั้ง
“แล้วกลางดึกข้าต้องปลุกเขาขึ้นมากินยาหรือไม่” นางย่นจมูกใส่ รู้ว่าเสียเอี๋ยนเป็นห่วงนายของตน แต่ย้ำบ่อยนางก็ออกจะรำคาญ
“ไม่ต้องแค่ช่วงกลางวัน และก่อนเข้านอน”
นางพยักหน้ารับแล้วหันไปทางอาหมาน จนป่านนี้นางก็ยังเรียกชายผู้นั้นว่าอาหมาน นางไม่รู้ว่าดวงจิตที่อยู่ในร่างนั้นชื่อเสียงเรียงนามใด รู้เพียงแค่ว่าร่างกายนี้เป็นคุณชายหานหงปิงที่นางต้องพาเขากลับไปสกุลหาน แต่เสียเอี๋ยนบอกว่าจะมารับนางตั้งแต่ประตูเมือง บางทีการที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครอาจเป็นผลดีกับนาง และการเดินทางครั้งนี้ก็เป็นได้
“หวังว่าเจ้าจะเป็นคนดีนะอาหมาน ให้คุ้มค่าที่ข้าลงทุนเดินทางมาส่งเจ้าด้วยตัวเองเช่นนี้”
ซุนเว่ยหมินได้ยินเสียงเหมยซิงพูดคนเดียว บางครั้งนางก็ร้องเพลงที่เขาไม่เคยได้ยิน บางคราวนางก็ถามและตอบเอง แต่เดิมเขาไม่ชอบสตรีพูดมาก แต่เขากลับยอมให้นางพูด และพูดอย่างไม่อาจขัดได้ ก็แน่ละ เขาพูดไม่ได้นี่!
“อาหมาน เงินห้าสิบตำลึงนี่เยอะไหม? ข้าคิดว่ากลับไปข้าจะซื้อวัวนม น้อง ๆ จะได้มีนมวัวกินกัน”
“อาหมาน ข้าคิดว่าข้าจะทำการค้าละ เงินห้าสิบตำลึงนี่เจ้าคิดว่าข้าควรลงทุนทำสิ่งใดดี”
“อาหมาน ข้าคิดว่าข้าจะขายอาหารนะ คนเราต้องกินสามมื้อ ขายของกินนี่น่าจะดีที่สุด”
“อาหมาน ข้าทำกับข้าวไม่เก่ง เจ้าแนะนำแม่ครัวดี ๆ ให้ข้าหน่อยได้ไหม?”
“อาหมาน ข้าว่า...ถ้าจ้างแม่ครัวต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ข้าอยากฝึกทำกับข้าวเอง จะได้ทำเองขายเองไม่ต้องจ้างผู้ใด”
“อาหมาน...”
ซุนเว่ยหมินทั้งโกรธ และโมโหเสียเอี๋ยนที่ให้เงินตอบแทนนางแค่ห้าสิบตำลึง ชีวิตจวิ้นอ๋องอย่างเขามีค่าแค่ห้าสิบตำลึงเท่านั้นเองหรือ เขาจะร้องไห้ก็มิได้ หัวเราะก็มิออก เรียกว่านางโง่งมก็ไม่ถูก นางเพียงแค่มีความรู้น้อย นางเขียนหนังสือไม่ได้อ่านหนังสือไม่ออกแต่มีความพยายาม นางใสซื่อและจริงใจ กิริยามารยาทก็แทบไม่มีความเป็นกุลสตรี หัวเราะเสียงดัง และยิ้มอย่างเปิดเผย ทว่ายามใดที่สบตากับดวงตาของนาง กลับมิอาจถอนสายตาได้สักคราเดียว นางอายุสิบหกแต่ประสบพบเจอเรื่องเลวร้ายมามากมายมีภาระที่ต้องรับผิดชอบเกินกว่าบ่าเล็ก ๆ ของนางแบกไหว หากนางได้กินอิ่มกว่านี้ ผิวกายคงเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ทำให้บุรุษทั้งหลายต้องหวั่นไหวมิน้อย
ไม่! เขายอมไม่ได้! เขาไม่ยอมให้บุรุษใดได้เห็นความงามของนาง
เผลอคิดไปไกลถึงไหนไม่รู้ ซุนเว่ยหมินตกใจกับความคิดของตนเอง ไยเผลอใจคิดกับเด็กสาวคนนี้ได้ถึงเพียงนี้ หญิงงามเกินกว่านางเขาล้วนเคยพบเห็นมาแล้ว แต่ยังไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวหรือหวงแหนเช่นนี้มาก่อน อาจเพราะความใกล้ชิด และความมีน้ำใจของนาง ที่ทำให้เขา...รู้สึกดี ๆ ด้วย
“อาหมาน!”
ซุนเว่ยหมินสะดุ้ง จู่ ๆ เหมยซิงก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วยิ้มกว้างจนดวงตาของนางหยีเล็ก เพราะขยับตัวไม่ได้จึงได้แต่หลุบตาลง แต่สายตากลับมองที่ลำคอที่โผล่พ้นเสื้อของนางแทน
“เราได้ที่พักแล้ว คืนนี้เรานอนที่นี่กัน”
