บทที่15.มีเวลาไม่มาก
เห็นสีหน้าตื่นตะลึง และซีดเซียวของเหมยซิงแล้ว ซุนเว่ยหมินทุกข์ร้อนในอกอย่างบอกไม่ถูก เขาได้แต่ส่งสายตาไปยังเสียเอี๋ยนที่ยังคงยิ้มกริ่มอย่างคนที่เหนือกว่า
‘เจ้าหมายถึงสิ่งใด ไยนางจึงเป็นเช่นนั้น’
“แม่นาง สิ่งที่เจ้าใคร่รู้ และสงสัยนั้น มิอาจได้คำตอบจากที่นี่” เสียเอี๋ยนเอ่ยอย่างใจเย็น “อาจมีบางสิ่งรอแม่นางอยู่ที่นั้น”
เหมยซิงได้สติจ้องตาของบุรุษในชุดดำเบื้องหน้า “หมายความว่าอย่างไร”
“ถ้าเจ้าอยากรู้คำตอบในทุกสิ่งที่สงสัย เจ้าต้องเดินทางไปเมืองหลวง เมื่อถึงที่นั้นข้าจะให้ความกระจ่างแก่เจ้าได้”
“...ถ้าข้าไม่อยากรู้แล้วล่ะ” นางขมวดคิ้ว พูดในสิ่งตรงข้ามกับใจ
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอร้องให้เจ้าไปส่งคุณชายของข้า” เสียเอี๋ยนรู้ว่านางอยากรู้ถึงเรื่องของตนเองมากเพียงใด แต่เห็นนางตอบเช่นนี้ก็รู้สึกพอใจในความฉลาดเฉลียวของนาง
“แล้วเหตุใดท่านมิพาเขากลับไปด้วยตนเอง”
“ที่คุณชายของข้าเป็นเช่นนี้เพราะถูกคนลอบสังหาร หากเป็นข้าที่พาเขากลับไปคนร้ายย่อมรู้แน่ว่าคุณชายยังไม่ตายและลงมืออีก เช่นนั้นจะทำให้การเดินทางล่าช้า เพราะเรามีเวลาไม่มากนัก”
แม้ยามนี้ดวงจิตของซุนเว่ยหมินอยู่ในร่างคุณชายหานหงปิง แต่เขาก็เชื่อว่าเหล่านักฆ่าต้องไม่ปรานี คนที่อยู่ใกล้เขาจะถูกต้องสงสัยทั้งสิ้น
“มีเวลาไม่มาก” นางเอ่ยขึ้นแล้วหันไปทางอาหมาน แม้ระยะนี้เขาดูแข็งแรงขึ้นกว่าวันแรกที่นางพบเขา แต่สภาพร่างกายเช่นนี้...
“ข้าไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด แต่...คุณชายจะอยู่ได้เพียงสี่สิบเก้าวัน ตอนนี้เวลาเหลือเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น หากไม่รีบกลับเมืองหลวงคุณชายของข้าก็จะ...”
‘ตาย’ แม้ไม่ได้พูดมาแต่นางเข้าใจคำนั้นได้อย่างดี
หญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ไม่เพียงแค่อยากรู้ถึงเหตุผลที่ตัวเองมาที่นี่ รวมทั้งร่างของตัวเองในอีกโลกยังรวมถึงชีวิตของอาหมานอีกด้วย แต่นางอดเป็นห่วงคนที่นี่ไม่ได้ นางเป็นคนเดียวที่แข็งแรงที่สุด เป็นพี่สาวของน้อง ๆ
“ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยเป็นคนมีคุณธรรมไม่อาจเอาเรื่องเงินทองมาพูดคุยได้ แต่ถ้าเจ้ามีใจเมตตา ข้ายินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ในเวลานี้ทันทีห้าสิบตำลึง และจะได้รับอีกห้าสิบตำลึง เมื่อคุณชายกลับถึงเมืองหลวง”
“ห้าสิบตำลึง”
เงินห้าสิบตำลึงมันเยอะแค่ไหนนะ?
ดวงตากลมมีแววประหลาดใจ นางมองหน้าเสียเอี๋ยนกับอาหมานสลับไปมาแล้วถอนหายใจหนัก
“ยังไงก็ต้องเป็นข้าใช่ไหม”
“แม่นาง...”
“ขอข้าปรึกษาท่านพ่อก่อน” นางพูดตามตรง “แต่ท่านควรรู้ว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รู้เส้นทาง”
“เรื่องนั้นมิใช่ปัญหา เพียงของแค่แม่นางพาเขากลับให้ถึงเมืองหลวงก็พอ”
เหมยซิงมองหน้าอาหมานเล็กน้อย ส่งยิ้มให้แล้วเดินหายไป ทิ้งให้เขาชะเง้อคอยาวแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้
บ้านของนางมิได้ใหญ่โต แม้จะส่งเสียงพูดคุยกันเบา ๆ แต่คนที่แอบฟังย่อมได้ยิน เหมยซิงเดินมาหาพ่อบุญธรรมที่นั่งอยู่กับน้อง ๆ ติงเชารู้ว่าเหมยซิงมาทำอะไรจึงโบกมือไล่ให้เด็ก ๆ ออกไปก่อน
“ท่านพ่อ”
“ไปเถิด”
“เอ๋?” เหมยซิงทำหน้างุนงง
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่เหมยซิง”
คราวนี้นางถึงกับพูดไม่ออก แม้เห็นรอยยิ้มของพ่อบุญธรรมแต่ หัวใจกลับตื่นตระหนกและปวดร้าว
“ข้าไม่เคยคิดร้าย และหลอกลวงท่านพ่อกับน้อง ๆ”
“ไม่ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของมันทั้งสิ้น บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาของเจ้าเอง” ติงเชายื่นมือไปลูบผมของลูกสาวอย่างเอ็นดู “สองเดือนที่เจ้ากลับมา เจ้าไม่เคยทอดทิ้งน้อง ๆ หรือแม้แต่คนป่วยอย่างข้าหรืออาหมาน บ้านเรายากจนถึงเพียงนี้เจ้าก็ยังอดทนอยู่ เป็นพ่อต่างหากที่ซาบซึ้งน้ำใจของเจ้านัก”
นางคุกเข่าลงเบื้องหน้า สบตากับชายที่นางเรียกพ่อบุญธรรม แววตาที่จ้องมองเต็มไปด้วยความหนักแน่น ยืนยันในสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูดออกไป
“ข้าสัญญาว่าถ้าข้ายังใช้ร่างนี้อยู่ จะไม่ทอดทิ้งท่านพ่อ และน้อง ๆ”.
