บทที่ ๘ คำลวง 1
หลังจากส่งแพทย์หนุ่มประจำไร่กลับไปแล้ว สกรรจ์กับพริมาก็เข้ามาหาศตายุที่ห้อง ซึ่งก็เจอขวัญข้าวนั่งอยู่บนโซฟาไม่ไกลจากเตียงนอนนัก ดวงตาของเธอแดงช้ำจากการร้องไห้ด้วยความตกใจ ถึงตอนนี้จะได้สติกลับคืนมาบ้างแล้ว แต่ใบหน้าสวยก็ยังดูเครียดระคนหวาดระแรง พริมาคิดว่าอย่างน้อยก็ควรเดินเข้าไปปลอบใจเธอเสียหน่อย
“คุณศรไม่เป็นไรแล้วล่ะ ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วนะจ๊ะ”
“แต่ขวัญเป็นต้นเหตุนะคะ ถ้าขวัญคิดให้ดีก่อนลงมือทำอะไร คุณศรก็คงไม่ต้องเจ็บตัว” คนที่เอาแต่โทษตัวเองเริ่มน้ำตาคลอขึ้นมาอีก
“ไม่เอาน่าขวัญ ของแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก ทุกอย่างมันผิดพลาดกันได้ แล้วหมอก็บอกชัดเจนแล้วว่ามันแค่หัวแตก ไม่ถึงกับต้องเย็บด้วยซ้ำไป ฉันว่าขวัญไปอาบน้ำ แล้วพักผ่อนดีกว่ามั้ย” สกรรจ์พูดขึ้นบ้าง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะนาย ตอนนี้เพิ่งจะสองทุ่มเอง ขวัญยังไม่ง่วง นายกับคุณพริมขึ้นไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวขวัญจะอยู่เป็นเพื่อนคุณศรก่อน เผื่อจะรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วอยากได้อะไร” คนตัวเล็กบอก สายตามองไปยังร่างคนป่วยที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
“แน่ใจนะว่าจะอยู่ในห้องนี้กับไอ้ตัวแสบสองต่อสองได้” สกรรจ์ถามให้แน่ใจ เพราะศตายุไม่เคยไว้ใจได้เลย ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหนก็ตาม
“คุณศรเจ็บอยู่นะคะสกรรจ์” พริมาหันมาเอ่ยยิ้มๆ ถึงอาจจะไม่รู้จักศตายุดีพอ แต่เธอก็คิดว่าคนเจ็บคงไม่บ้าพอที่จะลุกขึ้นมารังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ เอาในเวลานี้แน่
“นายไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ตอนนี้ขวัญได้เปรียบคุณศรเยอะเลย ถ้าคุณศรเกิดบ้าขึ้นมา รับรองว่าได้หัวแตกเพิ่มจนต้องตามหมอกลับมาเย็บหลายเข็มเลยล่ะค่ะ” ขวัญข้าวยังคงยืนยันความตั้งใจเดิม
“อืม ถ้างั้นก็ตามใจขวัญแล้วกัน” สกรรจ์ไม่อาจขัดข้องอะไรได้อีก ลึกๆ แล้วก็นึกต่อว่าตัวเองอยู่เหมือนกันที่ไม่ไว้ใจเพื่อนรักที่นอนหมดสติอยู่
“ผมว่าเราขึ้นข้างบนกันเถอะพริม สภาพร่างกายคุณยังไม่แข็งแรงดีนัก ผมอยากให้คุณพักผ่อนมากๆ...นะครับ” ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้หญิงสาว โอบรอบเอวบางไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ สายตาคมจับจ้องอยู่บนใบหน้างามที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
“โอเคค่ะ” พริมาตอบรับแล้วยิ้มหวาน หันไปพยักหน้าเป็นเชิงบอกลาขวัญข้าว แล้วยอมให้ชายหนุ่มประคองขึ้นข้างบนไป แม้เรื่องราวเลวร้ายต่างๆ ยังวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ แต่เมื่อมีสกรรจ์คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง จิตใจที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ร่างกายของพริมาฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว
ขวัญข้าวลอบยิ้มออกมา เมื่อสองหนุ่มสาวพากันออกจากห้องของศตายุไปแล้ว ดูจากท่าทางของสกรรจ์ พริมาคงไม่ใช่แค่เพื่อนสาวธรรมดาแน่ ตอนแรกเธอเองก็ไม่ค่อยแน่ใจในความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนัก แต่ตอนนี้พอเดาออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
คิดแล้วก็อดดีใจไม่ได้ ที่เห็นสกรรจ์ได้มีคนที่รักอยู่ข้างกายเสียที พริมาเองก็ดูใจดีและอ่อนโยน ขวัญข้าวเชื่อว่าทั้งสองคนจะต้องเป็นคู่รักที่น่าอิจฉามากๆ แน่ แต่อย่างไรก็ตาม...หากใครอีกคนที่พยายามตามตื๊อสกรรจ์มาพบพริมาเข้า ปัญหาใหญ่จะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย ขวัญข้าวก็ทำได้แค่ภาวนาขอให้ทุกอย่างเกิดขึ้นช้าที่สุดเท่านั้น
ศตายุลืมตาขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องปิดลง เมื่อเห็นขวัญข้าวนั่งเหม่ออยู่คนเดียว เขาก็แสร้งทำเป็นส่งเสียงครวญคราง หวังจะเรียกร้องความสนใจ และฉวยโอกาสกับเธอเท่าที่ร่างกายเอื้ออำนวย แอบเจ็บใจนักที่สกรรจ์เกือบรู้ทันความเจ้าเล่ห์ของเขา
“โอ๊ย...ปวด…ปวดหัวจัง” เสียงทุ้มที่ฟังดูแหบแห้งด้วยความจงใจบ่นพึมพำ
“คุณศร” ขวัญข้าวถลาเข้ามานั่งที่ริมเตียงแทบจะในทันที “รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ! แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง เจ็บมากหรือเปล่า” หญิงสาวละล่ำละลักถามด้วยความเป็นห่วง
“ขวัญ...เธอปลอดภัยดีใช่มั้ย” ศตายุสวมบทพระเอก สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย ซึ่งนั่นยิ่งเพิ่มความรู้สึกผิดให้แก่คนตัวเล็ก ดูเหมือนจุดอ่อนนี้จะเป็นข้อเสียเปรียบที่ค่อนข้างชัดเจนของขวัญข้าวเลยทีเดียว
“ฉันปลอดภัยดีค่ะ ฉัน...ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณศรเจ็บตัว ฉันตั้งใจจะช่วยคุณศร แต่กลับกลายเป็นว่า...”
“ช่างเถอะ ฉันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่สำคัญหรอก ขวัญเองก็เกลียดฉันมากนี่ อันที่จริงน่าจะใช้โอกาสนี้ฆ่าฉันให้ตายเลยด้วยซ้ำ...จริงมั้ยล่ะ” ชายหนุ่มรีบพูดแทรก เบือนหน้าหนีไปทางอื่น แสดงออกอย่างชัดเจนว่ายังคงไม่พอใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้
“ฉันรู้นะคะว่าคุณไม่พอใจเรื่องเมื่อเช้า แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจใส่ร้ายคุณนะ” ขวัญข้าวยกมือขึ้นวางบนท่อนแขนกำยำอย่างลืมตัว “ก็ปกติคุณชอบแกล้งฉัน ชอบหาโอกาสรังแกฉัน แล้วคุณจะให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไงล่ะ”
“นั่นสินะ ฉันมันเลวนี่” คนเจ็บยังคงทำเป็นเคืองโกรธอยู่
“คุณศร ฉัน...ฉันขอโทษนะคะ ต่อไปฉันจะไม่มองคุณแต่ในแง่ลบก็ได้ แต่ว่าคุณเองก็ต้องสัญญานะว่าจะไม่เอาเปรียบฉัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม” ขวัญข้าวขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
“ขอโทษเหรอ?” ศตายุหันมามองหญิงสาว พยายามกลั้นรอยยิ้มแห่งชัยชนะไม่ให้เผยออกมา “เธอเนี่ยนะกำลังมานั่งขอโทษฉัน เป็นอะไรไปน่ะ...ฉันเป็นศัตรูของเธอมาตลอดนี่ ทำไมถึงได้ยอมทำอะไรแบบนี้ล่ะ” ชายหนุ่มไม่ได้แปลกใจนักที่เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ เพราะรู้อยู่แล้วว่าการยอมเจ็บตัวจะต้องไม่สูญเปล่าแน่
“ฉันขอโทษ เพราะฉันรู้ตัวว่าทำไม่ถูก” ขวัญข้าวเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ที่ผ่านมาฉันเองก็ทำตัวไม่ดี มันเยอะกว่าที่เธอทำด้วยซ้ำ แบบนี้แสดงว่าฉันต้องขอโทษเธอด้วยสินะ”
“อันที่จริงคุณก็ควรทำแบบนั้นแหละ แต่ว่าตอนนี้มันไม่จำเป็นแล้ว เพราะเรื่องทั้งหมดที่คุณเคยทำไว้กับฉัน ฉันยินดียกโทษให้ทุกอย่าง เพื่อแลกกับการที่คุณช่วยฉันเอาไว้ในวันนี้” ขวัญข้าวยิ้มให้ศตายุเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่เขาทำตัวชีกอกับเธอ
“จริงเหรอ!” หัวใจชายหนุ่มพองโตอย่างไร้เหตุผล เพียงแค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมยกโทษให้ทั้งหมด
“จริงค่ะ ฉันจะลืมเรื่องทุกอย่าง แล้วมาลองดูกันว่าคุณกับฉันจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติหรือเปล่า”
ขวัญข้าวคิดว่าบางทีการเจรจาอย่างเป็นมิตรจะช่วยให้รู้สึกเกลียดชังศตายุน้อยลง ทั้งที่ความจริงยังไม่ถึงขั้นนั้นเสียหน่อย อย่างมากเธอก็แค่หงุดหงิดใจที่ถูกเขารังแกเท่านั้น
“ได้ ในเมื่อเธอคิดแบบนั้น ฉันก็ยินดีจะพิสูจน์ให้เห็น” หนุ่มหล่อยิ้มมีเสน่ห์ไปให้อีกฝ่าย “คอยดูเอาเองว่าฉันจะทำตัวเป็นคนดีได้มั้ย ส่วนเธอเองก็อย่าลืมล่ะว่าใครเป็นคนช่วยให้รอดพ้นจากการถูกคนร้ายดักปล้ำ ตอนนี้เธอติดหนี้บุญคุณฉันอยู่นะ”
“แต่ฉันก็ยกโทษให้คุณไปแล้ว มันน่าจะหายกันได้แล้วนะ” เธอทำตาโต เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยทวงบุญคุณ
“ฉันรู้ๆ แต่ที่เธอทำกับฉันมันก็พอกันนี่นา อีกอย่างถึงฉันจะทำตัวรุ่มร่ามกับเธอไปบ้าง แต่ฉันก็ไม่เคยทำให้เธอตกเลือดยางออกแบบนี้ซะหน่อย” คนเจ็บทำหน้ายู่
“เอ่อ...มันก็จริงนะ” ขวัญข้าวดูหงอยลงถนัดตา “ก็ได้ค่ะ ฉันเป็นหนี้บุญคุณคุณศรอยู่ เอาไว้สักวันฉันจะชดใช้ให้ละกัน”
“นี่ขวัญ อันที่จริงฉันไม่ได้คิดจะทวงบุญคุณหรอกนะ ฉันแค่อยากให้เธอจำเอาไว้ว่าฉันไม่ใช่คนเลวร้ายเท่านั้นเอง” เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูคล้ายอึดอัดใจ ศตายุจึงช่วยอธิบายให้เธอรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม
“จะยังไงก็ช่างมันเถอะค่ะ เอาเป็นว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่คิดอะไรในแง่ร้าย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องแกล้งโง่หรอกนะ” ขวัญข้าวไม่ได้ไว้ใจเสือซ่อนเล็บอย่างศตายุเต็มร้อยนัก
“เห็นมั้ย...แค่นี้ขวัญก็ไม่เชื่อใจฉันแล้ว”
“ฉันก็เชื่อใจคุณได้เท่าที่ควรนั่นแหละค่ะ ถ้าจะให้หายคลางแคลงใจคงใช้เวลาหน่อย คุณศรน่าจะรู้ดีว่าการเชื่อใจคนที่ไม่น่าไว้ใจน่ะมันทำยากแค่ไหน”
“อืม มันก็จริง แต่ฉันมั่นใจนะว่าอีกไม่นานขวัญต้องเชื่อใจฉันมากขึ้น” ‘แล้วขวัญก็ต้องเป็นของฉันอย่างที่ฉันต้องการเร็วขึ้นด้วย’ ศตายุกระตุกยิ้มที่มุมปาก เมื่อต่อเติมท้ายประโยคเอาไว้ในใจ และรอคอยอย่างจดจ่อยิ่งกว่าการได้เลื่อนขั้นในหน้าที่การงานเสียอีก
“คุณอยากทานอะไรหน่อยมั้ยล่ะคะ” ขวัญข้าวเปลี่ยนเรื่องเพื่อทำลายความอึดอัด
“อยากดื่มอะไรร้อนๆ น่ะ เผื่อจะทำให้หลับสบายขึ้น”
“ถ้างั้นเอานมอุ่นแล้วกันนะคะ เดี๋ยวฉันไปเอามาให้เดี๋ยวนี้เลย“
“เดี๋ยวสิ” ร่างบอบบางกำลังจะผละออกห่าง แต่มือใหญ่ที่คว้าหมับเข้าตรงต้นแขน แล้วออกแรงดึงเพียงน้อยนิด ส่งผลให้เธอเสียหลักล้มลงนอนทับบนตัวเขา ที่ร้ายกว่านั้นคือปลายจมูกโด่งของคนใต้ร่างกดลงบนแก้มนุ่มเข้าอย่างจัง
“คุณศร!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
“ฉัน...ฉันไม่อยากดื่มนม เปลี่ยนเป็นน้ำขิงดีกว่านะ” คนที่ให้สัญญาว่าจะไม่ทำตัวรุ่มร่ามรีบตัดบท แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากการเกาะกุม
“นี่คุณ!” ขวัญข้าวถอยหนีอย่างรวดเร็ว พวงแก้มแดงเรื่อเพราะเลือดในกายสูดฉีดผิดปกติ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ...จริงๆ นะขวัญ” ชายหนุ่มทำหน้าเหวอ เหมือนต้องการแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ตั้งใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
“ช่างมันเถอะค่ะ...ตกลงว่าจะดื่มน้ำขิงใช่มั้ย เดี๋ยวฉันไปจัดการให้เลยล่ะกัน” ขวัญข้าวรีบขอตัวผละออกจากห้องไปทันที เธอพยายามคิดในแง่ดีว่าศตายุไม่ได้ตั้งใจ แต่หากหันกลับมาเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าขาวคมนั่น เธอก็คงได้คำตอบทุกอย่างจากพ่อคนลวงโลกแน่
“ฉันไม่รู้ว่าเด็กอย่างเธอมีอะไรน่าสนนัก แต่สักวันฉันจะพิสูจน์ให้ได้เลยขวัญ” ศตายุบอกกับตัวเอง แล้วนอนยิ้มกริ่มรอการกลับมาของหญิงสาว ตั้งใจว่าจะแสดงละครเพิ่มเติมอีกหน่อยเพื่อให้ตัวเองดูน่าสงสาร แต่จะด้วยวิธีไหน เขาก็ยังไม่ได้คิดเอาไว้เหมือนกัน
สกรรจ์สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะภาพฝันร้ายที่เห็นพริมาถูกพวกคนเลวตามไล่ล่า จนสุดท้ายร่างเธอก็เต็มไปด้วยเลือดและไร้ลมหายใจ เหงื่อกาฬที่ผุดพรายขึ้นตามไรผมทำให้ชายหนุ่มรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า แม้ว่าอากาศในตอนนี้จะค่อนข้างหนาวเย็นมากก็ตาม
เจ้าของร่างกำยำรีบออกจากห้องแล้วเดินไปที่ห้องข้างๆ ทันที เมื่อกระชากประตูเปิดออกพบว่าพริมายังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง ชายหนุ่มจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วก็เดินเข้าไปใกล้เธอ เพื่อดึงผ้าห่มขยับขึ้นคลุมร่างให้ หลังจากนั้นก็กลับไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องของตัวเอง
เสียงโทรศัพท์ที่กรีดร้องอยู่บนโต๊ะข้างเตียง นำพาให้สกรรจ์รีบเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ แสงสว่างบนจอกะพริบถี่ขึ้นและปรากฏชื่อของใครคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่ชายหนุ่มต้องการหลีกเลี่ยงที่จะพบปะหรือสนทนาด้วยมากที่สุด แต่กลับไม่อาจทำตามความต้องการของตัวเองได้
“ฮัลโหล” สกรรจ์กรอกเสียงลงไปอย่างไม่พอใจนัก
“ว่าไงสกรรจ์ นี่ฉันโทรมารบกวนเวลานอนหรือเปล่า” คู่สนทนาถาม เพราะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะโทรหาใคร เพราะตอนนี้เพิ่งจะตีสี่เศษๆ เท่านั้น
“ถึงฉันจะบอกว่ารบกวนแกก็คงไม่สนใจหรอก มีอะไรก็ว่ามา” น้ำเสียงชายหนุ่มห้วนจัด
“ฉันอยากให้แกมาเจอที่บ้านหน่อย” อีกฝ่ายเข้าเรื่องทันที
“ตอนนี้น่ะเหรอ” เขาทวนถามซ้ำเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน
