บทที่ ๗ ความคิดชั่วร้าย 2
ศตายุเลื่อนรถที่จอดอยู่ตรงทางเข้าบ้านกลับออกไปอีกครั้ง เท้าเหยียบคันเร่งเพื่อมุ่งหน้าไปที่ไร่ชาชัยพรรษ และตั้งใจว่าคืนนี้จะค้างเสียที่นั่นเลย เมื่อได้เห็นภาพบาดตาบาดใจของสกรรจ์กับขวัญข้าวเมื่อครู่แล้ว ความรู้สึกไม่พอใจก็เกิดขึ้น หงุดหงิดจนอยากก้าวลงจากรถ แล้วไปนั่งคั่นกลางระหว่างสองหนุ่มสาวเสียเลย แต่ขืนทำแบบนั้นคงเป็นการแสดงออกว่าเขาสนใจขวัญข้าวมากเกินไป
“ไอ้สกรรจ์เอ๊ย! จะเก็บไว้กินเองก็ไม่บอก ไอ้เพื่อนบ้า!” หนุ่มหล่อโวยวายอยู่ในรถเพียงลำพัง ใจหนึ่งคิดว่าต่อไปนี้จะเลิกสนใจขวัญข้าว เลิกกลั่นแกล้ง เลิกหยอกเย้าเสียที
แต่อีกใจกลับค้านขึ้นมาว่าเขาต้องได้เชยชมเธออย่างที่คาดหวังไว้ให้ได้ แล้วจากนั้นถ้าสกรรจ์ต้องการ เขาก็จะไม่รู้สึกเสียดายเลย
เขาตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงอยากได้ขวัญข้าวนัก...
ศตายุมีคู่ควงที่สวยหยาดเยิ้ม มีคู่นอนได้มากเท่าที่ต้องการ เพราะชายหนุ่มเป็นคนปากหวาน รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูกรุ้มกริ่มเจ้าชู้โดยธรรมชาติ ชนิดที่ใช้มองสาวสวยคนไหนก็เป็นอันต้องตกหลุมรัก แต่กลยุทธ์พิชิตใจหญิงที่เคยใช้สำเร็จมาจนเคยตัว กลับไม่มีผลอะไรเลย กับสาวน้อยวัยกระเตาะที่อายุน้อยกว่าเขาหกปี ทั้งที่เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวี่วัน แต่ทำอย่างไรเธอก็ไม่เคยคล้อยตาม
‘หรือขวัญจะแอบชอบสกรรจ์วะ เราถึงจีบยังไงก็ไม่ติดซักที’
ชายหนุ่มสรุปเอาเอง และคิดว่าความคิดนี้ถูกต้องอย่างไม่มีข้อกังขา ตอนแรกสิ่งที่คิดเองเออเองก็สร้างความหงุดหงิดให้เขาอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งขับรถไปจอดที่หน้าบ้านพักในไร่ชาชัยพรรษ ถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้สกรรจ์มีพริมาอยู่แล้วทั้งคน ต่อให้ขวัญข้าวจะรู้สึกอย่างไรกับสกรรจ์ ความรู้สึกนั้นก็จะไม่มีวันส่งผลสำเร็จ เพราะสกรรจ์รักพริมามากเกินกว่าจะหันมาสนใจเด็กกะโปโลอย่างขวัญข้าวแน่
ศตายุยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะเปิดประตูรถโฟร์วีลคู่ชีพแล้วก้าวออกมา เจ้าของร่างสูงโปร่งขยับแว่นตาให้มั่นคงอยู่บนสันจมูกโด่งสวย สองมือกระชับเสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำตาลอ่อนเข้าหาตัว กำลังจะเดินดิ่งเข้าไปในบ้านอยู่แล้ว หากไม่หันไปเห็นคนงานคนหนึ่ง กำลังยื้อยุดฉุดข้อมือหญิงวัยเดียวกันด้วยความฉุนเฉียวเข้าเสียก่อน
“เฮ้ย! ทำอะไรกันน่ะ!” ศตายุตะโกนถาม หากเหตุการณ์ดูไม่ชอบมาพากล และผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาก็พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือทันที
“ครับคุณศร!” คนงานที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีตะโกนตอบกลับมา แล้วดึงกึ่งลากผู้หญิงคนนั้นให้เดินตรงเข้ามาหาศตายุด้วยกัน
“แกทำอะไรของแกน่ะ”
“มันเป็นเมียผมเองครับคุณศร ผมหันมันเดินอยู่แถวบ้านพักคนงานป้อจาย ผมก็เลยมาลากมันปิ๊กบ้านครับ” คนงานอธิบายเป็นภาษาถิ่นปะปนกับภาษากลาง ด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเชียงรายโดยกำเนิด แล้วหันมาตะคอกใส่คนข้างตัวเสียงดังลั่น “ฮ้ายขน้าด! อยากได้ผัวใหม่จนตัวสั่นโหย่งๆ!”
“ที่แท้ก็ผัวเมียกันนี่เอง เอาเถอะ...ยังไงก็พูดกันดีๆ นะ อย่าให้ถึงขั้นลงไม้ลงมือล่ะ บ้านเมืองมีขื่อมีแป ถ้าไม่อยากถูกจับเข้าซังเตก็อย่าทำอะไรกันรุนแรง คุยกันดีๆ” ศตายุเตือน แล้วยืนมองทั้งสองคนเดินเถียงกันจากไป เห็นอย่างนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เป็นสามีภรรยากันแท้ๆ แต่ฝ่ายชายก็ยังทำท่าอย่างกับกำลังฉุดผู้หญิงสักคนไปทำมิดีมิร้าย
ฉุดผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ...
ศตายุชะงักกับความคิดของตัวเอง แล้วก็นึกถึงขวัญข้าวขึ้นมาได้ ถ้าหากหว่านล้อมด้วยดีแล้วไม่สำเร็จ บางทีเขาก็อาจจะต้องใช้วิธีสกปรกกับเธอ แต่ถ้าทำแบบนั้นลงไปจริงๆ ขวัญข้าวคงเกลียดชังเขาไปตลอดชีวิต
แต่ที่ร้ายกว่านั้นก็คือสกรรจ์ ต่อให้เป็นเพื่อนรักกันแค่ไหน หากเขาทำผิดจริง คนเที่ยงตรงอย่างสกรรจ์ก็ไม่มีทางปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างสุขสบายแน่
ศตายุส่ายหน้าอย่างนึกระอากับความชั่วร้ายของตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ปรับเปลี่ยนความคิดให้สูงขึ้น แผนการใหม่ที่ดีกว่าก็แล่นเข้าสู่สมอง และคราวนี้เขาก็ตัดสินใจที่จะลงมือทำ โดยไม่ต้องไตร่ตรองให้เสียเวลาอีกแล้ว เพราะการทำตัวเป็นฮีโร่ ย่อมดีกว่าคิดจะกลายเป็นโจรเสียเองอย่างแน่นอน…
หลังจากรอให้สกรรจ์กับพริมารับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ขวัญข้าวก็ขอตัวไปหายายฉายที่บ้านท้ายไร่ หญิงสาวก้าวขาขึ้นคร่อมจักรยานคู่ใจ วางปิ่นโตอาหารลงในตะกร้าด้านหน้า และตรงดิ่งไปยังจุดหมายปลายทาง ริมฝีปากบางเม้มแน่นขึ้น เมื่อลมหนาวลอยเข้ามาปะทะผิวเนื้อเนียน แม้จะสวมเสื้อกันหนาวตัวหนามาด้วยแล้ว ทว่าอากาศในช่วงตะวันลับขอบฟ้านั้นเย็นเยือกจนหน้าชาไปเลยทีเดียว
เพียงครู่เดียวขวัญข้าวก็มาถึงบ้านท้ายไร่ บ้านหลังนี้มีขนาดเล็กกะทัดรัดน่าอยู่ รอบบริเวณมีดอกไม้นานาพรรณปลูกเอาไว้ มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ทางด้านหลังบ้านมีแปลงผักสวนครัวที่ปราศจากสารพิษ และถ้าเดินลัดเลาะถัดไปอีกราวห้านาทีก็จะเห็นน้ำตกท้ายไร่ ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่ที่ขวัญข้าวชอบไปเสมอ เพื่อรำลึกถึงความหลังของเธอกับแม่
ขวัญข้าวก้าวลงจากรถจักรยานด้วยความระมัดระวัง ใช้เท้าข้างหนึ่งดันขาตั้งให้จอดอยู่ได้อย่างมั่นคง แล้วคว้าปิ่นโตขึ้นมาถือไว้ ก้าวเท้ายาวๆ ตรงไปที่ประตู แต่ก็ต้องย่นคิ้วเข้าหากัน เมื่อเห็นว่ามีแม่กุญแจล็อกประตูจากทางด้านนอก
‘ตายจริง! ลืมสนิทเลยว่ายายฉายไปเยี่ยมญาติที่กรุงเทพ’
เจ้าของร่างบางเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ ส่ายหน้าอย่างระอาให้กับความขี้ลืมของตัวเอง ตั้งใจจะหันหลังกลับไปที่รถจักรยาน แต่เป็นอันต้องชะงักนิ่งด้วยความตกใจ เมื่อพบชายร่างสูงใหญ่ที่มีผ้าสีดำปิดบังใบหน้ายืนตระหง่านอยู่ คนตัวเล็กลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างลำบาก ความกลัวแล่นจับขั้วหัวใจ
“มะ...มาหายายฉายเหรอคะ ยาย...ยายฉายไม่อยู่หรอก” ถึงจะคาดเดาเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย แต่ขวัญข้าวก็ยังทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร ด้วยหวังว่ามันคงดีกว่ายืนนิ่งอยู่กับที่ โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่คิดจะเอ่ยอะไรกันขึ้นมาเลย
“หึๆ” ชายปริศนาหัวเราะในลำคอ
“เอ่อ...ฉัน...กำลังจะกลับพอดีเลย ยังไงก็ตามสบายนะคะ”
หญิงสาวชี้ไม้ชี้มือไปทางจักรยานของตัวเองด้วยความประหม่า มือที่ถือปิ่นโตกำแน่นขึ้นอีก เผื่อว่ามันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยได้ในยามคับขัน
ขวัญข้าวตั้งท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ชายคนนั้นกลับก้าวเข้ามาดักหน้าเอาไว้ ร่างบางสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังเดินหนีอีกครั้ง ไม่คิดจะยอมแพ้ แม้คนตรงหน้าจะคอยตามขวางอยู่ตลอด
สุดท้ายแล้วความอดทนก็หมดลง หญิงสาวเงื้อปิ่นโตในมือขึ้นสูง หวังจะฟาดใส่อีกฝ่ายให้เต็มแรง แต่ทันใดนั้นเองตัวเธอก็ถูกผลักจนล้มไม่เป็นท่า แกงจืดวุ้นเส้นกับผัดพริกแกงที่ตั้งใจทำมาเผื่อยายฉายหกเรี่ยราดอยู่บนพื้น ยังไม่ทันจะได้ออกปากโวยวายอะไร ร่างหนาก็กระโจนตามมาขึ้นคร่อมทันที
“กรี๊ด!” ขวัญข้าวกรีดร้องเสียงดังลั่น “ปล่อยนะ! ออกไปให้พ้น!” สองมือเล็กทุบตีผู้ไม่หวังดีพัลวัน จนกระทั่งมือทั้งสองถูกรวบตรึงไว้ข้างศีรษะ คนตัวเล็กจึงหมดโอกาสได้ช่วยเหลือตัวเอง
“อย่าดิ้นสินังบ้า!” เสียงห้าวทุ้มที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนออกคำสั่ง
“ปล่อนฉันนะ! แกเป็นใครเนี่ย แล้วแกเข้ามาทำอะไรในเขตไร่ชาชัยพรรษ!”
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามแกหรอก หยุดดิ้นนะ!”
ว่าแล้วคนพูดก็โน้มใบหน้าลงต่ำ หมายจะฉกฉวยความหอมกรุ่มจากซอกคอขาวผ่อง แต่ยังไม่ทันได้ทำตามใจคิด มือปริศนาของใครคนหนึ่งก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่ แล้วออกแรงกระชากจนล้มกลิ้งไปอีกทาง
ถึงท้องฟ้าจะมืดครึ้มลงทุกทีแล้ว แต่ขวัญข้าวก็จำได้ดีว่าคนมาทีหลังก็คือศตายุนั่นเอง!
ใบหน้าหล่อเหลาดูตื่นตระหนกและถมึงทึงไปพร้อมกัน ชายหนุ่มตรงมาดึงเธอให้ลุกขึ้น แล้วดันให้ไปยืนอยู่ทางด้านหลัง ขณะที่ผู้บุกรุกเริ่มก้าวเข้ามาใกล้
“วิ่งไปซะขวัญ วิ่งไปให้เร็วที่สุด แล้วไปตามคนมาที่นี่!” ศตายุบอกกับหญิงสาว แต่เธอไม่สนใจ
“ไม่เอานะคะ! คุณศรก็ไปด้วยกันสิ”
“อย่าดื้อได้มั้ยเล่า! อยากโดนมันข่มขืนรึไงหา!” ชายหนุ่มตะโกนสั่งเสียงดัง
“แล้วคุณศรล่ะคะ”
หญิงสาวถามหน้าตื่น ดวงตากลมโตมีน้ำใสๆ เอ่อคลอ จะร่วงแหล่ ไม่ร่วงแหล่
“เฮ้ย!”
ยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไรกับขวัญข้าว ศตายุก็ต้องเบี่ยงตัวหลบหมัดที่พุ่งแหวกอากาศเข้ามาหา ชายหนุ่มกระโจนเข้านัวเนียกับอีกฝ่าย แลกหมัดกันไปมาจนขวัญข้าวเริ่มแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เธอคว้ากระถางต้นไม้ขนาดพอดีมือขึ้นมา แต่ก็ต้องชะงักค้างอยู่กลางอากาศ เพราะกลัวว่าศตายุอาจจะโดนลูกหลงไปด้วยคน
“ขวัญ! หนีไปเร็ว!”
ถึงแม้ตอนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วายตะโกนสั่งให้หญิงสาวรีบหนี
“หยุดนะ! ปล่อยคุณศรเดี๋ยวนี้”
ขวัญข้าวออกคำสั่ง แต่เจ้าวายร้ายที่ซ่อนใบหน้าไว้ภายใต้ผ้าสีดำสนิทกลับไม่สนใจฟัง ยังคงแจกหมัดเข้าใส่ศตายุชนิดไม่ยั้งมือ
ขวัญข้าวหมดทางเลือก ตัดสินใจใช้กระถางต้นไม้ในมือทุ่มเข้าใส่คนร้ายเต็มแรง ศตายุเหลือบเห็นความบ้าบิ่นนั้นเข้าพอดี ถ้าขืนปล่อยให้เธอทำแบบนั้น เรื่องมันต้องบานปลายแน่
ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงแผนการที่จะทำให้ขวัญข้าวรู้สึกติดหนี้บุญคุณเขาเท่านั้น คนร้ายจอมปลอมที่จ้างมาก็เป็นคนสนิทของเขาเอง ฉะนั้นหากปล่อยให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ สกรรจ์คงรู้แน่ๆ ว่าคนงานคนไหนที่พยายามทำร้ายขวัญข้าว คิดแล้วศตายุจึงออกแรงผลักคนที่คร่อมอยู่เหนือตัวเขาให้ออกห่าง แล้วยอมเป็นคนรับเคราะห์แทนเอง
เพล้ง!!!
“คุณศร!”
ขวัญข้าวตะโกนเรียกชายหนุ่มด้วยความตกใจ ขณะที่คนร้ายอาศัยโอกาสนั้นวิ่งหนีหายไปในความมืด
“คุณศร! คุณศรคะ! คุณอย่าเป็นอะไรไปนะ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเจ็บตัวเลย ตายแล้ว....เลือด!” ร่างบางถลาเข้าไปใกล้ ประคองศีรษะที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงข้นขึ้นสู่อ้อมอก
“ขวัญ...ฉัน...ฉัน...” แล้วศตายุก็หมดสติไป
ขวัญข้าวเขย่าร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความหวาดกลัวจับใจ ศตายุเป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วยเธอให้รอดพ้นจากการถูกทำร้าย แต่เธอกลับทำพลาดจนเขาต้องมาเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บเสียเอง นี่ถ้าหากเขาเป็นอะไรขึ้นมา เธอคงไม่ยอมให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิตแน่
