บทที่ ๖ เริ่มต้นชีวิตใหม่
พริมาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากเท่าไหร่แล้ว เพราะการได้พักผ่อนอย่างเต็มที่บวกกับยาสารพัดขนานที่สกรรจ์บังคับให้กิน หญิงสาวจึงรู้สึกคล่องตัวมากขึ้น เธอขยับตัวกำลังจะก้าวลงจากเตียง ขวัญข้าวก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน
“คุณพริม! ทำไมไม่เรียกขวัญล่ะคะ” หญิงสาวตรงรี่เข้ามาช่วยประคอง เพิ่งสังเกตเห็นว่าเวลาพริมาไม่แต่งหน้าจัด เธอดูสวยไปอีกแบบ จะว่าไปก็สวยกว่าตอนที่มีเครื่องสำอางเสียอีก
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้วขวัญ” แม้เธอจะบอกอย่างนั้น แต่ขวัญข้าวก็ไม่ยอมปล่อยให้หญิงสาวเดินตามลำพัง
“เดี๋ยวล้างหน้าล้างตา แล้วทานมื้อเช้าที่ห้องนี้เลยนะคะ” ขวัญข้าวบอกในขณะที่พาร่างระหงไปเข้าห้องน้ำ
“แต่ว่าฉันไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในห้องนี่นา แล้วตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ให้ฉันลงไปทานข้าวข้างล่างเถอะนะจ้ะ”
พริมาออดอ้อนยิ้มๆ นึกเอ็นดูสาวน้อยคนนี้ขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดจะพูดคุยกับใครอย่างสนิทสนมเลย แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมันทำให้รู้ว่าคนเราไม่สามารถอยู่คนเดียวบนโลกได้ การผูกมิตรกับคนอื่นจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่ง
“แต่ขวัญ...เอาเป็นว่าเดี๋ยวรอให้นายกลับมาก่อนนะคะ” เจ้าของรอยยิ้มน่ารักบอกอย่างลังเล
“นาย?” พริมาทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
“ขวัญกับคนที่นี่เรียกคุณสกรรจ์ว่านายค่ะ เพราะคุณสกรรจ์เป็นเจ้านายของพวกเรา” ขวัญข้าวยิ้มหวานหยด จนแม้แต่พริมาเองก็ยังนึกอิจฉาในความน่ารักของเธอ
“อ่อ แล้วนี่สกรรจ์ไม่อยู่หรอกเหรอ...เขาไปไหนขวัญ แล้วเมื่อไหร่จะกลับมา” เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ไม่มีสกรรจ์อยู่เคียงข้าง ความรู้สึกของพริมาก็ดิ่งวูบลง ด้วยเกรงว่าจะไม่มีเขาคอยปกป้องตามที่สัญญาเอาไว้ แต่ยังไม่ทันที่ขวัญข้าวจะได้ตอบอะไร ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
“ตื่นแล้วเหรอครับ” เจ้าของเสียงทักทายระบายยิ้มอ่อนโยนมาให้
“เพิ่งตื่นน่ะค่ะนาย คุณพริมกำลังถามหานายอยู่พอดีเลยค่ะ” ขวัญข้าวเป็นฝ่ายตอบคำถามเสียเอง เมื่อเห็นว่าพริมาเอาแต่ยืนจ้องสกรรจ์ชนิดไม่ยอมละสายตา
“ขวัญลงไปเตรียมอาหารเช้ากับยาขึ้นมาให้หน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
“ได้ค่ะนาย” สาวน้อยรับคำ ก่อนจะรีบผละจากไปทันที
สกรรจ์หันมาส่งยิ้มให้หญิงสาวอีกครั้ง แล้วพาเธอนั่งลงบนเตียงตามเดิม จัดหมอนหนุนขึ้นรองหลังให้ด้วยความเอาใจใส่ ไม่ลืมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายท่อนล่างให้ด้วย เพราะเช้านี้อากาศที่เชียงรายเย็นจัดและมีหมอกหนากว่าทุกวัน
“ดีใจจังที่ได้เห็นพริมคนเดิม เวลาอยู่ที่บ้านคุณทำตัวตามสบายเถอะนะพริม ไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวจัดจ้านนักก็ได้ เอาแค่นิดหน่อยก็คงพอ แต่ถ้าเราต้องออกไปข้างนอก คุณคงต้องจัดเต็มกลายเป็นสาวเปรี้ยวแสนเฉี่ยวทุกครั้ง...ดีมั้ย” สกรรจ์พูดพลางจ้องมองใบหน้าขาวสวยที่ไร้การแต่งแต้มอย่างชื่นชม
“ดีค่ะ พริมเองก็ไม่ค่อยชอบเหมือนกัน ว่าแต่สกรรจ์ไปไหนมาคะ” พริมาถาม จ้องตาอีกฝ่ายไม่กะพริบ
“ผมเข้าไปดูงานในไร่มา” คนตัวโตนั่งลงริมเตียง คว้ามือเล็กมากุมไว้ “เป็นอะไรหรือเปล่าพริม ทำไมถึงมองผมแบบนั้นล่ะ”
“พริม...” พริมาหลุบสายตาลงมองมือที่ถูกเกาะกุม “พอรู้ว่าคุณไม่อยู่ พริมก็เลยรู้สึกใจหายน่ะค่ะ” หญิงสาวบอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป
สกรรจ์เกือบยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เมื่อได้ยินว่าพริมายังคงเห็นเขาสำคัญอยู่ แววตาคู่สวยที่ใช้มองเขายังคงเหมือนเดิม แม้เวลาจะผ่านมาถึงสองปีแล้ว แต่ความรักและความห่วงใยก็ยังคงปรากฏอยู่บนแววตาเธอเสมอ ปฏิกิริยาของเธอทำให้เขากล้าที่จะเข้าหามากขึ้น
สกรรจ์โน้มใบหน้าลงจูบแผ่วเบาที่หน้าผากเรียบเนียน ดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด ยกมือขึ้นลูบไล้ผมนุ่มที่ซอยสั้นระดับบ่าอย่างไม่คุ้นมือนัก เขากอดกระชับเธอให้แน่นขึ้น เหมือนอย่างที่ต้องการมาตลอดสองปี
พริมาเองก็ไม่ลังเลที่จะกอดตอบเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรความจริงก็คือเธอรักสกรรจ์ รักมานานและยังคงรักไม่เสื่อมคลาย ตอนนี้เธอไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าเขาคิดอย่างไร ขอแค่ได้อยู่ใกล้ชิดกันไปแบบนี้ก็พอใจแล้ว
“จากวันนี้ไปคุณจะมีผมคอยดูแลเสมอ ผมไม่ลืมที่สัญญากับคุณเด็ดขาด ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะ”
“ขอบคุณนะคะสกรรจ์ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วยไว้ทันเวลา พวกนั้นคงส่งพริมไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณ
อยากให้ชายหนุ่มรู้เหลือเกินว่าที่เธอยอมมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขาสามารถคุ้มครองเธอได้ แต่มันเป็นเพราะความรู้สึกทั้งหมดไม่เคยจางหายไปจากใจเลยต่างหาก
“อย่าพูดถึงมันอีกเลยนะ ผมอยากให้คุณลืมเรื่องพวกนั้นให้หมด” สกรรจ์คลายอ้อมกอด แต่สองมือยังคงยึดไหล่บางไว้ สายตาทอดมองคนตรงหน้าอย่างห่วงใย
“แต่คนที่ตามล่าพริมเป็นฆาตกร เขาฆ่าผู้หญิงคนนึงเพื่อปิดปากอย่างเลือดเย็น แล้วคุณจะให้พริมลืมง่ายๆ ได้ยังไงคะ” พริมาน้ำตาคลอเมื่อเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอมา
“ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะลืม แต่มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องจำเหมือนกัน...จริงมั้ย”
“แต่ว่าผู้หญิงคนนั้น...”
“ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วพริม คุณช่วยอะไรผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หรอก เพราะเมื่อไหร่ที่คุณก้าวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกมัน พวกมันก็จะจัดการปิดปากคุณเหมือนกัน” ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดเข้าไปทุกที
“บ้านเมืองมีขื่อมีแป กฎหมายมีไว้เพื่อให้ความยุติธรรมไม่ใช่เหรอคะ อีกอย่างคุณเองก็เคยเป็นตำรวจ อย่างน้อยก็น่าจะทำอะไรเพื่อผู้หญิงคนนั้นได้บ้างสิ”
“ผมก็แค่เคยเป็น แต่ตอนนี้ผมเป็นแค่เจ้าของไร่ชาเท่านั้น” สกรรจ์เม้มริมฝีปากแน่น “ผมช่วยเรียกร้องอะไรแทนผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หรอกพริม เพราะผมไม่ใช่ตำรวจอีกต่อไปแล้ว แล้วที่สำคัญผมจะไม่ทำอะไรเพื่อใครทั้งนั้น...นอกจากเพื่อคุณคนเดียว”
ประโยคสุดท้ายทำให้พริมาถึงกับพูดไม่ออก แม้จะหดหู่ที่นึกถึงการตายอย่างไร้ความเป็นธรรมของผู้หญิงคนนั้น แต่เมื่อทบทวนเหตุผลของสกรรจ์ เธอจึงเข้าใจว่าการพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต่อไป ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ และคงไม่ได้มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะโชคร้าย เพราะสกรรจ์เองก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ไปแล้ว แน่นอนว่าพริมาจะไม่ยอมให้เขาเดือดร้อนเพราะเธออีกเป็นอันขาด
“ก็ได้ค่ะ พริมจะพยายามลืมทุกอย่างให้หมด แล้ว...”
“แล้วเริ่มต้นใหม่ที่นี่กับผม” สกรรจ์แทรกขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะทันได้พูดจบ
“สกรรจ์…”
“เมื่อสองปีก่อนผมทิ้งคุณไปทั้งที่รู้ว่าคุณไม่มีใครเลย เรื่องนั้นทำให้ผมยังคงรู้สึกเสียใจอยู่เสมอ แต่วินาทีแรกที่ผมได้พบคุณอีกครั้ง หลังจากได้เห็นสภาพที่บอบช้ำทั้งกายและใจ ผมก็รู้ทันทีว่าผมจะปล่อยคุณไปไหนไม่ได้อีกแล้ว เหตุผลแรกเพราะผมต้องการดูแลคุณ ในฐานะที่ผมมีส่วนทำให้คุณเป็นแบบนี้” นิ้วมือเรียวสวยแบบผู้ชายเลื่อนขึ้นลูบไล้บาดแผลบนใบหน้างาม
“หมายความว่ายังไงคะ...ที่ว่าคุณมีส่วนทำให้พริมเป็นแบบนี้”
“ก็ถ้าผมยังอยู่ดูแลคุณ คุณก็คงไม่ต้องโชคร้ายคนเดียวน่ะสิ”
“ขอบคุณมากเลยนะคะ แต่ถ้าคุณอยากดูแลพริมเพียงเพราะรู้สึกผิด พริมว่าอย่าดีกว่าค่ะ พริม...” หญิงสาวบอกอย่างซาบซึ้งใจ แต่ก็อดน้อยใจกับคำพูดแปลกๆ นั้นไม่ได้
“อย่าเพิ่งตัดสินผมด้วยเหตุผลข้อแรกสิ คุณยังไม่ได้ฟังเหตุผลข้อสุดท้ายของผมเลย”
“ไม่จำเป็นหรอกมั้งคะ เพราะพริมก็รู้อยู่แล้วว่าคุณทำไปเพราะรู้สึกผิดต่อพริม” หญิงสาวเม้มปากและหลบสายตา
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก แต่ที่ผมบอกให้คุณเริ่มต้นใหม่ที่นี่ด้วยกัน...ก็เพราะว่าผมรักคุณ” ในที่สุดสกรรจ์ก็เอ่ยความในใจออกมาให้พริมารับรู้
ดวงตากลมโตที่แดงช้ำเบิกกว้างขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ริมฝีปากบางสวยสั่นระริก เหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่อาจกลั่นกรองออกมาได้ในเวลานี้
“ผมเคยรักคุณยังไง วันนี้ผมก็ยังรักคุณแบบนั้น ผมจำเป็นต้องตัดขาดจากคุณ แล้วมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ตอนนี้ผมจะไม่ไปไหนอีก...ไม่ว่าคุณจะต้องการผมหรือไม่ต้องการ ผมก็จะไม่ยอมปล่อยคุณไป คุณต้องอยู่ที่นี่กับผม”
“สกรรจ์...คุณ…คุณไม่ได้แกล้งให้พริมดีใจเล่นใช่มั้ยคะ คุณมีสติดีอยู่ใช่มั้ย”
พริมาน้ำตาไหลอาบแก้ม ยกมือขึ้นลูบใบหน้าคร้ามแดดเบาๆ อยากสัมผัสให้แน่ใจว่าตอนนี้เธอไม่ได้กำลังฝัน หรือเพ้อไปเพราะพิษไข้
“สิ่งที่คุณได้ยินถูกต้องทุกอย่าง” สกรรจ์เกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มขาวซีดอย่างเบามือ “สกรรจ์คนนี้ไม่ได้มีหัวใจไว้ให้ใคร นอกจากคุณคนเดียว ผมรักคุณครับ...พริมา”
“พริม...พริมก็รักคุณค่ะ” ร่างระหงโถมตัวเข้ากอดชายหนุ่มแน่น
สกรรจ์โอบรอบเอวบาง ยิ้มกว้างอย่างสุขใจ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดตามมาในอนาคตต่อจากนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อคมคายก็เริ่มคลายลง มีเพียงอ้อมกอดมั่นคงเปรียบดั่งคำมั่นสัญญาว่าเขาจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ไม่ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเลวร้ายมากขึ้นแค่ไหนก็ตาม
“จำไว้นะว่าสำหรับคุณ...เรื่องเลวร้ายทุกอย่างมันจบลงแล้ว” ‘แต่สำหรับผม นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น’
ท้ายประโยคสกรรจ์ทำได้แค่เพียงบอกกับตัวเอง เพราะหากยอมให้หญิงสาวล่วงรู้ความในใจ คำถามที่ไม่อาจให้คำตอบได้ก็จะตามมา เขายังไม่พร้อมที่จะให้เธอรู้อะไรไปมากกว่านี้
ศตายุเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี แต่เป็นอันต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในบ้านลงเพียงแค่นั้น เมื่อสายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นขวัญข้าวง่วนอยู่กับกวาดพื้นที่ลานหน้าบ้าน หนุ่มหล่อกระตุกยิ้มที่มุมปาก แล้วเปลี่ยนใจเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวแทน
“ขยันแต่เช้าเลยนะขวัญ” ศตายุทักทายอย่างเป็นกันเอง ต่างจากทุกวันที่มักใช้คำพูดส่อเสียดในเชิงชู้สาว
ขวัญข้าวชะงักมือที่กำลังกวาดเศษใบไม้ใบหญ้าลงเล็กน้อย ลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เพียงเพราะเห็นผู้ชายไม่น่าไว้ใจเดินเข้ามาใกล้
“อะไรกัน ทำไมต้องถอนหายใจด้วย ฉันอุตส่าห์ทักดีๆ แล้วนะ” คนหล่อโวยวาย พลางทำสีหน้าน้อยใจ
“อุตส่าห์เลยเหรอคะ ลำบากขนาดนั้นก็ไม่เห็นต้องเดินมาทักฉันเลยนี่” ขวัญข้าวเหน็บโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่งานของตัวเองอากัปกิริยาเหล่านี้ทำให้ชายหนุ่มนึกอยากแกล้งเธอให้สะใจนัก แต่ติดตรงที่พูดไว้แล้วว่าจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ เพราะฉะนั้นจึงทำได้แค่แอบทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ลับหลังไปเท่านั้น
“นี่สกรรจ์อยู่บ้านด้วยเหรอ ทำไมวันนี้ถึงไม่เข้าไปดูงานที่ไร่ล่ะ”
“เห็นรถจอดอยู่คันเบ้อเริ่มยังต้องถามอีกเหรอคะ แล้วถ้าอยากรู้ว่าทำไมนายไม่เข้าไปที่ไร่ก็เชิญไปถามเอาได้เลย นายอยู่ข้างบนกับคุณพริม เมื่อกี๊ฉันเพิ่งยกสำรับขึ้นไปข้างบน เหลือแค่คุณนั่นแหละที่ยังไม่ได้ทานมื้อเช้า”
หญิงสาวได้ใจ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพยายามอดทนกับการกวนโมโหของเธอมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งอยากกวนโมโหเขาให้มากขึ้นเท่านั้น
“โอเค ขอบใจมากนะขวัญ งั้นฉันขอตัวเข้าไปกินข้าวก่อนแล้วกัน หิวจนแสบไส้แล้ว เธอเองก็อย่าทำงานจนเพลินล่ะ กินข้าวกินปลาให้มันเยอะๆ หน่อย อายุเยอะขึ้นทุกวัน แต่ตัวยังเล็กเหมือนเด็กประถมอยู่เลย ใครมาเจอเข้าเดี๋ยวจะหาว่าสกรรจ์ใช้แรงงานเด็กเอานะ” พูดจบร่างสูงโปร่งก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้คนตัวเล็กยืนอึ้ง เมื่อนึกทบทวนคำพูดอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครั้ง ขวัญข้าวก็รีบก้มสำรวจรูปร่างตัวเองเสียยกใหญ่
“คนบ้า! กล้าดียังไงนะถึงมาหาว่าฉันตัวเล็กเท่าเด็กประถม ฉันสูงหนึ่งร้อยหกสิบเชียวนะ แล้วฉันก็ไม่ได้ผอมอะไรมากมายด้วย...ไอ้บ้า ไอ้ผู้ชายปากมอม!” สาวน้อยบ่นพึมพำไล่หลังเขาไป ก่อนจะจัดการกับงานของตัวเองต่ออย่างเร่งรีบ ด้วยรู้ดีว่ามีหน้าที่ต้องไปจัดเตรียมอาหารให้อีตาจอมกวนนั่น ถึงแม้จะไม่อยากทำ แต่ก็ใช่ว่าจะมีทางเลือกอื่น
สกรรจเคยบอกเธอว่าไม่ต้องทำงานอะไรมากมายขนาดนี้ เพราะเธอไม่ใช่คนใช้ แต่ขวัญข้าวก็ยืนยันหนักแน่นว่าเธออยากทำ เพราะชายหนุ่มมีบุญกับเธอและแม่มากเหลือเกิน ไม่ว่ายังไงเธอก็จะอยู่ดูแลนายของเธอต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าสกรรจ์จะไม่ต้องการ
ศตายุยืนพิงกรอบประตูห้องครัวรอคอยขวัญข้าวอย่างจดจ่อ จนกระทั่งเห็นร่างเล็กเดินตรงเข้ามา ริมฝีปากหยักลึกแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบหลังประตู นับจังหวะในใจแล้วรีบโผล่พรวดออกมาให้พร้อมกับที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาในครัว
“ว้าย!” ดูเหมือนการคาดคะเนให้ทุกอย่างดูเป็นอุบัติเหตุจะสำเร็จโดยง่าย เพราะแรงปะทะระหว่างสองร่างที่ขนาดต่างกันมาก ส่งผลให้ขวัญข้าวเสียหลักเกือบล้ม ทว่าดีที่ได้วงแขนกำยำตวัดรัดรอบเอวบางเอาไว้ทันท่วงที
“เฮ้ย!” ชายหนุ่มดึงหญิงสาวเข้าหาตัว รู้สึกเหมือนกระแสไฟวิ่งพล่านอยู่ในกาย เมื่อรับรู้ได้ถึงทรวงอกอวบที่เบียดชิดอยู่กับแผงอกกว้าง รวมทั้งมือนุ่มนิ่มที่คว้าหมับเข้าที่ต้นคออย่างแนบแน่น ยิ่งทำให้หัวใจของคาศโนวาหนุ่มเต้นแรง
ตอนนี้ศตายุชักไม่แน่ใจแล้วว่าขวัญข้าวรูปร่างราวกับเด็กประถมจริงหรือเปล่า เพราะเท่าที่สัมผัสหน้าอกหน้าใจและบั้นท้ายกลมกลึงของเธออย่างละเอียดนั้น เขาก็ประเมินเอาเสร็จสรรพว่าสาวน้อยตรงหน้าซ่อนรูปอยู่พอตัวเลยทีเดียว แต่ถ้าจะให้แน่ใจคงต้องพิสูจน์กันตามลำพัง และมีข้อแม้ด้วยว่าต้องเป็นเนื้อแนบเนื้อเท่านั้น
“ปล่อยได้แล้วคุณศร!” มือเล็กรีบละจากต้นคอเขา เปลี่ยนมายันอกให้ออกห่างจากกันให้มากที่สุด แม้อีกฝ่ายจะรัดแน่นจนแทบขยับหนีไม่ได้เลยก็ตาม
“ระวังหน่อยสิ เกือบล้มแน่ะ” คนเจ้าเล่ห์แสร้งทำเป็นดุ แต่มือไม้ยังเกาะหนึบอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมปล่อยให้คนในอ้อมกอดเป็นอิสระอย่างที่ร้องขอ
“รู้แล้ว! ตอนนี้ฉันยืนเองได้แล้วก็ปล่อยสิ!”
“แน่ใจนะ”
“คุณศร!” ขวัญข้าวตวาดดังลั่น
“จะตะโกนอะไรนักหนาเล่า!” คราวนี้ศตายุถึงได้ยอมปล่อยมือออกจากตัวเธอจริงๆ แล้วแสร้งปั้นหน้าเคร่งขรึม ยืนกอดอกจ้องมองคนตัวเล็กราวกับเธอทำเรื่องผิดมหันต์ “ฉันช่วยเธอไว้ไม่ให้ล้มนะ แทนที่จะขอบคุณกันสักคำ แต่นี่ยังจะมาโวยวายใส่ฉันอีก”
“ฉันรู้นะว่าคุณตั้งใจจะลวนลามฉัน” ขวัญข้าวจ้องเจ้าของอ้อมกอดเขม็ง
“ทำไมต้องมองเห็นฉันเป็นเหมือนไอ้บ้ากามตลอดเลยขวัญ” ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกน้อยใจขึ้นมาตงิดๆ ทั้งที่มันคือความจริง
“ก็แล้วมันไม่ใช่รึไงเล่า คนอย่างคุณน่ะแผนสูงตลอดแหละ”
“นี่เธอพูดบ้าอะไรหา! ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ”
“โกหก! คุณลวนลามฉัน คุณรู้ใช่มั้ยล่ะว่าฉันกำลังเข้ามาในครัว คุณก็เลยถือโอกาสแต๊ะอั๋งฉัน!”
“เฮ้ย! นี่เธอ...คิดเองเออเองได้ขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย” ศตายุตกใจเหมือนกันที่ขวัญข้าวเอ่ยราวกับรู้ทันแผนการของเขา แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่ได้มีหลักฐานเสียหน่อย ถ้าเขายืนยันความบริสุทธิ์จอมปลอมของตัวเองต่อไป เดี๋ยวเธอก็หยุดโวยวายไปเอง
“บางทีฉันอาจจะตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคุณ แต่ฉันก็ไม่ได้โง่นักหรอกนะ!”
“เหอะ! อย่าสำคัญตัวเองไปหน่อยเลยขวัญ เธอมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินฉัน...ทั้งที่เธอไม่รู้ความในใจของฉันเลยด้วยซ้ำ!” ศตายุตวาดกลับบ้าง “ฉันนอนคิดมาทั้งคืนว่าที่ผ่านมาฉันแกล้งเธอมากเกินไปจริงๆ ฉันก็เลยอยากทำดีกับเธอตามที่คุยกันไว้ แล้วเป็นยังไงล่ะ...ฉันพูดดีๆ เธอก็กวนประสาท พอฉันช่วยเธอด้วยความบริสุทธิ์ใจ เธอก็ดันมาตะโกนแหกปากหาว่าฉันแผนสูง แล้วยังมาใส่ร้ายว่าฉันตั้งใจลวนลามเธออีก”
ชายหนุ่มโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ ทำเอาคนฟังยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าคนอย่างศตายุจะมีโหมดอารมณ์แบบนี้เป็นด้วย
“แต่ว่า...”
“เธออยากคิดอกุศลอะไรก็เชิญตามสบายแล้วกัน ฉันห้ามความคิดใครไม่ได้หรอก เธออยากจะใส่ร้ายให้ฉันเป็นตัวอะไรก็เอาเลย ฉันมันเลวนี่ ฉันมันเป็นผู้ชายฉวยโอกาส มันคงไม่แปลกหรอกที่ทำดีแล้วได้รับผลตอบแทนแบบนี้”
สีหน้าและท่าทางจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ขวัญข้าวนึกรู้สึกผิด เริ่มคิดว่าอันที่จริงศตายุอาจจะไม่ได้คิดแบบที่เธอเข้าใจไปเองก็ได้
“คุณศร คือฉัน...”
“เธออยากจะสาปส่งหรือแช่งชักหักกระดูกฉันยังไงก็เอาเลย ตามสบายเลย…จากนี้ไปฉันคงไม่วุ่นวายกับเธออีกแล้วล่ะขวัญ”
“เดี๋ยวสิคะ คุณ...คุณยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะ” หญิงสาวรั้งเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าร่างสูงกำลังทำท่าจะผละจากไป
“ช่างมันเถอะ ไม่กินข้าวเช้าวันเดียวฉันคงไม่ตายหรอก แต่ถึงจะตายขึ้นมาจริงๆ ก็คงดี เธอจะได้มีความสุขยังไงล่ะ”
ศตายุจัดการหยอดคำพูดทิ้งท้ายเพื่อให้ขวัญข้าวรู้สึกผิดหนักขึ้นอีก ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป ใบหน้าที่ดูเครียดจัดแปรเปลี่ยนเป็นเบิกบานแทบจะทันทีที่หันหลังให้อีกฝ่าย
ขวัญข้าวยืนลังเลอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง แล้วรีบวิ่งไปหาคนขี้น้อยใจทันที แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ศตายุสตาร์ทเครื่องรถ แล้วขับออกจากบ้านไปด้วยความเร็วสูง ดูจากท่าทางแล้วเขาคงจะรู้สึกหัวเสียมาก อุตส่าห์ตั้งใจจริงที่จะเลิกกลั่นแกล้งเธอ แต่กลับกลายเป็นเธอเสียเองที่ทำตัวงี่เง่าใส่เขา
จะว่าไปแล้วขวัญข้าวก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่าศตายุจะคิดอย่างไร แต่ที่ต้องมากระวนกระวายใจอยู่อย่างนี้ เป็นเพราะโดยเนื้อแท้แล้ว หญิงสาวเป็นคนที่ห่วงความรู้สึกของคนอื่นเสมอ ไม่ว่าคนคนนั้นจะดีต่อเธอหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากจะให้มองข้ามการกระทำในวันนี้ไป
ไม่ว่าอย่างไร...เธอก็ควรขอโทษเขา
