บทที่ ๕ ปกป้อง 2
“อันที่จริงฉันเห็นขวัญเป็นเหมือนน้องสาวนะ แต่เรื่องหวงไว้กินเองก็ไม่แน่หรอก ถ้าสุดท้ายแล้วไม่มีใครจริงใจกับขวัญ ฉันอาจจะเอาขวัญทำเมียก็ได้” สกรรจ์เหลือบตามองพริมาตลอดเวลาที่แกล้งเย้าศตายุให้หงุดหงิดเล่น เพราะหากหญิงสาวได้ยินเข้า มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
สำหรับคนที่ถูกแกล้งก็ไม่รู้เรืองรู้ราวอะไรเลย คิดอย่างเดียวว่าที่เพื่อนพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง และตั้งแต่ตอนนั้น ศตายุก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยจนกระทั่งขับรถกลับถึงบ้าน ยิ่งตอนเห็นขวัญข้าวกุลีกุจอลงมาต้อนรับเจ้านาย เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนลูบคม ทีกับเขายัยตัวเล็กเอาแต่รังเกียจ พูดจาจิกกัดอยู่ได้แทบตลอดเวลา แต่กับสกรรจ์หรือคนอื่นๆ เธอจะปฏิบัติตัวแตกต่างราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว
“ขวัญจัดโต๊ะอาหารไว้ให้นายกับแขกของนายแล้วนะคะ”
ขวัญข้าวบอกอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มประคองสาวสวยคนหนึ่งลงมาจากรถ เธอชายตามองศตายุที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกลเล็กน้อย ก่อนจะยกมือไหว้พริมาอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ” พริมารับไหว้และระบายยิ้มอ่อนโยน
“นี่ขวัญนะพริม เป็นลูกสาวแม่นมของผมเอง ผมเห็นขวัญเป็นเหมือนน้องสาวคนนึง ส่วนนี่คือคุณพริมนะขวัญ” สกรรจ์แนะนำให้สองสาวได้รู้จักกัน
อันที่จริงชายหนุ่มอยากบอกขวัญข้าวเหมือนกันว่าพริมาคือคนรักของเขา แต่เมื่อคิดให้ดีแล้ว เขาควรถามเธอเพื่อให้แน่ใจในความสัมพันธ์เสียก่อน แม้จะรู้ดีว่าพริมายังไม่ได้เปิดรับใครเข้ามาดูแลหัวใจแทนที่เขา แต่สถานภาพความเป็นคนรักของพวกเขาจบลงไป ตั้งแต่วันที่เขาตัดสินใจหันหลังให้เธอแล้ว
“ยินดีต้อนรับค่ะคุณพริม มีอะไรเรียกใช้ขวัญได้ตลอดเวลาเลยนะคะ” ขวัญข้าวยิ้มหวาน
“จ้ะ ถ้ายังไงฉันคงต้องรบกวนขวัญบ่อยๆ แล้วล่ะนะ”
“ได้เลยค่ะ ขวัญจะดูแลคุณพริมไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย” เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มบอกเสียงใส
“ขอบคุณมากนะ” พริมากล่าวขอบคุณอีกครั้ง และมองสาวสวยตรงหน้าที่ดูอ่อนวัยกว่าอย่างเป็นมิตร
ขวัญข้าวตัวเล็กบอบบาง ดูน่าทะนุถนอม ใบหน้ารูปไข่มีเครื่องหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มน่ารักเสียเหลือเกิน หน้าผากของเธอนูนสวย ดวงตากลมโตบ่งบอกถึงความใสซื่อไร้เดียงสา จมูกโด่งเรียวเล็กเหมาะกับริมฝีปากอิ่ม ผิวพรรณขาวเนียนละเอียดตามแบบฉบับสาวชาวเหนือ แม้ตอนนี้ขวัญข้าวจะสวมชุดนอนมิดชิด แต่ก็ยังคงความน่ารักน่าเอ็นดู จนหญิงสาวอดยิ้มให้คนตรงหน้าไม่ได้
“เอาล่ะสาวๆ ตอนนี้ก็ทักทายกันเรียบร้อย ผมว่าเรารีบเข้าไปข้างในเถอะ คืนนี้อากาศเย็นด้วย”
สกรรจ์ตัดบท ก่อนจะจูงมือพริมาเดินเข้าไปในบ้าน โดยที่ขวัญข้าวเองก็ทำท่าจะเดินตาม แต่ก็โดนอีกหนึ่งหนุ่มรั้งไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว!” ศตายุร้องเรียกด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“มีอะไรอีกล่ะคะ” เป็นอีกครั้งที่เธอทำหน้าบูดบึ้งใส่เขา
“ยกกระเป๋าคุณพริมเข้าบ้านไปสิ” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปท้ายรถ “เป้ของสกรรจ์ฉันจัดการเอง” แล้วเดินมาคว้ากระเป๋าเป้ของสกรรจ์ขึ้นสะพายไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง ไม่วายมองคนตรงหน้าด้วยสายตากวนๆ
ขวัญข้าวไม่ได้พูดอะไรขึ้นอีก เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เธอเดินไปลากกระเป๋าใบโตที่วางอยู่ท้ายรถ แล้วรีบเดินออกไปให้ไกลเพื่อนจอมหื่นของเจ้านาย
ยังไม่ทันจะหันหลังกลับ ข้อมือเล็กก็โดนกระชากอย่างแรง จนร่างแน่งน้อยเซไปปะทะกับอกแกร่งของอีกฝ่าย กระเป๋าลากที่ถืออยู่ร่วงหลุดจากมือไปกองอยู่ที่พื้น
“ปล่อยนะคุณศร!” เธอตวาดเสียงแข็ง แต่ศตายุไม่ยอมปล่อย กลับยักคิ้วกวนอารมณ์ ซ้ำยังกอดเธอแน่นขึ้นอีก
“ร้องให้นายเธอช่วยสิ แต่ร้องให้ทันก่อนที่จะโดนฉันปิดปากแล้วกัน” ทันทีที่พูดจบริมฝีปากหยักลึกก็ฉกวูบไปที่กลีบปากบาง แบบที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัวทันที
“อย่านะ!” ขวัญข้าวเอียงหลบพัลวัน มือน้อยยันอกกว้างไว้เต็มแรง แต่ก็โดนมือของศตายุดึงออก ก่อนที่เขาจะรั้งร่างเล็กเข้ามาแนบชิด จนหน้าอกอวบอิ่มบดเบียดแผงอกของเขา ความนุ่มหยุ่นนั้นทำให้เนื้อตัวของเขาร้อนผ่าวไปหมด
“อย่าทำเป็นสะดีดสะดิ้งไปหน่อยเล้ย ฉันรู้หรอกน่าว่าเธอเองก็อยากให้ฉันพาขึ้นเตียงเหมือนกัน”
คาสโนวาหนุ่มพูดออกไปด้วยความโมโห ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ทุกครั้งที่เห็นสายตาหมางเมินกับท่าทีรังเกียจ มันทำให้เขาอยากจะลากเธอมาทำโทษด้วยวิธีของเขาเหลือเกิน
“หยาบคาย! ฉันไม่มีวันคิดจะยุ่งกับผู้ชายอย่างคุณหรอก เอาเงินมากองแทบเท้าฉันเป็นสิบล้านร้อยล้าน...ฉันก็ไม่เอา!” ขวัญข้าวตวาดลั่น แต่มันไม่ได้ดังพอที่จะทำให้สกรรจ์หรือคนอื่นๆ ได้ยิน
ดวงตากลมโตมองคนตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเป็นแบบไหน แต่พอเจอเข้าจริงๆ กลับรับไม่ได้ที่ศตายุมองเธอเหมือนผู้หญิงบนเตียงของเขา
“ทำไมเธอถึงเกลียดฉันนักนะ” ชายหนุ่มถามเสียงแข็ง พลางคลายอ้อมกอดเพื่อให้มองคนตรงหน้าได้ถนัดขึ้น
“ทำไมน่ะเหรอ” ขวัญข้าวแค่นยิ้ม ดวงตากลมโตเริ่มมีน้ำสีใสคลอรื้นขึ้นมา “เพราะฉันเกลียดผู้ชายมักมากอย่างคุณไง ผู้ชายแบบคุณนั่นแหละที่ทำให้ฉันสูญเสียแม่ ถ้าคุณทำดีกับฉัน ฉันก็คงทำดีกับคุณเหมือนกัน แต่นี่อะไร...มีโอกาสตอนไหนคุณก็คิดจะเอาเปรียบฉันอยู่เรื่อยเลย” เมื่อความอดทนมันหมดลง ทุกคำพูดที่อยู่ในใจก็พรั่งพรูออกมา
เมื่อเจ้าของอ้อมกอดเห็นน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาคู่สวย อารมณ์โมโหก็ค่อยๆ ลดลง ก่อนจะเอ่ยถามในเรื่องที่เขาสงสัยมานาน แต่เธอกลับไม่เคยยอมปริปากพูดออกมา
“ตกลงว่าแม่ของเธอโดนใครทำร้ายมากันแน่ ทำไมถึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับสกรรจ์ล่ะ”
“ฉัน...ฉันพูดไม่ได้หรอก ฉันบอกใครไม่ได้” หญิงสาวสะบัดตัวออกห่าง รู้สึกโล่งอกมากขึ้นที่ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะดึงเธอเข้าไปกอดไว้อีกครั้ง
“ทำไม...มีเหตุผลอะไรเธอถึงบอกใครไม่ได้”
“คุณไม่ต้องมาสนใจเรื่องของฉันหรอก” ขวัญข้าวตัดบท พลางก้มลงคว้ากระเป๋าของพริมาขึ้นมาถือไว้อีกครั้ง แล้วรีบหันหลังให้ศตายุ เมื่อน้ำตาเริ่มไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เอาล่ะขวัญ ฉันว่าเรามาคุยกันดีๆ เถอะนะ” เขาพยายามใจเย็น
“คนอย่างคุณจะพูดดีกับใครเป็น”
“เออ ฉันมันชั่วช้าสารเลวในสายตาผู้หญิงทุกคนนั่นแหละ แต่ถ้าฉันสัญญาว่าจะไม่เอาเปรียบเธออีก เธอจะมองฉันในแง่ดีบ้างได้มั้ย” ให้ตายเถอะ นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ต้องยอมผู้หญิงขนาดนี้ ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องยอมเธอ
“ผีเข้ารึไงคุณศร คุณคิดจะทำให้ฉันตายใจอีกล่ะสิ ลูกไม้นี้คุณใช้มาเกือบจะสองปีแล้วนะคะ ไม่เบื่อบ้างเหรอ” หญิงสาวรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้ม แล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขา
“เฮ้ย! บ้าน่า ฉันยังไม่เคยสัญญากับเธอแบบนี้ซะหน่อย” ศตายุทำหน้าเหวอ
“นั่นไง ตัวคุณเองยังจำคำพูดตัวเองไม่ได้เลย”
“โอเคๆ ฉันอาจจะเคยพูด แต่ครั้งนี้ซีเรียสนะ” หนุ่มหล่อโบกมือยอมแพ้ “ฉันสัญญาจริงๆ ว่าจะไม่แกล้งเธอแล้ว ถ้าฉันผิดสัญญา...ขอให้มดกัดตายเลยเอ้า” คนตัวโตชูสองนิ้วสัญญา แล้วยิ้มอบอุ่นให้
“ฟังดูจริงใจจนฉันทำตาแทบร่วงเลยล่ะค่ะ” ขวัญข้าวประชด แล้วเบ้ปากใส่อีกฝ่าย
“เธอพูดเองนะว่าถ้าฉันทำดีกับเธอ เธอก็จะทำดีกับฉัน” ศตายุจ้องลึกลงในดวงตาหญิงสาว “แล้วมาดูกันว่าคนอย่างฉันจะเป็นสุภาพบุรุษได้หรือเปล่า ตกลงมั้ย” ท้ายประโยคดูนุ่มนวลจนหญิงสาวต้องจ้องมองใบหน้าคมราวกับถูกมนต์สะกด ศตายุยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ แล้วเดินผิวปากเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้ขวัญข้าวมองตามด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด ก่อนจะเดินหิ้วกระเป๋าเดินตามหลังไปติดๆ
ชายหนุ่มที่เดินออกมาก่อนยิ้มแพรวพราวขึ้นมา คราวนี้เขาจะไม่ให้ขวัญข้าวหลุดรอดไปได้เหมือนทุกครั้งอีกแล้ว เขาจำได้ดีเรื่องที่เคยสัญญาไว้กับเธอ แต่ยังไม่ทันรอให้เธอตายใจ ความร้อนรุ่มที่ได้อยู่ใกล้ชิดก็ทำให้เขาหลุดบทสุภาพบุรุษทุกที จากนี้ไปเขาจะควบคุมตัวเองให้มากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะทำให้ได้ตัวขวัญข้าวอย่างที่ต้องการแล้ว อาจจะทำให้เธอยอมบอกสาเหตุการตายของมารดาออกมาด้วยก็ได้
สกรรจ์ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด ทั้งที่เพิ่งข่มตาหลับลงได้ไม่นานนัก ร่างสูงกำยำเดินตรงไปที่ห้องนอนของพริมาอย่างเงียบกริบ กำลังจะเอื้อมมือเปิดประตูเข้าไปดูเธอ แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจถอยกลับออกมา แล้วมุ่งหน้าลงไปที่รถจี๊ปคู่ใจแทน
ใช้เวลาหลายสิบนาทีอยู่เหมือนกัน กว่าชายหนุ่มจะขับรถไปถึงไร่ชาชัยพรรษ ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวและชิ้นสุดท้ายของบิดา นับตั้งแต่ท่านเสียชีวิตไปด้วยโรคตรอมใจ
ไร่ชาที่กว้างใหญ่กว่าพันไร่ก็เป็นเสมือนตัวแทนของท่าน ด้วยเหตุผลนี้เองสกรรจ์จึงรักและเอาใจใส่มันมาก ไม่ว่าจะมีนายทุนมาขอซื้อที่ดินต่อด้วยราคามหาศาลเพียงไหน แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะขาย เพราะไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจแลกความทรงจำดีๆ ระหว่างเขากับพ่อได้
สกรรจ์เป็นชาวเชียงรายโดยกำเนิด ตั้งแต่จำความได้เขาก็มักจะเห็นบิดากับบรรดาคนงานพากันตื่นเข้าไปในไร่ชาตั้งแต่เช้าตรู่ มันเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งสกรรจ์เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น พ่อเขาบุกเบิกจากที่ดินอันว่างเปล่า ให้เป็นไร่ชาที่ให้ผลผลิตมหาศาลและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ
ไร่ชาชัยพรรษ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านพญาไพร ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งปลูกชาชั้นดี และมีราคาสูงมาก
การที่บรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดทั้งปี ความสวยงามของไร่ชาที่ปลูกโค้งวนตามสันเขาและลดหลั่นเป็นขั้นบันได ซึ่งดูสวยงามแปลกตากว่าไร่ชาที่อื่น ทำให้ไร่ชาชัยพรรษกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในจังหวัดเชียงราย
ท่ามกลางความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ยังมีปัญหาอื่นตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการถูกข่มขู่จากไร่ชาใกล้เคียง หรือถูกกลั่นแกล้งจากผู้ไม่หวังดี ที่ร้ายกว่านั้นคือช่วงหลังพ่อแม่ของเขาเริ่มมีปากเสียงกัน เพราะเวลาที่มีให้กันนั้นน้อยลงกว่าเมื่อตอนที่เขายังเด็ก
สกรรจ์เข้าใจดีว่าคนเป็นพ่อต้องการสร้างความมั่นคงให้ลูกเมีย แต่เนื่องจากมารดาของเขาอายุน้อยกว่าบิดาถึงเจ็ดปี ทำให้ความคิดความอ่านยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ มีเพียงสกรรจ์เท่านั้นที่รับรู้เสมอว่าบิดาของเขารักครอบครัวมากเพียงใด
หลังจากเรียนจบระดับมัธยม สกรรจ์ก็เข้ากรุงเทพฯ มาเพื่อสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ พ่อของเขาดีใจและภูมิใจมาก เมื่อเห็นลูกชายสามารถสอบเข้าเรียนต่อได้ด้วยความสามารถของตัวเอง และไม่กี่ปีต่อมาเขาก็ได้เป็นตำรวจตามที่เคยวาดหวังไว้
แต่ก็น่าเสียดายนักที่ความฝันนั้นไม่สมควรเป็นของเขา เพราะเมื่อบิดาเสียชีวิตไปได้ไม่นาน มารดาของเขาก็รีบแต่งงานใหม่กับผู้ชายที่ลักลอบเป็นชู้กัน ตั้งแต่ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ความจำเป็นบางอย่างทำให้สกรรจ์ต้องตัดสินใจลาออกจากราชการ แล้วกลับมาดูแลไร่ชาที่เต็มไปด้วยความทรงจำต่อจากบิดาทันที
“สวัสดีครับนาย ตื่นเจ๊าเหมือนเคยเลยนะครับ” หัวหน้าคนงานเดินเข้ามาทักทายด้วยภาษาท้องถิ่น
“ฉันอยากเข้ามาสูดอากาศที่นี่น่ะ เพราะหลังจากวันนี้ไปก็คงไม่ได้มาดูงานด้วยตัวเองบ่อยนัก” ดวงตาคู่คมมองไปรอบๆ ด้วยสายตาเกินที่ใครจะคาดเดาความหมาย
“อ้าว อะหยังครับ หรือว่าป้อเลี้ยงสั่งหื้อนายไปผ่องานที่ไร่โน้นแทน”
“เปล่าหรอก ไร่นิพิฐพนธ์ไม่ได้ต้องการฉันมานานแล้ว แต่ฉันมีธุระนิดหน่อยต้องจัดการน่ะ คงจะไม่ได้เข้ามาที่ไร่เราบ่อยนัก ยังไงฝากด้วยนะอุ่น ถ้ามีปัญหาอะไรไปหาฉันที่บ้านได้ตลอดเวลาเลย แต่ต้องโทรบอกก่อนนะ เพราะบางทีฉันอาจจะไม่สะดวก” สกรรจ์พูดพลางกระชับเสื้อตัวหนาเข้าหาตัว เมื่อลมหนาวพัดเข้ามาปะทะร่างสูง
“แหม เดี๋ยวนี้จะเมือหาที่เฮือนก็ต้องโทรบอกล่วงหน้าเหียก่อนโตย” อุ่นเย้าเล่นๆ ตามประสาคนสนิท
“อย่าขี้สงสัยนักเลยอุ่น ทำตามที่ฉันบอกก็พอ เดี๋ยวก็หักค่าแรงซะหรอก” ชายหนุ่มดุไม่จริงจังนัก “ว่าแต่ช่วงนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า แล้วไอ้พวกหมาลอบกัดพยายามเข้ามาที่ไร่เราอีกมั้ย” ใบหน้านิ่งเรียบเริ่มเคร่งเครียดขึ้น เมื่อพูดถึงเรื่องความผิดปกติที่มักเกิดขึ้นบ่อยในระยะหลัง
“บ่มีครับ” อุ่นส่ายหน้ายืนยันคำพูด “ผมหื้อคนงานอยู่ผ่อเฝ้าเวรยามเพิ่มขึ้นตามที่นายสั่งแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล รีบบอกฉันเลยนะ”
“ได้ครับนาย” หัวหน้าคนงานวัยกลางคนพยักหน้ายิ้มแย้ม
“ถ้างั้นฉันกลับก่อนนะ นายมีอะไรทำก็รีบไปทำเถอะ”
สกรรจ์คิดว่าบางทีพริมาอาจจะตื่นแล้ว จึงรีบขอตัวกลับไปที่บ้าน อุ่นยกมือกระพุ่มไหวนายน้อย ซึ่งเขาก็ยกมือรับไหว้ และยืนมองตามอุ่นไปจนลับสายตา
สกรรจ์มองไปรอบๆ บริเวณด้วยความรู้สึกอัดแน่นอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่รถ นับจากวันนี้ไปเขาจะต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองมากขึ้น ซึ่งความเสี่ยงก็ย่อมเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าสิ่งที่เขากำลังคิดจะทำต่อไป อาจส่งผลเสียถึงไร่ชาชัยพรรษได้ แต่ก็นั่นแหละ...ต่อให้ต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้องไร่นี้ รวมทั้งเหล่าคนงานอีกหลายร้อยชีวิต เขาก็ต้องทำ และนั่นก็หมายถึงพริมาด้วย ต่อให้ต้องตายเขาก็จะปกป้องเธอให้รอดจากเงื้อมมือของพวกคนสารเลวให้ได้...
