บทที่ ๔ ก้าวสู่จุดเริ่มต้น 3
เมื่อจองห้องพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ขึ้นมาข้างบนเพื่อเตรียมตัวพักผ่อน สกรรจ์เดินไปทั่วห้องเพื่อสำรวจสิ่งผิดปกติ ส่วนพริมาก็เดินเข้าไปที่ห้องนอนและจัดการกับสัมภาระของตัวเอง ในใจรู้สึกประหม่าไม่น้อยที่รู้ว่าคืนนี้จะต้องนอนบนเตียงเดียวกับอดีตคนรัก เหมือนชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอกังวล จึงรีบบอกให้คลายใจ
“อย่าคิดมากนะพริม ผมแค่ไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้ ผมจะนอนที่โซฟานะ คุณนอนที่เตียงได้ตามสบายเลย” เขายิ้มอบอุ่นให้
“ขอบคุณนะคะสกรรจ์”
พริมาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอ่ยคำนี้กับเขาไปกี่รอบแล้ว แต่สิ่งที่เขาทำให้เธอนั้นมันมากมาย จนไม่รู้ว่าเธอจะตอบแทนเขาได้อย่างไร สิ่งเดียวที่ให้ได้ตอนนี้ก็คงมีเพียงคำขอบคุณเท่านั้น
สกรรจ์ยิ้มให้ ก่อนจะเดินไปหยิบกล่องยาที่นำติดตัวมาด้วย เพื่อไว้ให้พริมาใช้กลางทาง เขาจัดการทำแผลให้หญิงสาวอีกครั้ง เจ้าของใบหน้าคมคร้ามดูเบาใจขึ้นมาก เมื่อพบว่าหญิงสาวไม่ได้เจ็บหนักเหมือนอย่างตอนแรกที่พบกัน นั่นคงเป็นเพราะเธอได้ยาแก้อักเสบและทำแผลเพื่อลดการติดเชื้อ เมื่อทำแผลเสร็จ บุรุษพยาบาลจำเป็นก็เอ่ยยิ้มๆ
“พริมพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะไปหาซื้อข้าวของที่จำเป็นให้ แล้วห้ามออกไปไหนเด็ดขาดเลยนะ”
“ข้าวของที่จำเป็นอะไรคะ ไม่ต้องหรอกค่ะ ของที่ต้องใช้พริมเอามาด้วยหมดแล้ว”
“แต่สิ่งที่คุณมีมันไม่ได้ทำให้คุณปลอดภัยจากไอ้คนพวกนั้นน่ะสิ ผมคิดว่าพริมควรปลอมตัวชั่วคราวน่ะ ผมว่าจะไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่มาให้” สกรรจ์เฉลย
“ปลอมตัว...ยังไงคะสกรรจ์ อย่าบอกนะว่าจะให้พริมปลอมตัวเป็นผู้ชายใส่หนวดอะไรทำนองนั้น” พริมาทำตาโต ไม่ใช่ว่ารังเกียจที่จะอำพรางตัวเองด้วยบุคลิกที่แปลกไปหรอก แต่เธอกลัวว่าตัวเองจะปลอมตัวได้ไม่แนบเนียนจนพวกนั้นจับได้เอาน่ะสิ
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ทำแบบนั้นมันจะน่าสังเกตเกินไป” อดีตนายตำรวจหนุ่มบอก ในหัวก็พยายามคิดหาทางพาคนรักออกจากโรงแรมอย่างปลอดภัย แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเอาเสียเลย
“พริมว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ออกไปซื้อของมันอันตรายนะสกรรจ์ อย่าลืมสิว่าคุณเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของพริมแล้ว ถ้าพวกมันเห็นคุณ มันคงไม่ปล่อยคุณแน่” หญิงสาวเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาอย่างมาก
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมดูแลตัวเองได้เสมอแหละครับ”
เมื่อยืนยันแบบนี้ก็คงป่วยการที่คัดค้านต่อไปอีก พริมาถอนหายใจ มีบางสิ่งแล่นเข้ามาในหัว มันทำให้เธอจำเป็นต้องเอ่ยถามบางอย่างกับเขา
“เอ่อ...คุณจะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าพริมจะขอยืมเงินคุณก่อน” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างเกรงใจ
“ขอแค่คุณบอกมาว่าต้องการอะไร ผมก็ให้คุณได้หมดทุกอย่างอยู่แล้วครับ แต่ถ้าจะออกไปข้างนอก อันนี้ผมขอนะ คุณก็รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน แล้วตัวคุณเองก็ยังบาดเจ็บอยู่เลย ว่าแต่...คุณจะยืมเงินผมไปทำไมกัน” สกรรจ์ย่นคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ
“ตอนนี้ดึกแล้ว สกรรจ์พักผ่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยว่ากันใหม่นะคะ”
พริมาไม่ตอบคำถาม แต่เดินไปที่เตียงนอนแล้วล้มตัวลงนอนทันที สกรรจ์ยืนมองหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา แล้วหอบหมอนกับผ้าห่มไปนอนที่โซฟาด้านนอก
เจ้าของร่างโปรงระหงเดินออกมาจากห้องในเสื้อผ้าชุดใหม่กับสภาพร่างกายที่ดีขึ้นมาก เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานเหมือนเมื่อวาน จะมีเหลือก็เพียงรอยแผลถลอกเท่านั้น
ดวงตาคู่สวยมองนาฬิกาติดผนังก็เห็นว่าเกือบสิบโมงเช้าแล้ว เมื่อทอดมองไปยังสกรรจ์รอยยิ้มน้อยๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปาก ตอนนี้เจ้าของร่างสูงยังคงนอนขดตัวอยู่บนโซฟา ผ้าห่มเลื่อนลงมากองอยู่ที่พื้น หญิงสาวลอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยน ขณะดึงผ้าขึ้นห่มให้ตามเดิม
“ขอบคุณนะคะสกรรจ์ ถ้าไม่ได้คุณ พริมคงตายไปแล้ว...ไหนๆ คุณก็ยังไม่ตื่น พริมขอถือวิสาสะยืมเงินคุณไปใช้ก่อนนะ หวังว่าสักวันพริมคงมีโอกาสใช้คืนให้คุณนะคะ” พริมากระซิบบอกราวกับว่านั่นคือการขออนุญาต ก่อนจะเดินไปคว้ากระเป๋าสตางค์ของชายหนุ่มมาถือไว้ ไม่ลืมนำหมวกแก๊ปกับแว่นกันแดดของเขาใส่อำพรางใบหน้าไว้ด้วย
สกรรจ์หัวเสียอย่างหนักเมื่อตื่นมาแล้วไม่พบตัวพริมาอยู่ในห้อง กระเป๋าสตางค์ของเขาก็หายไปด้วย ซึ่งมันก็ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่พริมาถามเขาเมื่อคืน
‘เอ่อ...คุณจะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าพริมจะขอยืมเงินคุณก่อน’
ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งรู้สึกวูบไหว สกรรจ์เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เดาไม่ออกจริงๆ ว่าพริมากำลังคิดจะทำอะไร หรือบางทีเธออาจจะหนีไปจากเขาแล้ว เพราะคิดว่าคงไม่สามารถฝากชีวิตของตัวเองไว้กับเขาได้...
คิดดังนั้นอดีตนายตำรวจหนุ่มก็ทรุดลงกับโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่พอได้ยินเสียงเคาะประตูหัวใจก็พองโตขึ้นมาอีกครั้ง มั่นใจว่าคนที่อยู่หลังประตูบานนี้คงเป็นพริมาแน่นอน
สกรรจ์ก้าวเร็วๆ ไปเปิดประตู โดยไม่ทันได้ส่องดูตรงช่องตาแมวเสียก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พอประตูเปิดออกรอยยิ้มของเขาก็หุบฉับลงและเปลี่ยนเป็นเย็นชาแทบจะในทันทีทันใด
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยถามขึ้น พลางมองหญิงสาวท่าทางแปลกประหลาด ที่เอาแต่หลบตาเขาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“เอ่อ...มีคนฝากของมาให้น่ะค่ะ”
เจ้าของน้ำเสียงตะกุกตะกักบอก พลางยื่นถุงกระดาษที่ข้างในเป็นหมวกแก๊ป แว่นตากันแดดและกระเป๋าสตางค์ของเขา พอชายหนุ่มเห็นของพวกนั้น ก็ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามให้อีกฝ่าย พร้อมกับหรี่ตาลงอย่างจับพิรุธ
“คุณเป็นใคร แล้วเจอของพวกนี้ที่ไหน”
“เอ่อ...มีคนฝากให้เอามาให้ แล้วก็ฝากบอกด้วยว่าขอโทษที่...แอบขโมยกระเป๋าสตางค์กับของพวกนี้ไป”
คนฟังยิ่งงุนงงหนักเข้าไปอีก แต่สิ่งที่ทำให้เขาฉงนหนักไปกว่านั้นก็คือผู้หญิงตรงหน้า ท่าทางแปลกๆ น้ำเสียงคุ้นหู แต่การแต่งตัวนี่สิเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่คุ้นเลย
ความเงียบทำให้คนที่พยายามหลบตาเริ่มทนไม่ไหว ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายตรงๆ ส่งรอยยิ้มหวานหยดให้พร้อมกับคำถามที่คาดไม่ถึง
“นี่สกรรจ์จำพริมไม่ได้จริงๆ เหรอคะ”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างช้าๆ ผมสีดำสลวยที่ยาวจนถึงเอวของเธอ ถูกตัดสั้นให้เหลือแค่บริเวณไหล่ พร้อมด้วยการเปลี่ยนสีผมเป็นเฉดน้ำตาลอ่อน เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็เปิดเผยเนื้อนวลแบบสมัยนิยม ใบหน้าสวยหวานที่เคยดูอ่อนโยนน่ารัก ตอนนี้ดูเซ็กซี่ร้อนแรงด้วยเครื่องสำอางแบบจัดเต็ม
คนมองพูดอะไรไม่ออกกับความเปลี่ยนแปลงพวกนี้ นอกจากรอยแผลที่ปรากฏให้เห็นตามร่างกายแล้ว มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่บอกได้ว่าเธอคือพริมา นั่นก็คือแววตาคู่สวยที่ทอประกายความใสวื่ออยู่เสมอ เมื่อครู่เธอก็เอาแต่หลบหน้าหลบตา เขาจึงลืมสังเกตไปเลยว่าเธอคนนี้ก็คือพริมาของเขานั่นเอง
“พริม!” สกรรจ์เรียกชื่อเธอออกมาราวกับต้องการความแน่ใจ
“ใช่ค่ะ พริมเอง เป็นไงสวยมั้ย” เจ้าของร่างระหงถามยิ้มๆ ก่อนจะอุทานออกมาเบาๆ เมื่อถูกชายหนุ่มดึงให้เข้ามาข้างในห้องอย่างรวดเร็ว ไม่ลืมปิดประตูลงล็อกอย่างแน่นหนาตามความเคยชินด้วย
“ผมไม่คิดเลยว่าพริมจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ได้ยินเสียง ผมคงจำพริมไม่ได้” เจ้าของดวงตาคู่คมมองหญิงสาวอย่างอึ้งๆ
“ถ้าแม้แต่สกรรจ์เองก็ยังจำพริมแทบไม่ได้ พวกที่ตามล่าพริมอยู่ก็คงไม่ต่างกันหรอกค่ะ” พริมายิ้มอย่างโล่งอกที่การเปลี่ยนตัวเองในครั้งนี้ได้ผลเกินคาด
“ใช่ ผมว่าพวกมันคงจำพริมไม่ได้แน่ แต่ทำไมถึงออกไปข้างนอกคนเดียวแบบนี้ ผมเป็นห่วงแทบตายเลยนะรู้มั้ย” เขาบอกพร้อมกับดึงร่างระหงเข้ามากอดเอาไว้แนบอก รู้สึกโล่งใจเป็นที่สุดที่รู้ว่าพริมาไม่เป็นอะไร
“พริมขอโทษค่ะที่ทำให้เป็นห่วง แต่พริมก็ไม่ได้ออกไปไหนเสียหน่อย ก็แค่ลงไปข้างล่างเฉยๆ ไม่ได้ออกจากบริเวณโรงแรมเลยนะ พริมให้พนักงานช่วยหาช่างแต่งหน้า ทำผม แล้วก็ร้านเสื้อมาให้ที่โรงแรมน่ะค่ะ เอ่อ...แล้วก็ใช้เงิน...ของคุณ...”
ท้ายประโยคพริมาพูดตะกุกตะกัก เพราะรู้สึกเกรงใจที่ต้องใช้เงินของเขาไปกับสิ่งไร้สาระพวกนี้
“ช่างมันเถอะครับ เงินของผมก็คือเงินของคุณนะพริม” สกรรจ์บอกยิ้มๆ เพราะตลอดเวลาที่คบกันนั้น เขามักจะเป็นฝ่ายอาสาจ่ายเงินเสมอเวลาที่ไปไหนด้วยกัน เพราะเขาอยากดูแลเธอให้ดีที่สุด แต่พริมาเองก็ไม่เคยยอมเขาเลยสักครั้ง คำพูดนี้จึงเป็นสิ่งที่เขามักจะบอกกับเธอทุกครั้งที่มีศึกแย่งกันจ่ายเงินเกิดขึ้น
“เงินของผมก็เหมือนเงินของคุณนะ และที่ผมทำงานหาเงินก็เพื่อคุณ...”
คนฟังได้ยินแบบนั้นก็ต้องหลบสายตาคู่คมที่กำลังมองอยู่ หัวใจมันเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากขั้ว...สกรรจ์ยังจำอดีตที่สวยงามของเธอกับเขาได้ดี
“เอาล่ะครับคนสวย เก็บของกันดีกว่า เราต้องไปกันแล้ว” สกรรจ์ตัดบท เมื่อรู้สึกว่าคำพูดของเขาสร้างความประหม่าให้หญิงสาว อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะคุยกันถึงเรื่องสถานะความสัมพันธ์ รอให้เขาไปถึงที่ปลอดภัยเสียก่อน ถึงเวลานั้นเขาจะคุยกับเธออีกที
แม้สงสัยไม่น้อยว่าสกรรจ์จะพาไปที่ไหนต่อ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ถามอะไร ชายหนุ่มแยกไปเก็บข้าวของของตัวเอง ขณะที่หญิงสาวก็ทำแบบเดียวกัน ก่อนจะลงมาเช็คเอาท์ที่เคาน์เตอร์ และนั่งรถแท็กซี่ไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ
“เราจะไปที่ไหนกันคะ” เจ้าของดวงตาคู่สวยหันมาถาม เมื่อขึ้นมานั่งอยู่บนรถแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว
“เชียงราย...” สกรรจ์หันมาสบตากับหญิงสาว “ผมจะพาคุณไปอยู่ที่เชียงรายกับผม” ชายหนุ่มรั้งร่างบางให้เอนซบอกกว้าง มือหนาวางพาดอยู่บนไหล่กลมกลึงและลูบไล้มันเบาๆ เหมือนต้องการสร้างความอุ่นใจให้กับเธอ แต่ดวงตาสีดำสนิทกลับมีแววเย็นชาจนน่ากลัว น่าเสียดายที่คนข้างกายไม่มีทางได้เห็นมัน
