บทที่ ๔ ก้าวสู่จุดเริ่มต้น 2
สกรรจ์ยืนรออยู่เพียงชั่วครู่ หญิงสาวก็หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมกลับลงมา ใบหน้างามเต็มไปด้วยความตื่นกลัว อดีตนายตำรวจหนุ่มจึงรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วรับกระเป๋ามาถือไว้
“ไม่ต้องกลัวนะพริม” มือหนายกขึ้นลูบไล้แก้มนวลเบาๆ “ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ ผมจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายคุณได้แน่” คำพูดของสกรรจ์เปรียบดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ แม้เขาจะพูดมันบ่อยจนแทบนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม ยิ่งเมื่อเห็นแววตาจริงจังที่ส่งผ่านมาพร้อมกับความห่วงใย เธอก็ยิ่งมั่นใจว่าสกรรจ์จะทำตามที่พูดอย่างแน่นอน
“ขอบคุณมากนะคะ” เธอเอ่ยพร้อมกับแย้มยิ้มเล็กน้อย
“คุณไปรอในรถเถอะ เดี๋ยวผมจะล็อกประตูบ้านให้เอง” สกรรจ์ไม่ได้โต้ตอบคำขอบคุณของหญิงสาว ด้วยคิดว่าตนยังไม่สมควรได้รับคำๆ นี้ จนกว่าจะสามารถช่วยให้เธอกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เสียก่อน
เมื่อพริมาพยักหน้ารับแทนคำตอบ และเดินไปรออยู่ในรถอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มก็จัดการล็อกประตูบ้านให้เรียบร้อย ก่อนจะตามไปสมทบกับเธอ ทว่ายังไม่ทันได้เอื้อมมือเปิดประตูทางด้านคนขับ เสียงปืนที่ดังขึ้นสองนัดซ้อนก็ทำให้เขารีบก้มตัวหลบ
ปัง! ปัง!
ชายสองคนที่สกรรจ์ตัดสินใจปล่อยไปเมื่อครู่ ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืด อดีตนายตำรวจหนุ่มขบกรามแน่นกับความผิดพลาดของตัวเอง สองมือกำปืนทั้งสองกระบอกไว้มั่น ก่อนจะตอบโต้กลับไปอย่างดุเดือด
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งแววตาและท่าทางของสกรรจ์ดูโกรธจัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว สองมือก็รัวกระสุนใส่ไอ้พวกลอบกัดแบบไม่ยั้ง จนพวกมันต้องก้มตัวหลบกันอุตลุด แต่พอจะลุกขึ้นยืนเพื่อยิงโต้ตอบ ก็โดนกระสุนจากอดีตตำรวจมือฉกาจแทรกผ่านอากาศตรงไปเล่นงานเข้าที่กลางอกอย่างพอดิบพอดี ส่งผลให้ร่างนั้นทรุดฮวบลงบนพื้น เลือดไหลพรั่งพรูออกมาราวกับก๊อกแตก
เมื่อเห็นเพื่อนถูกยิงตายไปต่อหน้าต่อตา ความบ้าระห่ำก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จนลืมไปเสียสนิทว่าอีกฝ่ายอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบกว่าอย่างมาก
สกรรจ์กระโจนไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ อาศัยความมืดช่วยพรางตัว เมื่อมือปืนกระจอกลุกขึ้นยืนกระหน่ำยิงมาที่เขาอย่างบ้าคลั่ง ชายหนุ่มปล่อยให้มันยิงไปเรื่อยๆ จนกระสุนหมด แล้วค่อยก็โผล่พรวดออกมาจากที่ซ่อนพร้อมกับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายอย่างใจเย็น
“หึๆ อากาศที่บ้านหลังนี้มันบริสุทธิ์เกินไปสำหรับแก ไอ้ชั่ว!” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้น ทำให้คนฟังถึงกับสติแตก “แต่เอาเถอะฉันจะให้โอกาสแกหายใจต่ออีกหน่อย เป็นการตอบแทนที่แกอุตส่าห์ถวายชีวิตเป็นคู่ซ้อมปืนกับฉัน”
ทันทีที่สิ้นเสียงอันแสนโหดเหี้ยม อดีตนายตำรวจหนุ่มก็จัดการยิงเข้าที่ต้นขาศัตรูอย่างแม่นยำ
ปัง!
เพียงนัดเดียวก็เพียงพอสำหรับไอ้พวกหมาลอบกัดแบบนี้ เพราะสกรรจ์มั่นใจว่ากระสุนแล่นเข้าตัดเส้นเอ็นใหญ่บริเวณต้นขาเข้าพอดี จึงไม่คิดจะจัดการอะไรให้เสียเวลา เพราะอีกไม่นานเกินรอมันก็ต้องเสียเลือดจนตายไปเอง ถ้าโชคดีคงมีคนผ่านมาช่วยได้ทัน แต่ในซอยเปลี่ยวๆ อย่างนี้ ความหวังของคนใกล้ตายก็คงริบหรี่นัก
ร่างสูงวิ่งกลับไปขึ้นรถและรีบขับรถออกไปจากตรงนั้นทันที ตอนนี้พริมาข้ามไปนั่งหมอบอยู่ที่เบาะหลัง และกำลังร้องไห้หนักจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด
สกรรจ์สงสารและอยากเข้าไปกอดปลอบโยนเหลือเกิน แต่เขาไม่มีเวลามากพอที่จะทำอย่างนั้น ด้วยต้องรีบขับรถออกมาจากที่นั่นด้วยให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่าไอ้พวกลอบกัดมันจะย้อนกลับมาอีกเมื่อไหร่
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ พริมาก็เริ่มตั้งสติและหยุดร้องไห้ได้ สกรรจ์ที่เหลือบมองเธออยู่เกือบตลอดเวลารู้สึกเป็นห่วงมาก เมื่อเห็นว่าขับรถห่างจากต้นทางมาไกลพอสมควรแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบเลี้ยวเข้าไปจอดในปั๊มน้ำมัน ก่อนจะรีบข้ามไปหาร่างระหงที่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงเบาะหลัง
“ไม่เป็นไรแล้วนะพริม ไม่เป็นไรแล้ว”
“สกรรจ์...พริม...พริมทำให้คุณเดือดร้อน พริมว่าเราควรแจ้งตำรวจนะคะ อย่างน้อยเราก็น่าจะมีคนคุ้มครอง” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล รู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ดึงให้ชายหนุ่มต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้
“ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรเลยนะพริม รู้ไว้ก็พอว่าผมเต็มใจมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะความทุกข์ของคุณ มันก็เป็นความทุกข์ของผมด้วยเหมือนกัน ส่วนเรื่องแจ้งตำรวจ ผมว่ามันไม่น่าจะช่วยอะไรได้แล้วล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างมันเลยเถิดไปแล้ว เรากำลังถูกตามล่าอยู่นะ อย่าลืมสิ”
สกรรจ์ยกมือขึ้นลูบไหล่ลูบหลังบอบบางอย่างอ่อนโยน กอดกระชับเธอไว้แน่นกว่าเดิม หวังจะถ่ายทอดความอบอุ่น ความห่วงใยทั้งหมดให้เธอหายหวาดกลัว
ตอนนี้พริมากำลังรู้สึกไม่ปลอดภัย ทุกอย่างรอบตัวดูเลวร้ายไปหมด อะไรที่ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เธอก็ยังมองว่ามันน่ากลัว เพราะสำหรับคนที่เพิ่งผ่านความเป็นความตายมาหมาดๆ ย่อมเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องเลวร้ายไปเสียหมดอยู่แล้ว
“คุณไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะนะ เดี๋ยวผมจะส่งรถคันนี้คืนให้เจ้าของก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องไปต่อกันเสียที
“รถคันนี้ไม่ใช่ของคุณหรอกเหรอคะ”
“รถของผมจอดอยู่ที่ปั๊มนี้แหละ แต่รถคันนี้เป็นของ...ของเพื่อนผมน่ะ พอดีว่าตอนมาถึงกรุงเทพรถผมเสีย ผมก็เลยแลกรถกับเพื่อนชั่วคราว”
“ถ้างั้นก็ระวังตัวด้วยนะคะ เดี๋ยวพริมขอตัวไปห้องน้ำก่อน”
“คุณกล้าไปคนเดียวมั้ยพริม ถ้าไม่กล้า...”
“กล้าค่ะ พริมล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วจะรีบออกมาพบสกรรจ์นะคะ” พริมาตัดบท แม้จะยังคงกลัวอยู่มาก แต่ก็ได้สติกว่าตอนแรกแล้ว ไม่มีทางที่จะเกาะติดชายหนุ่มได้ตลอด ดังนั้นเธอจึงต้องทำอะไรด้วยตัวเองให้ได้
“พริมไม่ต้องออกมารอข้างนอกหรอก รอแค่หน้าห้องน้ำก็พอ ถ้าได้รถมาแล้วผมจะไปรับที่หน้าห้องน้ำเอง” ชายหนุ่มบอก “อยู่ในที่โล่งมันอันตราย…ผมเป็นห่วง”
“ค่ะ...” เธอตอบเสียงแผ่ว ก่อนเปิดประตูรถลงไปทันที
เมื่อมองตามร่างบางระหงไปจนเห็นว่าเธอเดินหายไปทางห้องน้ำอย่างปลอดภัยดีแล้ว สกรรจ์ก็รีบโทรศัพท์ไปหาใครคนหนึ่งทันที ไม่นานนักปลายสายก็ตอบรับ น้ำเสียงงัวเงียบ่งบอกว่าเขากำลังรบกวนผู้อื่นในยามวิกาล แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะมันจำเป็นจริงๆ
“ฮัลโหล...”
“นี่ฉันเองนวิน”
“อ้าว คุณสกรรจ์เองเหรอครับ ว่าไงครับ...มีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่า” ชายหนุ่มที่ชื่อนวินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแจ่มใสขึ้น
“รถจอดอยู่ที่ปั๊มเดิม ฉันจะเอากุญแจวางไว้บนล้อหลังด้านขวานะ นายจัดการเอาป้ายทะเบียนจริงใส่คืนให้เรียบร้อยซะ แล้วรถคันนี้จะเป็นของนายทันที” สกรรจ์กำชับเสียงเข้ม
“รถราคาแพงขนาดนั้น คุณสกรรจ์จะยกให้ผมจริงๆ เหรอครับเนี่ย!” นวินถึงกับตาสว่าง และคิดว่าคืนนี้คงนอนไม่หลับไปทั้งคืนแน่
“นายคอยช่วยเวลาฉันเข้ากรุงเทพมาตลอด ทำไมกับแค่รถคันเดียวฉันจะให้นายไม่ได้”
“แหม ถ้าพูดแบบนี้ผมก็คงไม่กล้าขัดศรัทธาแล้วล่ะครับ ขอบคุณมากๆ เลยนะครับคุณสกรรจ์” นวินเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจจนปิดไม่มิด
“อืม แต่นายอย่าลืมถอดป้ายปลอมออก แล้วใส่ป้ายจริงภายในคืนนี้เลยนะ ห้ามลืมเด็ดขาด” สกรรจ์ย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ทำไมต้องรีบด้วยล่ะครับ หรือว่า...คุณสกรรจ์เอารถคันนี้ไปใช้ในทางผิดกฎหมายมาครับเนี่ย!” นวินถามอย่างสงสัย
“ถูกเผงเลย ฉันเพิ่งขับรถชนคนแก่มา ถ้านายไม่อยากเดือนร้อนในข้อหาชนแล้วหนีกับใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอม...ก็รีบเปลี่ยนซะล่ะ” ชายหนุ่มจำต้องโกหกเพื่อเลี่ยงข้อซักถามที่จะตามมา
“ได้ครับคุณสกรรจ์ ผมจะเปลี่ยนคืนนี้เลย” เมื่อได้ยินนวินตกปากรับคำเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงกดตัดสาย ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อย่างน้อยเรื่องรถก็หายห่วงไปได้แล้วหนึ่งอย่าง
สกรรจ์จัดการนำสัมภาระทั้งของตัวเองและพริมาลงจากรถ แล้วนำกุญแจรถวางทิ้งไว้ตรงจุดที่บอกกับนวินไป ก่อนจะวิ่งตรงไปหยุดยืนอยู่ริมถนนหน้าปั๊มน้ำมันเพื่อเรียกรถแท็กซี่
ไม่นานชายหนุ่มก็หารถแท็กซี่ได้ เขาให้คนขับวนรถกลับเข้าไปรับพริมาที่หน้าห้องน้ำ แต่พอเห็นหญิงสาวเดินออกมายืนคอยด้านนอก ชายหนุ่มก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย
“ทำไมไม่รออยู่ตรงหน้าห้องน้ำตามที่ผมบอกล่ะพริม ออกมาแบบนี้มันอันตรายนะ” เขาถามเสียงแข็งกระด้าง เมื่อเดินเข้าไปดึงมือเธอให้ตามมาที่รถแท็กซี่ แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถาม มิหนำซ้ำยังย้อนถามเขาอย่างสงสัยอีกต่างหาก
“ไหนบอกว่ารถของคุณจอดอยู่ที่นี่ไงคะ แล้วทำไม...”
“รถผมมันอาการหนักน่ะ คงต้องซ่อมอีกหลายวัน เราก็เลยต้องไปแท็กซี่กันแทน”
“แล้วเราจะปลอดภัยแน่ใช่มั้ยคะ”
“อยู่กับผมไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมมั่นใจว่าผมปกป้องคุณได้แน่ๆ” สกรรจ์เอ่ยขณะเปิดประตูรถออกให้หญิงสาว
พริมายกมือขึ้นจับขอบประตูรถแน่น มองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “เหตุการณ์เมื่อกี๊มันทำให้พริมรู้แล้วค่ะว่าคุณปกป้องพริมได้ แต่พริมคงเสียใจมาก ถ้าต้องมาเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณบาดเจ็บ หรือว่า...”
“ผมจะไม่ให้ความตายมาพรากผมไปจากคุณแน่” ชายหนุ่มแทรกขึ้นเหมือนรู้ว่าเธอต้องการพูดอะไรต่อ เขาจะโน้มตัวลงจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากเนียนเรียบ “ผมจะไม่ทิ้งคุณอีกแล้ว...ขอให้เชื่อใจผมนะครับ”
“ค่ะ พริมเชื่อในคุณเสมอ” พริมายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน แล้วรีบก้าวขึ้นรถเมื่อเห็นคนขับหันมามองอยู่เป็นระยะ
“ช่วยพาผมไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุดหน่อยครับ เอาที่อยู่ใกล้พวกห้างสรรพสินค้า แล้วก็มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนาหน่อย” สกรรจ์สั่ง หลังจากก้าวขึ้นมานั่งเคียงข้างหญิงสาวเรียบร้อยแล้ว คนขับรถพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพาสองหนุ่มสาวมุ่งหน้าตรงไปยังโรมแรมหรูหราระดับห้าดาว ที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของลูกค้าทุกอย่าง
พอมาถึงที่โรงแรม ชายหนุ่มก็จ่ายค่าแท็กซี่และรีบลงจากรถโดยไม่สนใจที่จะเอาเงินทอนด้วยซ้ำ มือหนาฉุดข้อมือของพริมาให้มาเดินอยู่ข้างกายใกล้ชิด ทั้งคู่ตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อเช็คอินเข้าพักในโรงแรม แม้จะมีห้องว่างอยู่หลายห้อง แต่สกรรจ์เลือกที่จะพักห้องเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่อยากให้เธออยู่ห่างสายตาอีก ซึ่งพริมาเองก็ยินดีและเชื่อใจชายหนุ่มว่าเขาจะไม่ข่มเหงเธออย่างแน่นอน
