บทที่ ๔ ก้าวสู่จุดเริ่มต้น 1
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว สกรรจ์ก็จัดการเก็บโต๊ะอาหารและล้างถ้วยชามด้วยตัวเอง ตอนแรกพริมายืนยันว่าจะช่วยให้ได้ เพราะเกรงใจ แต่อีกฝ่ายก็ห้ามเสียงแข็งเช่นกัน สุดท้ายจึงต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ในความพยายามของเขา แล้วพาตัวเองมานั่งเอนกายรออยู่ในห้องรับแขก พอสกรรจ์เดินกลับเข้ามาอีกทีก็เห็นหญิงสาวจมลงสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อยแล้ว
พริมานอนนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาวสีครีม ดวงตากลมโตที่ปิดลงกับลมหายใจที่เป็นจังหวะ บ่งบอกว่าเธอกำลังหลับสนิท สกรรจ์ทอดสายตามองหญิงสาวด้วยความเจ็บปวด ทั้งรู้สึกผิดและสงสาร แต่ก็รีบลบความรู้สึกนั้นออกไป ด้วยการเดินเลี่ยงไปหาผ้าห่มมาคลุมร่างบางไว้
แต่ความรู้สึกของคนเราใช่ว่าจะสามารถลบเลือนทิ้งไปได้โดยง่าย ไม่ว่าจะพยายามลืมมากแค่ไหน เหตุการณ์ที่หญิงคนรักถูกทำร้ายจนสะบักสะบอมหมดสภาพ ก็ยังแจ่มชัดอยู่ในสมอง
หลักฐานบนผิวเนียนใสบ่งบอกถึงความเลวร้ายนั้นได้เป็นอย่างดี...ถ้าเขามาหาเธอช้าไปกว่านี้อีกเพียงชั่วพริบตาเดียว พริมาคงกลายเป็นบุคคลสูญหายหรือไม่ก็ศพไร้ญาติไปแล้ว
หลังจากแน่ใจว่าหญิงสาวนอนหลับสบายดีแล้ว สกรรจ์จึงเดินออกจากบ้านตรงไปยังรถยนต์ เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าเป้ใบย่อม แต่แล้วอะไรบางอย่างก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักฝีเท้านิ่งงัน ดวงตาคู่คมมองไปที่หน้าบ้าน เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนหลบอยู่นอกประตูรั้ว แต่เขากลับทำเป็นไม่ใส่ใจ รีบหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที
สกรรจ์ปิดประตูพร้อมลงล็อคอย่างแน่นหนา รีบเดินไปที่บานหน้าต่างใกล้ๆ แล้วมองฝ่าสายฝนออกไปด้านนอก เพื่อดูว่าใครกันที่ซุ่มดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ที่หน้าบ้าน แต่ความมืดและสายฝนกลับทำให้ภาพทุกอย่างพร่ามัว ชายหนุ่มจึงล้มเลิกความพยายาม แล้วสะพายกระเป๋าเป้หายเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ถัดไปจากห้องนั่งเล่น ไม่นานนักร่างสูงในชุดลำลองสบายๆ ก็กลับออกมา ตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา
สกรรจ์ดึงผ้าห่มของคนที่นอนหลับพริ้มให้กระชับขึ้นอย่างนุ่มนวล ก้มหน้าลงจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากเนียนเกลี้ยง แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ขณะที่เปิดกระเป๋าเป้ออกเพื่อหยิบหมวกแก๊ปขึ้นมาสวม ก่อนจะหยิบของใช้คู่กายมาเหน็บไว้ด้านหลัง แล้วเดินฝ่าสายฝนออกไปเผชิญหน้ากับคนที่ซุ่มรออยู่นอกบ้านอย่างไร้ความหวาดกลัว
เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เดินใกล้เข้ามาตรงบริเวณประตูรั้ว ทำให้ชายสองคนรีบก้มตัวลงต่ำเพื่อหลบซ่อน ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นสอดส่ายสายตามองหาร่างสูง กลับพบว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่บริเวณนั้นอีกแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่าภัยกำลังมาเยือน ปืนของสกรรจ์ก็เลื่อนเข้ามาหยุดนิ่งที่ข้างขมับ ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือรอยยิ้มและดวงตาของเจ้าของปืน หากฝนไม่ตกพวกเขาคงจะถูกเผาไหม้ไปด้วยดวงตาคู่นี้แล้ว
“ว่าไงพวก รอนานมั้ย” ชายหนุ่มทักทายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อเห็นไอ้มือปืนกระจอกอีกคนทำท่าจะหยิบปืน เขาจึงรีบเอ่ยเตือน “อย่าคิดจะทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นดีกว่า ถ้าไม่อยากจะตายอยู่ตรงนี้ก็ทิ้งปืนซะ”
น้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่มีพลังมากพอที่จะทำให้คนฟังตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นเพื่อนถูกปืนจ่ออยู่ที่ขมับ
“ทำตามที่มันบอกสิวะ!” คนที่ยืนแข็งทื่อด้วยความกลัวตวาดลั่น
“โอเคๆ”
ชายนิรนามละล่ำละลักบอก มือข้างหนึ่งชูขึ้นเหนือศีรษะ ขณะย่อกายลงวางปืน แล้วเตะมันไปให้กับสกรรจ์ “อย่าถึงขั้นฆ่าแกงกันเลยนะ พวกเราแค่มาเฝ้าดูผู้หญิงคนนั้นตามคำสั่งเจ้านาย ไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอหรอก”
“หึๆ นี่เหรอวะมือปืน มีใครเคยบอกแกมั้ยว่าคำพูดพวกนี้มันน่าสมเพชสิ้นดีเลย” สกรรจ์เอ่ยพลางใช้เท้าเขี่ยปืนมาใกล้ๆ ก้มลงหยิบมันขึ้นมา แล้วเหน็บไว้ที่เอวกางเกงด้านหนึ่ง
“แกจะทำยังไงกับพวกฉัน ถ้าคิดว่าจะเอาตัวพวกฉันส่งตำรวจล่ะก็...แกคิดผิด” แม้จะกลัวจนหัวหด แต่ก็ไม่วายปากดีต่อ
“คิดผิด?” สกรรจ์กระตุกยิ้มในความมืด “ไม่หรอกมั้ง พลเมืองดีควรจับโจรส่งให้กับตำรวจอยู่แล้วนี่นา” พูดจบก็ยกมือขึ้นดึงหมวกแก๊ปให้เลื่อนลงมาปิดบังใบหน้ามากขึ้น เมื่อเห็นชายทั้งสองคนพยายามสังเกตใบหน้าเขา
“นายของฉันมีอิทธิพลมากกว่าที่แกคิดเยอะ แล้วแกก็ไม่มีหลักฐานมาทำอะไรพวกฉันด้วย” ชายนิรนามที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับสกรรจ์ ยังคงพูดต่อ
“หุบปากทีเหอะ พูดมากอยู่ได้ ความจริงฉันเองก็ไม่ได้อยากเสวนากับพวกแกนานนักหรอกนะ รีบไสหัวไปให้พ้นจากที่นี่ แล้วอย่ากลับมาอีก” สกรรจ์เอ่ยตัดบท
“แกจะปล่อยพวกฉันไปง่ายๆ เหรอ” คนฟังขมวดคิ้วมุ่นงุนงง
“หรือแกอยากตายล่ะ ถ้าอยากตายก็อ้อนวอนฉันสิ แต่ถ้าอยากมีชีวิตเอาเรื่องนี้ไปรายงานนายของแกก็ไสหัวไปซะ” ชายหนุ่มลดปืนในมือลง ก่อนเอ่ยต่อ “แล้วบอกนายของพวกแกด้วยว่าที่ฉันมาที่นี่...ก็เป็นเพราะจุดประสงค์เดียวกันกับพวกแกนั่นแหละ”
“แสดงว่าแกจะฆ่านังนั่นเหรอ...”
“ประมาณนั้น ผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของฉันเอง แต่ดันสอดรู้สอดเห็นเรื่องที่ฉันค้าผู้หญิง มันก็เลยจะหนีไปจากฉัน” น้ำเสียงนิ่งเรียบดูน่าเชื่อถือ จนพวกมันไม่สงสัยเลยสักนิด
“เป็นธรรมดาของผู้หญิงนั่นแหละ...ขี้กลัว ปอดแหก” จากอาการเกรงกลัวเมื่อครู่ เริ่มดูเหมือนจะถูกคอกันมากขึ้น
“ที่สำคัญมันหักหน้ากันน่ะสิ กล้าดียังไงถึงคิดจะมานอกใจฉัน” สกรรจ์พูดคุยกับทั้งสองคนราวกับรู้จักกันมานาน ก่อนจะตัดบท เพราะไม่อยากเสวนาอะไรมากไปกว่านี้ “พวกแกก็กลับไปได้แล้ว ฉันไม่อยากให้ไอ้พวกที่ชอบสอดรู้สอดเห็นมันสงสัยเอา”
“ขอให้โชคดีละกัน อย่างน้อยแกก็มีน้ำใจที่ไม่เอาพวกฉันส่งตำรวจ”
ชายนิรนามบอกทิ้งท้าย ก่อนจะค่อยๆ เดินถอยห่างออกไป เมื่อมั่นใจว่าสกรรจ์คงไม่คิดตลบหลัง ทั้งสองคนจึงเดินกึ่งวิ่งฝ่าสายฝนกลับไปยังบริเวณที่จอดรถทิ้งเอาไว้
สกรรจ์มองตามไปจนลับสายตา ทันใดนั้นเองที่เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างหล่นอยู่บนพื้นดินตรงบริเวณหน้าบ้าน ตอนแรกชายหนุ่มไม่ได้คิดจะสนใจนัก แต่จู่ๆ ก็หันหลังกลับมาหยิบมันขึ้นพิจารณา คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันคือบัตรประชาชนของพริมา น่าแปลกไม่น้อยที่เห็นมันมาหล่นอยู่ตรงนี้
อดีตนายตำรวจหนุ่มถอนหายใจอย่างนึกระอากับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในบ้านเพื่อปลุกหญิงสาว เวลาพักผ่อนของเธอหมดลงแล้ว
จากนี้ไปจะมีแค่การผจญภัยอันน่าตื่นเต้นระหว่างเขากับเธอเท่านั้น เธอรู้สิ่งที่ไม่ควรรู้มากมายขนาดนี้ เพราะฉะนั้นหากยังอยู่ที่นี่ต่อไป ลมหายใจของเธอก็อาจจะหมดลงไปในไม่ช้านี้
“พริม ตื่นเถอะพริม” ชายหนุ่มแตะไหล่บางเบาๆ
“หือ...อะไรคะ?” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ตื่นได้แล้วครับ จริงสิ...นี่บัตรประชาชนของพริมหายไปใช่มั้ย ผมบังเอิญเก็บได้น่ะ” สกรรจ์ยื่นบัตรแข็งในมือส่งให้
“บัตรประชาชน...สกรรจ์คะ! คุณ...คุณเจอมันที่ไหน คุณได้มันมาจากไหน!” พริมาตัวแข็งทื่อเมื่อได้เห็นสิ่งของที่อยู่ในมืออีกครั้ง ทั้งที่ความจริงมันน่าจะอยู่กับพวกคนที่ไล่ลาเธอเสียมากกว่า
“ทำไมต้องตกใจด้วยล่ะครับ ผมเก็บมันได้ที่หน้าบ้านนี่เอง มันหล่นอยู่น่ะ” ชายหนุ่มอธิบาย
“ถ้างั้นก็หมายความว่าพวกมันมาที่นี่แล้ว! พวกมันต้องตามมาฆ่าพริมแน่ๆ”
“อะไรกันพริม บอกผมมาสิ”
“พริมกลัว...พริม...พริมอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
เธอละล่ำละลักบอก มองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางหนีเหมือนคนสติแตก สกรรจ์สงสารหญิงสาวจับใจ และควบคุมความหวาดกลัวของเธอด้วยการดึงเข้าสู่อ้อมกอด ยกมือใหญ่ขึ้นลูบไล้ศีรษะเล็กอย่างปลอบโยน
“ใจเย็นพริม ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ ผมบอกแล้วไงว่าถ้าผมอยู่ที่นี่ ใครหน้าไหนก็ทำร้ายคุณไม่ได้เด็ดขาด ผมจะปกป้องดูแลคุณเอง เชื่อใจผมสิพริม...เชื่อใจผมนะ”
“จริงนะคะสกรรจ์ คุณจะไม่ปล่อยให้มันฆ่าพริมจริงๆ ใช่มั้ย”
“จริงสิพริม ผมจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายคุณได้อีกแล้ว แต่ตอนนี้คุณต้องมีสติให้มากเข้าไว้ คุณต้องพยายามควบคุมความกลัวของตัวเองให้ได้ เอาล่ะ...ทีนี้ช่วยบอกผมหน่อยได้มั้ยว่าทำไมบัตรประชาชนนี่ต้องทำให้คุณสติแตกแบบนี้ด้วย” ชายหนุ่มถามต่อ ทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายยอมตั้งสติตามที่เขาแนะนำ
“คือ...บัตรนี่พริมทำหายไปพร้อมกับกระเป๋า ตอนที่เกือบถูกฆ่า พริมมั่นใจค่ะว่ามันต้องอยู่กับคนที่ตามฆ่าปิดปากพริมแน่นอน แต่วันนี้สกรรจ์เห็นมันหล่นอยู่แถวบ้าน หมายความว่าพวกนั้นต้องตามพริมมาแล้ว ตอนนี้เราไม่ปลอดภัยแล้วนะคะ”
“คุณแน่ใจนะพริม แล้วในกระเป๋าของพริมมีพวกรูปถ่ายหรือเอกสารอะไรที่เกี่ยวกับตัวพริมอีกบ้างมั้ย”
สกรรจ์รีบถาม เพราะถือเป็นเรื่องดีไม่น้อยที่พวกมันทำหลักฐานที่จะใช้ตามหาตัวพริมาหล่นทิ้งไว้
“ไม่มีหรอกค่ะ พริมไม่เคยพกรูปถ่ายของตัวเอง ในบ้านนี่ก็ไม่มีเลย ใบขับขี่พริมก็เผลอทำตกท่อน้ำไปหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ว่างไปทำใหม่ พวกเอกสารทะเบียนบ้านก็อยู่ในบ้านนี้ทั้งหมดค่ะ” ตอนนี้หญิงสาวมีสติมากขึ้นแล้ว
“ผมจะทิ้งเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวคุณให้หมด รวมทั้งบัตรประชาชนนี่ด้วย แต่ตอนนี้ก็เราต้องรีบไปจากที่นี่แล้ว คุณมีพาสปอร์ตมั้ยพริม” ชายหนุ่มถามอย่างรีบร้อน
ทางเดียวที่จะซ่อนตัวเธอจากคนพวกนั้นได้ คือต้องพาเธอกลับไปที่บ้านของเขาโดยเร็วที่สุด ที่นั่นเป็นที่เดียวที่หญิงสาวจะรอดพ้นจากน้ำมือคนชั่ว อย่างน้อยก็ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การมีเธออยู่ใกล้หูใกล้ตาจะทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าจะสามารถดูแลเธอได้ตลอดเวลา
ที่สำคัญที่สุดคือคนที่บงการเรื่องทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง จะไม่มีทางรู้ว่าได้เลยพริมาเป็นใคร หรือรูปร่างหน้าตาแบบไหน เพราะนอกจากบัตรประชาชนที่มีภาพถ่ายของเธอติดอยู่แล้ว มันก็ไม่มีสิ่งไหนบ่งบอกถึงตัวตนของเธออีก
ตอนนี้บัตรประชาชนอยู่ในมือเขาแล้ว ซึ่งมันจะถูกทำลายทิ้งทันทีที่มีโอกาส นั่นหมายความว่าหญิงสาวจะปลอดภัย โดยไม่มีใครรู้ว่าเธอคือหญิงผู้เคราะห์ร้ายในคืนนั้น
“มีค่ะ เจ้านายของพริมเพิ่งสั่งให้ไปทำไว้เมื่อต้นปีเอง เผื่อต้องไปทำงานต่างประเทศน่ะค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ คุณรีบขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าเถอะ เราต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แล้วอย่าลืมเอาพวกเอกสารทะเบียนบ้านหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับตัวคุณมาให้หมดนะ ผมต้องเอามันไปด้วย พวกมันจะได้ตามตัวคุณไม่ได้ เพราะไม่มีทั้งข้อมูลหรือรูปถ่ายอะไรทั้งนั้น”
“ได้ค่ะ” พริมาพยักหน้ารับรู้ สถานการณ์แบบนี้ไม่ต้องถามก็พอเข้าใจอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร่างบอบบางรีบลุกจากโซฟาแทบจะทันที แล้วรีบเดินกะเผลกขึ้นไปเก็บข้าวของที่จำเป็นโดยเร็วที่สุด แทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าร่างกายตัวเองยังคงเจ็บปวดรวดร้าวอยู่มาก
