บทที่ ๓ ผู้ช่วยชีวิต 2
นานถึงสองปีแล้วที่พริมาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับสกรรจ์อย่างนี้ เมื่อก่อนเขาเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งในชีวิตเธอ สัมผัสของเขาไม่เคยสร้างความประหม่ากับเธอ เหมือนที่กำลังรู้สึกอยู่ขณะนี้
สกรรจ์เป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในสายตาพริมา เขาไม่เคยคิดจะล่วงเกินเธอมากไปกว่าจูบ ไม่เคยทำร้ายจิตใจเธอเลยสักครั้ง แต่ว่านั่นมันก่อนหน้าที่ชายหนุ่มจะทิ้งเธอไป เพราะวันที่ได้ยินคำบอกเลิกจากสกรรจ์ พริมาก็เจ็บปวดราวกับถูกคมมีดปักลึกลงกลางอก
แต่แล้ววันนี้เขากลับปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าเธอ ทุกอย่างเหมือนปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง ทว่ามันก็เกิดขึ้นแล้ว
ผู้ชายที่เธอยกหัวใจให้ไปทั้งดวง และยังคงรักมั่นแค่เพียงเขาไม่เสื่อมคลายกำลังนั่งอยู่ใกล้ๆ ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวชายหนุ่มทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่สมองนั้นยังคงว้าวุ่น เพราะคิดไม่ตกว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงได้กลับมาหาเธออีก
พริมาดึงตัวเองออกจากภวังค์ เมื่อมือหนาเลื่อนขึ้นกุมมือเธอไว้
“ถึงคุณจะพูดแบบนี้ แต่ผมก็ผิดอยู่ดี...ผมทิ้งคุณไปทั้งที่รู้ดีว่าคุณไม่เหลือใครอีกแล้ว” สกรรจ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ก่อนจะลดสายตาลงมองมือเล็กอย่างใจหาย เมื่อรู้สึกว่าเธอกำลังชักมือออกจากการเกาะกุมของเขา
พริมาหันไปให้ความสนใจกับน้ำขิงที่เริ่มเย็นอีกครั้ง ยกมันขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ชายหนุ่มจึงเดินหายเข้าไปในห้องครัวเพื่อรินน้ำเปล่าส่งให้ เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณเขา แต่เสียงท้องร้องที่ดังแทรกขึ้นมา ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน
“ผมว่าเดี๋ยวผมพาคุณไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ อาบเองคงลำบาก ดูสิแผลเต็มตัวแบบนี้ โดนน้ำคงแสบแย่” สกรรจ์ไม่รอให้พริมาตอบตกลงหรือปฏิเสธ รีบถือวิสาสะช้อนร่างระหงขึ้นไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางเสียงประท้องระคนโอดโอยของคนเจ็บ
“ปล่อยนะสกรรจ์! โอ๊ย...พริมเจ็บนะ ปล่อยสิ พริมเดินเองได้”
“ให้คุณเดินเองแล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะครับ หรือคุณไม่ไว้ใจผมแล้ว” ประโยคสุดท้ายทำให้ร่างระหงนิ่งงัน พลางถามตัวเองว่าทำไมเธอถึงต้องระแวงเขา เพราะที่ผ่านมาเขาเองก็ไม่เคยข่มเหง หรือแสดงความหยาบคายกับเธอเลยสักครั้ง
“ฟังนะพริม ผมคือสกรรจ์คนเดิม คนที่เคยเดินจากคุณไป และวันนี้ผมกลับมาแล้ว ผมจะมาดูแลคุณ จะไม่ทำร้ายคุณ ไว้ใจผมนะ”
ดวงตาคู่คมจ้องลึกลงในดวงตาคู่สวยที่แดงช้ำอย่างหนัก เหมือนต้องการให้ความมั่นใจว่าจะทำตามที่พูดแน่นอน เมื่อไม่มีท่าทีต่อต้านใดๆ อีก เขาจึงพาเธอขึ้นไปบนห้องส่วนตัวชั้นบนทันที
ชายหนุ่มบรรจงวางร่างบอบบางที่อ่อนล้าเต็มทนลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสรรพ ไม่นานนักก็เดินกลับออกมา ตรงรี่เข้ามาวุ่นวายอยู่กับกระดุมเสื้อของหญิงสาว จนเจ้าตัวต้องร้องห้ามเสียงหลง
“สกรรจ์ จะ...จะทำอะไร พริมอาบน้ำเองได้ คุณออกไปเถอะ” ดวงตาตื่นตระหนกมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
หัวใจของเขาเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องเห็นแววตาแบบนี้จากหญิงคนรัก แต่ก็พยายามทำเป็นมองไม่เห็นมัน ขณะที่ยังคงพยายามช่วยถอดเสื้อให้เธอต่อไป
“ก็คุณไม่ยอมไปหาหมอ คุณก็ต้องยอมให้ผมทำแผลโดยไม่มีข้อแม้อะไรทั้งนั้นนะ แล้วถ้าต้องทำแผลทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ รับรองว่าแผลติดเชื้อแน่ๆ” เขาอธิบาย ดวงตาคู่คมมองคนตรงหน้านิ่งๆ
หญิงสาวพูดไม่ออก ไม่มีอะไรให้เถียงได้อีก เพราะเหตุผลของเขาเต็มไปด้วยความหวังดี ได้แต่นั่งมองเขาค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าออกให้อย่างระมัดระวัง โดยที่เธอเองก็ช่วยเหลือตัวเองบ้าง ปกปิดในสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยบ้าง แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินแอบแฝงเลยแม้แต่น้อย
อะไรที่ดูล่อแหลมสกรรจ์ก็ให้พริมาทำเอง โดยเอาผ้าห่มคลุมตัวเธอไว้ จากนั้นก็นำผ้าเช็ดตัวมาให้เธอพันรอบร่างเล็กเอาไว้ โดยมีเสื้อคลุมสวมทับอีกชั้น เมื่อเรียบร้อยจึงอุ้มเธอเข้ามาในห้องน้ำ
“เอ่อ คือ...” ริมฝีปากซีดเซียวกำลังจะขยับเพื่อเอ่ยห้าม แต่ดันเจอประโยคเด็ดขัดขึ้นเสียก่อน
“คุณไว้ใจผมนะพริม” เพียงเท่านั้นทุกคำพูดก็ถูกกลืนหายไป แม้หัวใจก็ยังคงคลางแคลงในตัวเขาอยู่บ้าง ชายหนุ่มประคองเธอไปนั่งที่ขอบอ่างอาบน้ำ และถอดเสื้อคลุมเหลือเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่พันร่างบางเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่
สกรรจ์เดินไปปิดไฟในห้องน้ำ มีเพียงแสงไฟในห้องนอนที่ส่องผ่านเข้ามาให้ความสว่างรำไร เขาทำแบบนี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมองเห็นสัดส่วนงดงามของเธอ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ มีค่ามากเกินกว่าจะบรรยาย นั่นเป็นเหตุผลที่ยืนยันว่าเขาจะไม่ยอมเอาเปรียบหรือฉวยโอกาสกับเธอเด็ดขาด
มือหนาใช้ผ้าชุบน้ำลูบไล้แผ่นหลังเนียนละเอียด ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ...
ยิ่งเห็นสกรรจ์ก็ยิ่งนึกโมโหพวกคนชั่วที่บังอาจทำร้ายเธอ ดวงตาคู่คมดูราวกับลาวาหมื่นฟาเรนไฮต์ที่กำลังจะปะทุออกมาเสียให้ได้ สันกรามกระด้างนูนขึ้นด้วยความเคียดแค้น
เสียงร้องครางเบาๆ เรียกสติชายหนุ่มให้กลับมาสนใจที่แผ่นหลังขาวเนียนตรงหน้าอีกครั้ง
“เจ็บมั้ย”
น้ำเสียงนุ่มละมุนทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ที่เคยสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว แปรเปลี่ยนเป็นเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นอย่างหาเหตุผลไม่ได้
“ค่ะ” พริมาพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น รู้สึกเหมือนมีเปลวไฟกำลังเผ้าไหม้ร่างของเธออยู่จนร้อนรุ่มไปหมด
“ผมขอโทษนะที่ลืมตัวทำแรงไปหน่อย ผมแค่ทนไม่ได้ที่เห็นร่องรอยพวกนี้บนตัวคุณ”
ชายหนุ่มกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู ก่อนจะใช้น้ำอุ่นจากฝักบัวราดรดไปทั่วศีรษะและเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนของเธอ มือหนานวดเฟ้นช่วงไหล่ให้อย่างเบามือ ระวังอย่างมากที่จะไม่ให้โดนบาดแผล ความเอาใจใส่ของเขาทำให้ร่างกายที่เจ็บปวดเมื่อยล้ามีพละกำลังขึ้นมาอีกครั้ง
พริมาสดชื่นขึ้นมากเมื่อได้อาบน้ำสระผม จนเนื้อตัวกลับมาสะอาดเอี่ยมหอมกรุ่นอีกครั้ง หลังจากประเมินแล้วว่าหญิงสาวสามารถจัดการทุกอย่างได้เอง สกรรจ์จึงปล่อยให้เธอทำธุระส่วนตัว พร้อมทั้งแต่งตัวให้เรียบร้อยตามที่เธอร้องขอ ส่วนตัวเขานั้นเดินลงไปข้างล่างเพื่อจัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่
สามสิบนาทีต่อมาร่างระหงสมส่วนก็อยู่ในชุดเสื้อแขนกุดสีขาวกับกางเกงผ้าเนื้อนิ่มยาวคลุมข้อเท้าสีฟ้าอ่อนเป็นที่เรียบร้อย เรือนผมยาวสลวยที่ยาวจนเกือบถึงเอว ถูกปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง
พริมาพาตัวเองเดินลงมาข้างล่าง ตรงดิ่งไปที่โต๊ะอาหารด้วยรอยยิ้มที่สร้างขึ้นเพื่อให้ตัวเองดูสดชื่น แม้ว่าความเจ็บปวดจากบาดแผลจะรุมเร้าเธออยู่แทบตลอดเวลาก็ตาม
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ๆ สกรรจ์จึงเงยหน้าขึ้นจากการจัดเตรียมอาหาร เขายิ้มกว้างให้กับหญิงสาวที่ตอนนี้มองอาหารตรงหน้าแทบไม่กะพริบตาเลยทีเดียว ชายหนุ่มเดินไปเขยิบเก้าอี้ให้คนเจ็บนั่งได้สะดวกขึ้น
“ทำไมถึงทำอาหารเยอะจังล่ะคะ” พริมาถามขณะนั่งลง
“แค่สองสามอย่างไม่เยอะหรอกพริม ผมเป็นคนกินจุเสียด้วยสิ” สกรรจ์ตอบยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นอีก เขาจึงเป็นฝ่ายถามบ้าง
“คุณยังเจ็บมากหรือเปล่า” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปที่บาดแผลบริเวณต้นแขน พริมาเหลือบตามองมันจึงรู้ว่าตอนนี้เริ่มมีเลือดซึมออกมาอีก
“ตอนแรกไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกค่ะ ชาเสียมากกว่า”
“ถ้างั้นก็หมายความว่าตอนนี้คุณเจ็บ” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องอาหาร แล้วผลุบหายเข้าไปในห้องโถง พริมามองตามไปอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มกลับเข้ามาพร้อมกับกล่องทำแผล เธอก็ตัวแข็งทื่อไปทันที
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิพริม ผมไม่ได้จะฉีดยาให้คุณนะ แค่ทำแผลเท่านั้นเอง” สกรรจ์ปลอบใจ ด้วยรู้ดีว่าพริมาไม่ชอบทำแผล รวมทั้งการไปโรงพยาบาลด้วย
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แผลเล็กน้อยแค่นี้ เดี๋ยวก็หายเองค่ะ”
หญิงสาวเถียงเสียงเบา พลางมองตามร่างสูงแบบไม่ละสายตา จนกระทั่งเขาเดินมาเลื่อนเข้าอี้ข้างๆ เธอออก แล้วทรุดตัวนั่งลงพร้อมกับเปิดกล่องทำแผล
มือหนาเอื้อมมือมาจับต้นแขนกลมกลึงไว้มั่น แม้อีกฝ่ายจะพยายามถอยหนี แต่ความเจ็บปวดกับแรงจากมือหนาก็ทำให้จำต้องหยุดนิ่ง พริมากัดริมฝีปากแน่น เมื่อสำลีสีขาวชุ่มแอลกอฮอล์ ไล้วนรอบบาดแผลอย่างเบามือเพื่อฆ่าเชื้อโรค ก่อนจะใช้เบตาดีนเช็ดแผลและผิวหนังรอบแผล
สีหน้าสกรรจ์ดูมุ่งมั่นตั้งใจเสียจนพริมาค้านไม่ออก ต้องนั่งนิ่งรอจนกระทั่งเขาจัดการนำผ้าพันแผลมาพันไว้รอบต้นแขนเรียบร้อยดีแล้ว หญิงสาวลอบถอนใจอย่างโล่งอก ที่ช่วงเวลาอันน่าอึดอัดสำหรับเธอผ่านไปเสียที
ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะสกรรจ์ยังจับแขนอีกข้างมาตรวจดูบาดแผลเพิ่มเติมอีก เท่านั้นไม่พอ...เขายังยกขาขวาของเธอที่เต็มไปด้วยรอยถลอกขึ้นวางพาดบนตัก
สกรรจ์จัดการทำแผลแทบจะทุกแผลที่อยู่บนผิวนวล ไม่มีบาดแผลบริเวณไหนเลยที่จะไม่ได้รับความใส่ใจจากเขา ยกเว้นบางที่ที่เขาไม่อาจจะสัมผัสมันได้ พริมาดีใจเหลือเกินที่ตอนนี้ไม่ใช่ความฝัน และที่ดีใจยิ่งกว่านั้นคือการที่ได้เห็นชายหนุ่มเอาใจใส่เธอเหมือนในอดีต
แต่ในใจยังคงมีคำถามอยู่ดี ว่าเพราะอะไรเขาถึงกลับมา...
เมื่อทำแผลเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็มานั่งกินข้าวด้วยกัน โดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมายนัก เพราะพริมายังทำตัวไม่ถูกกับการปรากฏตัวของอดีตคนรัก
ส่วนสกรรจ์เองก็ยังไม่อยากเซ้าซี้อะไรเธอ มากไปกว่าถามไถ่สารทุกข์สุกดิบธรรมดา ทั้งๆ ที่ในใจมีอะไรมากมายที่อยากจะบอกให้เธอได้รับรู้เกี่ยวกับตัวเขา
“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จก็ทานยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด แล้วนอนพักผ่อนให้เต็มที่เลยนะพริมนะ เดี๋ยวผมจะนอนเฝ้าอยู่ข้างล่างนี่แหละ รับรองว่าไม่ทิ้งคุณไปไหนแน่นอน” เจ้าของใบหน้าคมเอ่ยขึ้นอย่างห่วงใย แต่คนที่เคยเจอเหตุการณ์เลวร้ายมากลับยังหวาดระแวงไม่หาย
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะว่าพวกนั้นจะไม่ตามมาที่นี่ บ้านหลังนี้ไม่ปลอดภัยหรอกนะคะ”
“พวกมันไม่กล้าเข้ามาหรอก” น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจสวนขึ้นมาทันที ทำให้พริมาขมวดคิ้วมุ่น
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ”
“ก็...รถของผมจอดอยู่ข้างนอก ถ้ามันรู้ว่ามีคนอื่นอยู่กับคุณด้วย มันไม่มีทางกล้าเข้ามาหรอก…บางทีมันอาจจะหนีไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ได้นะ มันคงฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราต้องแจ้งตำรวจ”
อดีตนายตำรวจหนุ่มบอกตามทักษะการประเมินในแบบของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ด้วยเหตุนี้เองหญิงสาวจึงไม่ซักถามอะไรขึ้นมาให้มากความอีก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารอร่อยตรงหน้าต่อไป
มนตรีกลับมาหาวรุณที่โรงพยาบาลอีกครั้ง หลังจากที่กลับมาจากบ้านของพริมา ลูกพี่ของเขาออกอาการไม่พอใจอย่างรุนแรงที่เขาพาตัวผู้หญิงคนนั้นมาไม่ได้ วรุณสบถอย่างหัวเสีย กำมือแน่นอย่างแค้นใจ
“อย่าเครียดไปเลยพี่ ยังไงผู้หญิงคนนั้นก็หนีไปไหนไม่รอดหรอก” มนตรีบอกเมื่อเห็นลูกพี่ดูจะโมโหหนัก
“ป่านนี้มันกับคนที่ช่วยมัน คงพากันไปแจ้งตำรวจไปแล้วแน่ๆ…โธ่เว้ย! ถ้าเป็นแบบนี้พ่อเลี้ยงจะไม่เล่นงานฉันเหรอวะ!”
น้ำเสียงท้ายประโยคของวรุณฟังดูโกรธเกรี้ยวเต็มกำลัง ใบหน้าถมึงทึงนั้นบิดเบี้ยวตามโทสะที่บังเกิด
“ลองคิดในแง่ดีนะพี่ ถ้าพวกนั้นแจ้งตำรวจ เราสองคนคงได้ไปนอนในคุกนานแล้วล่ะ ไม่ได้มานั่งคุยกันอยู่ที่นี่แบบนี้หรอก”
มนตรีเริ่มหัวเสียขึ้นมาบ้าง เวลานี้คาดเดาเหตุการณ์ต่างๆ ยากเย็นเหลือเกิน แต่วรุณกลับเอาแต่หวาดกลัวว่าจะได้รับโทษจากนายใหญ่ ทั้งที่ความจริงแล้วมนตรีกับลูกน้องอีกหลายคนก็ต้องโดนหางเลขไปด้วยเหมือนกัน
“มันก็จริงว่ะ ถ้าพวกมันแจ้งตำรวจ ตอนนี้ฉันคงถูกพาตัวไปสอบสวนแล้ว”
“ตอนนี้มีพวกของเราซุ่มอยู่แถวบ้านนังนั่นสองคน ถ้าทางโปร่งกว่านี้เมื่อไหร่ สองคนนั่นก็คงได้ตายกันทั้งคู่นั่นแหละ” มนตรีบอกอย่างใจเย็น
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะที่แกเรียกว่าทางโปร่ง” คนเจ็บที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงหันมาถาม หลังจากที่นิ่งเงียบไปได้พักหนึ่ง
“คงต้องรอให้ฝนซาหรือหยุดตกก่อน พวกมันคงไม่ออกไปไหนทั้งๆ ที่ฝนตกแบบนี้หรอก ถ้าจะบุกตามไปจัดการถึงในบ้าน มันก็จะดูโจ่งแจ้งจนเกินไป ถึงยังไงเราก็ทำได้อย่างเดียว ก็คือรอนั่นแหละพี่”
วรุณพยักหน้ารับรู้ตามที่มนตรีบอก หนุ่มรุ่นน้องคนนี้เปรียบเสมือนมันสมองในการทำงาน ส่วนเขาถนัดด้านลงมือเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าวรุณเป็นคนประมาทหรือโง่เขลา เพียงแต่บางครั้งความใจร้อนมักจะมีอิทธิพลเหนือความคิดและเหตุผลเท่านั้น
“ถ้างั้นแกโทรไปบอกพวกเราเตรียมตัวไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน ได้โอกาสเมื่อไหร่ก็รีบจัดการเก็บพวกมันให้สิ้นซากไปเลย” น้ำเสียงแข็งกร้าวของลูกพี่เอ่ยขึ้น
“ได้ครับพี่” มนตรีรับคำ รีบหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโซฟาขึ้นมาถือ กำลังจะต่อสายถึงสมุนอีกสองคนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ บ้านพริมา แต่เบอร์คุ้นตาที่โทรเข้ามานั้น ทำให้ชายหนุ่มชะงักค้าง ก่อนจะรีบกดรับสายอย่างนอบน้อมทันที
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง”
“อาการลูกพี่แกเป็นยังไงบ้างมนตรี ฉันเห็นเงียบหายไปเลยลองโทรมาเช็กดู” คนที่ใครๆ พากันเรียกว่า ‘พ่อเลี้ยง’ ถามเสียงเรียบ
“เอ่อ พี่รุณดีขึ้นมากแล้วครับ”
“อืม ดีแล้ว หมอให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ก็กลับมาเชียงรายได้เลยนะ เรื่องผู้หญิงคนนั้นฉันมอบหมายให้คนอื่นจัดการแล้ว แต่ระหว่างที่รุณยังไม่หายดี แกก็ตามหามันไปด้วยแล้วกัน เผื่อว่าคนที่ฉันส่งไปจะทำงานล่าช้าจนนังเด็กนั่นสร้างปัญหาขึ้นอีก”
“แล้วพ่อเลี้ยงจะให้ผมจัดการปิดปากพวกมันทันทีที่หาตัวพบเลยมั้ยครับ” มนตรีอยากรู้ใจแทบขาด ว่าใครคือคนที่พ่อเลี้ยงส่งมาตามล่าพริมา แต่เขากลับเลือกที่จะถามถึงเรื่องอื่นแทน
“พวกมันเหรอ? นี่หมายความว่าแกทำงานพลาดจนมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกใช่มั้ย!” น้ำเสียงราบเรียบจากปลายสายเริ่มแข็งกร้าวขึ้น มนตรีหน้าเสีย แต่ก็ต้องตอบไปตามความจริง
“เอ่อ...คือว่าตอนที่ผมกำลังเฝ้าหน้าบ้านอยู่ มีใครบางคนไปหานังนั่นที่บ้านเข้าพอดีน่ะครับ”
“ช่างเถอะ! เอาเป็นว่าแกจัดการปิดปากไอ้คนที่เพิ่งเข้ามายุ่งนั่นให้เรียบร้อยก็แล้วกัน ส่วนนังเด็กนั่นไม่ต้องทำอะไรมันทั้งนั้น แค่พากลับมาที่เชียงรายในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดก็พอ” พูดจบคนที่เป็นฝ่ายติดต่อมาก็วางสายไปทันที ปล่อยให้มนตรียืนหน้าเหวอด้วยความไม่เข้าใจ
“เกิดอะไรขึ้นวะมนตรี พ่อเลี้ยงโทรมาว่ายังไงบ้าง” วรุณรีบถาม
“พ่อเลี้ยงบอกว่าพี่ไม่ต้องจัดการนังผู้หญิงคนนั้นแล้ว พ่อเลี้ยงมอบหมายงานนี้ให้คนอื่นไปแล้วน่ะพี่ แต่ระหว่างนี้ฉันก็ต้องตามเรื่องนี้อยู่ เผื่อว่าคนที่พ่อเลี้ยงส่งมาจะทำงานช้าจนเรื่องมันเลยเถิด”
“อะไรนะ! พ่อเลี้ยงให้คนอื่นทำงานแทนฉันงั้นเหรอ แล้วมันเป็นใครวะมนตรี!” วรุณร้องถามเสียงดังลั่น ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะกลัวว่านายใหญ่จะไว้ใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง
“พ่อเลี้ยงไม่ได้บอกมาหรอกพี่ บอกแต่ว่าห้ามทำร้ายนังนั่น ส่วนคนที่เพิ่งเข้ามาแส่ก็จัดการมันได้เลย”
“เฮ้ย! พ่อเลี้ยงคิดอะไรอยู่กันแน่วะ ไม่ให้ปิดปากนังผู้หญิงบ้าเลือดนั่น แล้วจะให้ปล่อยมันไปรึไง”
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“แล้วยังไงวะ” คนป่วยมองอย่างสงสัยเต็มแก่
“พ่อเลี้ยงบอกให้พาตัวมันกลับไปที่เชียงรายด้วย”
“พากลับไปเชียงราย? นี่อย่าบอกนะว่าพ่อเลี้ยงอยากได้มันไปทำเมียอีกคน”
“ไม่รู้เหมือนกันพี่ สงสัยคงจะเป็นแบบนั้น เพราะถ้าไม่ใช่ พ่อเลี้ยงคงไม่สั่งให้พามันไปถึงที่โน่นหรอก แต่จะว่าไปพ่อเลี้ยงก็ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตานังนั่นมาก่อนเลยนะ ทำไมถึงต้องอยากได้ตัวมันนัก” มนตรีทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดิม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“คนอย่างพ่อเลี้ยงน่ะขอแค่เป็นผู้หญิงก็เอาทำเมียได้หมดแหละ ขึ้นอยู่ที่ว่าจะถูกใจมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง แต่ถ้าพ่อเลี้ยงได้เห็นหน้านังตัวแสบนั่นล่ะก็ ฉันว่าคงทั้งรักทั้งหลงเลยแหละว่ะ”
“นั่นสิพี่ เออ จริงสิ...ผมทำบัตรประชาชนของนังนั่นหายไป ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่นอยู่ที่ไหน”
มนตรีเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเผลอทำบัตรประชาชน ที่เป็นเหมือนตัวแทนเดียวของพริมาหายไปเสียแล้ว
“ช่างมันเหอะน่า เดี๋ยวอีกหน่อยก็ได้ตัวเป็นๆ มันกลับไปด้วยอยู่แล้ว แค่บัตรประชาชนมันไม่สำคัญหรอก มีแค่รูปกับชื่อที่อยู่ที่เราจำได้กันอยู่แล้ว เฮ้อ...แต่บอกตรงๆ นะมนตรี ฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าพ่อเลี้ยงจะให้ใครมาทำงานแทนฉันได้” วรุณยังคิดไม่ออก
“ป่วยการจะเดาพี่ อีกไม่นานเราก็คงรู้เอง ผมว่าพี่พักผ่อนเถอะ” มนตรีแนะนำ เพราะตัวเขาเองก็เดาไม่ออกเหมือนกัน
ถึงแม้รู้ดีว่าควรทำตามที่มนตรีบอก แต่วรุณก็ยังไม่วายคิดหนัก เวลานี้สิ่งที่อยากรู้เหนือเรื่องอื่นใดก็คือการที่มีคนมาทำงานแทนเขา วรุณอยากรู้นักว่าใครคือคนที่พ่อเลี้ยงไว้ใจมาก ถึงขั้นยอมมอบหมายงานสำคัญให้ เพราะเท่าที่คิดได้ในตอนนี้ ไม่มีใครมีฝีมือเทียบเท่าเขาได้เลยสักคน
