บทที่ ๓ ผู้ช่วยชีวิต 1
พริมานั่งตัวสั่นอยู่กับประตูบ้าน ใบหน้าเนียนสวยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา สติที่เคยมีนั้นตอนนี้มันว่างเปล่า ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว ในใจภาวนาให้ตัวเองหมดลมหายใจไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อที่จะไม่ต้องตายเพราะน้ำมือของไอ้โจรใจชั่วนั่น แต่ก็ทำไม่ได้ หญิงสาวจึงได้แต่นั่งหลับตาอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่แบบนั้น
เสียงโทรศัพท์บ้านดังลั่นขึ้นแทรกเสียงฝน เจ้าของบ้านสาวสะดุ้งเฮือกสุดตัว ร่างระหงผวาแนบชิดกับประตูอย่างหวาดระแวง เมื่อตั้งสติได้ จึงรู้ว่าเป็นเสียงโทรศัพท์ ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างชั่งใจ
แต่ในที่สุดเธอตัดสินใจคลานไปรับโทรศัพท์อย่างช้าๆ ดูแล้วคนโทรนั้นช่างมีความพยายามเหลือเกินที่จะรอสาย เพราะกว่าที่มือบางจะยื่นไปรับโทรศัพท์ก็ใช้เวลานานมาก
ทันทีที่ยกหูโทรศัพท์ เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นอย่างรีบร้อน
“เปิดประตูให้ผมหน่อยพริม เร็วเข้า”
“ไปตายซะ! แกคิดว่าฉันโง่ขนาดนั้นเชียวเหรอ” หญิงสาวตวาดเสียงดัง แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ
“เปิดประตูบ้านให้ผมเร็วเข้าพริม ผมเห็นมีคนมาอยู่หน้าบ้านคุณ ท่าทางหมอนั่นไม่น่าไว้ใจเลย ผมเป็นห่วงคุณนะ เปิดประตูให้ผมเข้าไปหาคุณหน่อยเถอะ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลที่คุ้นหูทำให้พริมาพูดไม่ออก ตอนนี้เธอไม่มั่นใจเลยว่าคนที่กำลังพูดกับเธออยู่นั้นเป็นใคร แม้ว่าจะรู้สึกได้ถึงความห่วงใยผ่านน้ำเสียงของเขา แต่นั่นไม่ได้ความว่าผู้ชายคนนี้จะปลอดภัยสำหรับเธอ
“ฉันจะแจ้งตำรวจ” หญิงสาวบอกเสียงแข็ง
“อย่าเพิ่งวางสายนะพริม เปิดประตูให้ผมแล้วคุณจะปลอดภัย…นะครับ เปิดประตูให้ผมเข้าไปหาคุณเถอะ” อีกฝ่ายยังขอร้องอยู่อย่างนั้น
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร แล้วทำไมฉันต้องทำตามที่คุณบอกด้วย” ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง รอคอยคำตอบด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
“ผมเองพริม...สกรรจ์”
ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ โทรศัพท์ก็ร่วงลงพื้น ดวงตาบวมช้ำหลับลงช้าๆ แข้งขาอ่อนแรงจนหญิงสาวต้องนั่งลงกับพื้น ท่ามกลางเสียงเคาะประตูปึงปังดังขึ้นแข่งกับเสียงฝนตกฟ้าร้อง
เรียวแขนที่เต็มไปด้วยแผลถลอกโอบกอดตัวเองไว้แน่น ยิ่งได้ยินชื่อของเขา ทำให้เธอรู้สึกเหน็บหนาวมากขึ้นไปอีก ทำไมกัน ชื่อเขาต้องมาก้องอยู่ในหัวของเธอตอนที่เธอกำลังอ่อนแอแบบนี้
จะให้เชื่อว่าผู้ชายคนนั้นคือสกรรจ์น่ะหรือ มันเป็นไปไม่ได้เลย ในเมื่อเขาหายไปจากชีวิตเธอตั้งนานแล้ว และไม่มีสักครั้งที่จะได้ยินชื่อหรือเห็นหน้าเขา แล้วจู่ๆ ผู้ชายที่ทิ้งเธอไปจะกลายเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยในห้วงเวลาแห่งความตายได้อย่างไรกัน เรื่องแบบนี้มันมีแต่ในละครเท่านั้นแหละ
พริมาคิดอย่างเยาะเย้ยตัวเอง...
ความสับสน ความกลัว ความหวาดระแวงมันวิ่งวุ่นอยู่ในหัวใจของหญิงสาว โดยมีเสียงเคาะประตูหนักเป็นแรงกดดัน จนทำให้เธอต้องร้องไห้ออกมา มือซีดเซียวยกขึ้นปิดหูอย่างไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว
เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้พริมาไม่ไว้ใจอะไรอีก...
‘เธอไม่ไว้ใจแม้กระทั่งผู้ชายที่เธอรักมากที่สุดด้วยอย่างนั้นหรือ’ อีกด้านของความคิดผุดขึ้นมา เหมือนรู้ว่าตอนนี้หญิงสาวยังคงมีความลังเลอยู่
ร่างบางสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง เผลอตัวกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความกดดันระคนสับสน น้ำตาไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ
เสียงของคนที่อยู่ตรงหน้าโดยมีเพียงประตูกั้นขวางอยู่ มันเหมือนกับเสียงของผู้ชายที่เธอรักมากเหลือเกิน แม้จะมีเสียงฝนดังแทรกเข้ามาอยู่ตลอดเวลา แต่มีหรือที่พริมาจะจำเสียงทุ้มคุ้นหูนั้นไม่ได้
มือน้อยๆ สั่นด้วยความกลัว แต่มันก็ยังยื่นไปที่ลูกบิดประตูความคิดในหัวของเธอมันแบ่งแยกเป็นสองฝั่ง แต่เสียงหัวใจกลับสั่งว่าให้เปิดประตูออกไปเสียที เปิดไปหาเจ้าของเสียงที่เธอเฝ้าคิดถึงมานาน ต่อให้มันจะต้องแลกด้วยลมหายใจสุดท้ายก็ตาม
ดวงตากลมโตที่แดงก่ำปิดลงอย่างยอมรับชะตากรรม ทั้งที่น้ำใสๆ ยังคงไหลรินออกมาไม่หยุด...
สกรรจ์ลดมือที่กำลังจะยกขึ้นเคาะประตูอีกครั้งลงไว้ข้างกายตามเดิม เมื่อประตูถูกดึงให้เปิดออกอย่างช้าๆ สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซีดเซียวที่ตอนนี้กำลังหลับตาแน่น ราวกับไม่ต้องการเผชิญกับความจริง ก่อนจะไล่สายตาพิจารณาไปทั่วทั้งร่างที่สะบักสะบอมจนหาชิ้นดีไม่ได้
ผมที่เคยยาวสลวยของหญิงสาว ตอนนี้ดูยุ่งเหยิงและเปรอะเปื้อน เสื้อทำงานที่พริมาสวมอยู่มีรอยขาด กระโปรงที่มีความยาวเหนือเข่าก็ขาดยาวจนเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวผ่องตรงต้นขา
แต่ที่ทำให้คนมองรู้สึกแปลบปลาบไปทั้งหัวใจ ก็คือบาดแผลที่ปรากฏให้เห็นเกือบทั่วตัว แม้ตอนนี้จะมีแสงสว่างส่องเข้ามาเพียงน้อยนิดก็ตาม
“พริม...พริมของผม” น้ำเสียงเบาหวิวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นคุ้นเคย ฉุดดึงให้หญิงสาวยอมลืมตาขึ้นมองโดยไม่ลังเลอีก ดวงหน้าซีดเซียวนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง อยากพูดคำพูดนับร้อยออกมาในตอนนี้ แต่ก็ทำได้แค่เพียงโผเข้ากอดร่างสูงเอาไว้แน่นเท่านั้น
พริมายิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวตัวโยนหนักขึ้น เมื่อมือใหญ่ยกขึ้นลูบศีรษะเล็กได้รูปอย่างปลอบโยน ดวงตาคมสีเหล็กกล้าทอประกายแค้นเคือง นึกอยากตามหาคนที่กล้าทำร้ายเธอ แล้วจัดการฆ่ามันด้วยมือของเขาเอง
“ไม่เป็นไรแล้วนะพริม ไม่เป็นไรแล้ว” สกรรจ์ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ
“พริม...พริมกำลังฝันอยู่หรือเปล่าสกรรจ์ ตอนนี้พริมแค่กำลังฝันว่าได้พบกับคุณอีกครั้งใช่มั้ย”
พริมาพูดอู้อี้อยู่ตรงไหล่แกร่งกำยำ เธอกอดเขาเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปพร้อมกับสายฝนที่เริ่มซาลง และอีกไม่นานก็คงเหือดแห้งไป
“ผมกลับมาแล้วพริม ผมขอโทษที่ทิ้งคุณไป แต่ตอนนี้ผมกลับมาแล้วนะ ผมสัญญาว่าจะไม่ทิ้งคุณไปไหนอีกเด็ดขาด เชื่อผมนะ”
อดีตนายตำรวจหนุ่มดันร่างระหงให้ออกห่าง พร้อมยืนยันให้มั่นใจว่าเขาไม่ใช่แค่เพียงความฝัน
“สกรรจ์...คือ พริม พริม...กลัว” พริมาพูดตะกุกตะกัก ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ก่อนจะโถมตัวเข้าหาไออุ่นจากอ้อมอกแข็งแรงอีกครั้ง
“ไม่ต้องกลัวนะพริม ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ผมไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายคุณได้อีกแน่” ชายหนุ่มบอกคนในอ้อมกอดให้คลายใจ แต่กลับกลายเป็นตัวเขาเสียเองที่กอดเธอแน่นอย่างหวาดหวั่น
พริมาพยายามทำตามที่สกรรจ์บอก เธอผละออกจากอ้อมกอดเขา สูดอากาศหายใจเข้าปอดไปเต็มที่ มือใหญ่เลื่อนขึ้นเช็ดน้ำตาบนพวงแก้มใสออกให้ แล้วเกลี่ยปอยผมที่ลงมาคลอเคลียอยู่กับใบหน้าเนียนไปทัดไว้หลังใบหู จากนั้นก็ช่วยประคองเธอเข้าไปพักที่โซฟาในห้องรับแขก ไม่ลืมเปิดไฟในบ้านให้สว่างจ้า และปิดประตูลงล็อกอย่างแน่นหนา
สกรรจ์ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่รีบเดินไปหาผ้าห่มมาคลุมร่างระหงที่กำลังสั่นเทาเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัวตามความคุ้นชินเพื่อหาเครื่องดื่มให้กับพริมา ไม่นานนักน้ำขิงอุ่นๆ ก็ถูกส่งให้หญิงสาว เธอไม่ได้ดื่มมันในทันที แต่ใช้ความร้อนที่ส่งผ่านทางแก้วให้ความอบอุ่นกับฝ่ามือตัวเอง
“ไปหาหมอมั้ยครับ แผลมันเริ่มอักเสบแล้วนะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างห่วงใย แต่ในใจนั้นกรุ่นโกรธจนแทบเป็นบ้า นึกอยากบีบคอไอ้สารเลวที่มันกล้าทำกับเธอแบบนี้ให้ตายคามือนัก
พริมายังคงนั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จนสกรรจ์เริ่มร้อนใจกับอาการเหม่อลอยของเธอ ตอนนี้ร่างบอบบางยังคงสั่นน้อยๆ เหมือนยังคงตื่นกลัวอยู่
“พริม ไปหาหมอมั้ยครับ แผลมันเยอะมากนะ เดี๋ยวถ้าติดเชื้อขึ้นมามันจะหนักกว่าเก่านะพริม” น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวรีบหันกลับมามองเขาด้วยแววตาคล้ายกับจะร้องไห้อีกรอบ แล้วรีบสั่นหน้าปฏิเสธทันที
“ไม่ไป...ไม่ไปข้างนอกนะ พริมกลัว”
“คุณโอเคนะพริม” ชายหนุ่มถามเสียงแผ่ว
“คุณจะไม่มีวันถามแบบนี้แน่ ถ้ารู้ว่าพริมเจออะไรมาบ้าง แต่ขอร้องอย่าเพิ่งออกไปข้างนอกนะคะ” น้ำเสียงพริมาฟังดูสั่นเครือ จนคนถามรู้สึกผิดที่ถามแบบนั้นออกไป แต่ก็ยังอดไม่ได้อยู่ดีที่จะถามถึงเรื่องที่มันเกิดขึ้นกับผู้หญิงของเขา
“ครับ ไม่ไปก็ไม่ไป แต่บอกผมได้มั้ยว่าใครทำร้ายคุณ ทำไมคุณถึงมีสภาพแย่มากแบบนี้”
“พริม...พริมผิดเอง พริมมันโง่!” พูดจบพริมาก็วางแก้วน้ำขิงลงบนโต๊ะรับแขก แล้วปิดหน้าร้องไห้โฮอีกครั้ง
สกรรจ์ขยับเข้าไปกอดเธอไว้หลวมๆ ไม่คิดที่จะซักถามอะไรขึ้นอีก เพราะเห็นชัดว่าหญิงสาวคงยังไม่พร้อมที่จะเล่าอะไรในตอนนี้ แต่สำหรับคนที่เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมาหมาดๆ กลับคิดว่าตัวเองควรระบายเรื่องนี้กับใครสักคนที่ไว้ใจโดยเร็ว
เธอเก็บความเลวร้ายเอาไว้เพียงคนเดียวไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกฉากทุกตอน จึงถูกเล่าให้ชายหนุ่มฟังอย่างละเอียด สกรรจ์กำมือแน่นอย่างระงับความโกรธ อดทนฟังเรื่องราวอันแสนโหดร้ายของหญิงสาวจนจบ
เผื่อว่ามันจะมีประโยชน์ เวลาที่เขาได้พบตัวคนที่ทำร้ายเธอ...
“ผมขอโทษนะพริม ขอโทษที่หายไปจากคุณ ผมเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ทิ้งคุณไว้คนเดียว ผมน่าจะ...”
สกรรจ์ยกมือขึ้นกุมศีรษะ ท่าทางที่ดูกลัดกลุ้มนั้นทำให้พริมารีบเอ่ยแทรกขึ้น
“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ อย่าโทษตัวเองเลย” มือบางสัมผัสลงบนต้นแขนอีกฝ่ายเบาๆ กล้ามเนื้อแข็งแรงที่อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลทำให้หญิงสาวมือสั่นเล็กน้อย
