บทที่ ๒ ออกตามล่า 2
สามวันผ่านไป...
มนตรีกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งในตอนเย็น เพราะวันนี้เขาได้ข้อมูลสำคัญมาจากสายสืบ ก่อนจะเอาสิ่งที่ได้ให้กับวรุณ ข้อมูลเกี่ยวกับแม่ผู้หญิงจอมแส่ที่ค่อนข้างละเอียด ทำให้สองหนุ่มยิ้มออกมาอย่างพอใจ และยิ่งข้อมูลบางอย่างที่บ่งบอกว่าเธอเคยมีความเกี่ยวพันกับคนที่พวกเขารู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี ก็ทำให้การตามล่าหญิงสาวง่ายขึ้นมากเหลือเกิน
“ดีมาก หึๆ มิน่าล่ะ ฉันถึงรู้สึกคุ้นหน้ามัน” วรุณกระตุกยิ้ม ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่กระดาษในมือ
“ดูจากรูปในบัตรประชาชนก็สวยเอาการอยู่นะพี่”
“อืม...สวย สวยมากแต่ดูจืดชืดเกินไปสำหรับฉัน แล้วนี่พ่อเลี้ยงรู้ข้อมูลพวกนี้หรือยัง” วรุณถามขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้
“รู้ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะครับว่ามันเป็นใคร เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าสวยแค่ไหน”
“สงสัยป่านนี้คงนั่งยิ้มชอบใจอยู่ล่ะสินะ หึๆ”
“นั่นน่ะสิครับ...ว่าแต่พี่รุณเถอะ หมอบอกว่าพี่ต้องอยู่ที่นี่อีกกี่วันครับ” มนตรีชวนเปลี่ยนเรื่องคุย และเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาวไม่ไกลจากเตียงคนป่วยนัก
“น่าจะอีกนานเลย หมอบอกว่ากลัวแผลติดเชื้อว่ะ เลยอยากให้อยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการไปก่อน แล้วก็ต้องเอกซเรย์อะไรอีกเยอะแยะเลย” คนพูดทำหน้าเซ็ง ก่อนจะยกมือข้างที่ปกติดีขึ้นลูบผ้าพันแผลที่พันอยู่บนศีรษะตัวเองเบาๆ
“เอาน่าพี่ รอดตายมาได้ก็ดีถมเถแล้ว” มนตรีให้กำลังใจ
“พูดแล้วก็อดนึกถึงนังผู้หญิงบ้าระห่ำคนนั้นขึ้นมาไม่ได้ จริงสิ! ถ้ามันไปแจ้งตำรวจล่ะ แกหาทางหนีทีไล่หรือยัง” คนถามเสียงเข้ม ใบหน้าเครียดขรึมขึ้นมาทันที
“ผมไม่ประมาทหรอกน่าพี่รุณ ถึงจะยังไม่ได้ตามล่ามันจริงจัง แต่ผมก็ให้คนของเราเฝ้าอยู่ที่หน้าซอยเกิดเหตุแล้ว ซอยนั้นเปลี่ยวมากแล้วก็เป็นทางตัน บ้านก็มีอยู่แค่ไม่กี่หลัง ถ้ามันยังไม่ตายหรือคิดจะออกไปแจ้งตำรวจ มันก็ต้องออกมาทางที่มีคนของเราเฝ้าดูอยู่ แต่นี่มันไม่โผล่หัวมาเลย”
“แล้วถ้ามันโทรศัพท์แจ้งตำรวจล่ะวะ!”
“ถ้ามันแจ้งตำรวจจริง พี่คงไม่ได้นอนสบายอยู่ที่นี่หรอก เวลาผ่านมาตั้งสามวันแล้วนะครับ”
“จริงของแก...หรือว่ามันจะตายไปแล้ว” วรุณยิ้มเหี้ยม
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ ตัวพี่เองก็เจ็บหนัก มันก็คงไม่ต่างกันหรอก บางทีอาจจะนอนตายขึ้นอืดอยู่ในป่าข้างทางไปแล้วก็ได้ นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วด้วย” มนตรีคิดแบบเดียวกัน
“ทางที่ดีอย่าเดากันเองดีกว่า แกต้องรีบไปตามหามันแถวนั้นอีกครั้ง ถ้ามันตายก็ต้องเจอศพมัน แต่ถ้ามันไม่ตาย แกก็ต้องทำให้มันตาย!”
“ครับพี่ คืนนี้ผมกับคนของเราจะไปตามหามัน” มนตรีรับคำ
“อย่าให้พลาดล่ะ ถือว่ามันโชคดีก็แล้วกันที่ได้ตายด้วยมือแกแทน เพราะถ้าให้ฉันเป็นคนฆ่ามันล่ะก็ รับรองเลยว่าศพมันเละไม่มีชิ้นดีแน่!” หากทำได้ วรุณอยากจะออกไปตามหาพริมาด้วยตัวเองเสียเดี๋ยวนี้เลย
การแก้แค้นที่หอมหวาน กระตุ้นเลือดในกายให้เดือดพล่านเสียเหลือเกิน!
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำ ผิวสีแทนเนียนละเอียดดูน่าสัมผัสเดินลงจากรถพอร์ชคาเยนน์ สีเทาสุดหรู เรียกสายตาของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ให้ก็พากันมองตามจนถึงขั้นเหลียวหลัง แม้ว่าเวลานี้เขาจะสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้มกับกางเกงยีนสีซีด แต่มันไม่สามารถลดทอนเสน่ห์เหลือร้ายที่อยู่ในตัวของเขาได้แม้แต่น้อย
สกรรจ์ มธุรพงษ์...ยกมือขึ้นขยับแว่นกันแดดสีชาเล็กน้อย ขณะส่งกุญแจให้พนักงานรับรถ จากนั้นเขาก็รีบเดินเข้าไปในภัตตาคารเพื่อพบกับเพื่อนที่นัดไว้
บริกรหนุ่มท่าทางสุภาพเดิมยิ้มเข้ามาทักทาย เมื่อสกรรจ์แจ้งความประสงค์ของตัวเองให้รู้ เขาก็รีบนำทางชายหนุ่มเดินไปยังโต๊ะริมหน้าต่างทันที
“มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิเพื่อน” คนที่นั่งจิบกาแฟรออยู่ก่อน รีบลุกขึ้นต้อนรับแขกพิเศษด้วยรอยยิ้ม ก่อนหันไปสั่งบริกรส่งเครื่องดื่มให้กับชายหนุ่มผู้มาใหม่
“ขอโทษที่ต้องรบกวนนะหมวดวิทย์ เวลาฉันเข้ากรุงเทพทีไร มีเรื่องมาให้แกวุ่นวายตลอดเลยว่ะ” สกรรจ์เอ่ยขึ้นก่อนอย่างเกรงใจเพื่อน ร้อยตรีวิทยารีบส่ายหน้าปฏิเสธ
สกรรจ์กับเขาเป็นเพื่อนตำรวจที่สนิทสนมกันมากพอสมควร แม้ว่าชายหนุ่มจะลาออกจากราชการไปถึงสองปีแล้ว แต่พวกเขาก็มักจะติดต่อถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอยู่เสมอ
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะ สำหรับนายฉันว่างตลอดนะ” วิทยาบอกพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ
“ขอบใจมากเพื่อน...ถ้างั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ฉันมีเวลาไม่มากซะด้วยสิ”
ไม่ต้องบอกวิทยาก็พอจะเดาได้ว่าเพื่อนหนุ่มรีบร้อนแค่ไหน สังเกตได้ไม่ยากเลยจากการที่เขาเอาแต่พลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาหลายครั้ง ซ้ำยังไม่คิดจะถอดแว่นกันแดดออกอีก
“ฉันพอเข้าใจ ทุกอย่างเรียบร้อยดี นี่เอกสาร ว่าแต่ไม่น่าเชื่อว่าเลยนะว่านายจะลืมที่อยู่ของอดีตแฟนตัวเองได้” เพื่อนสนิทมองอีกฝ่ายอย่างเจ้าเล่ห์ แต่สกรรจ์กลับยักไหล่แทนคำตอบ มีหรือที่เขาจะจำที่อยู่ที่เคยไปบ่อยๆ ไม่ได้ เขาเพียงแต่อยากแน่ใจว่าหญิงสาวยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ย้ายไปไหนเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มยื่นมือไปรับซองเอกสารสีน้ำตาลมาเปิดออกดู ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงอยู่ที่เดิม ข้อมูลทุกอย่างเหมือนเดิม ดวงตาคู่คมกวาดสายตามมองคร่าวๆ ก่อนจะเก็บเอกสารลงในซอง และเงยหน้าขึ้นมาหาเพื่อนสนิทอีกครั้ง
“ขอบคุณมากนะหมวด ไว้มีโอกาสฉันจะตอบแทนนายแน่ๆ”
“ไม่เป็นไร นี่นายอย่าบอกนะว่าจะมาตามหาคนรักเก่า เท่าที่รู้นายเองไม่ใช่เหรอที่เขี่ยเธอทิ้งไป”
“อืม ไม่รู้สิ รู้แค่ว่ายังไงก็ต้องตามหาพริมให้เจอก่อน” แววตาสกรรจ์ดูแข็งกร้าวขึ้นเมื่อเอ่ยถึงพริมา แต่วิทยาไม่ทันได้สังเกตเห็น
“ขอให้ตามพริมเจอเร็วๆ ก็แล้วกัน ไม่รู้เป็นไงบ้าง ตัวคนเดียวซะด้วยสิ” ผู้หมวดหนุ่มบอกเพื่อนยิ้มๆ
“ขอบคุณมากหมวด ไว้ถ้าเจอพริมเมื่อไหร่ฉันจะโทรบอกก็แล้วกัน” พูดจบสกรรจ์ก็ผุดลุกขึ้นและรีบเดินจากไปทันที ทิ้งให้เพื่อนรักมองตามไปอย่างไม่เข้าใจนักว่าเพราะเหตุใดเขาจึงดูรีบร้อนแบบนี้
สกรรจ์บีบซองเอกสารในมือจนมันยับย่น กรามกระด้างขบกันแน่นจนเป็นสันนูน ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดเต็มไปด้วยโทสะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือหัวใจของเขา ตอนนี้มันกำลังร้อนรุ่มและกระวนกระวายมากเหลือเกิน
ลางสังหรณ์ที่เคลื่อนตัวเข้ามาทำให้ชายหนุ่มต้องเร่งฝีเท้าไปที่ลานจอดรถให้เร็วขึ้น ยิ่งเมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มถูกความมืดกลืนหายไปจนเกือบหมดแล้ว เขาก็ยิ่งต้องรีบไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด
คงไม่มีใครรู้หรอกว่าลางสังหรณ์ของเขามันเลวร้ายแค่ไหน...
ร่างบอบบางที่นั่งกอดเข่าอยู่กลางห้องนั่งเล่นในบ้าน เริ่มขยับตัวอย่างช้าๆ เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มสวยที่ตอนนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด บาดแผลถลอกที่ไม่ได้รับการดูแล ตอนนี้มันเริ่มสร้างความเจ็บปวดให้ร่างกายมากขึ้นทุกทีแล้ว
ในวันที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความตาย ทุกอย่างในหัวสมองนั้นช่างว่างเปล่า รู้เพียงอย่างเดียวว่าเธอต้องรอด ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ต่อให้จะไม่เหลือใครเลยก็ตาม โชคดีที่สุดท้ายเธอก็สามารถมีลมหายใจอยู่ได้จนถึงตอนนี้ แต่กว่าจะยื้อแย่งชีวิตตัวเองกลับมาได้ ร่างกายก็สะบักสะบอมเหลือเกิน แม้ว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงจนถึงขึ้นแตกหัก แต่ความหวาดกลัวจนถึงขึ้นสติแตกนั้น ทำให้เธออ่อนเพลียหมดเรี่ยวหมดแรงจนสลบไสลข้ามวันข้ามคืนเลยทีเดียว
หลังจากฟื้นคืนสติมาได้ ดวงตาบอบช้ำจึงกวาดมองไปรอบบ้านอย่างหวาดหวั่น พยายามจะลุกขึ้นแต่มันก็ยากเย็นเหลือเกิน แค่ขยับเพียงนิดเดียวความเจ็บปวดก็แล่นจู่โจมไปทั่วร่าง ท้องไส้ร้องหาอาหารไม่หยุดหย่อน หลายวันแล้วที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเธอเลย เพราะอาหารในตู้เย็นหมดเกลี้ยงจนไม่มีเหลือ
ความมืดมนรอบข้างบวกกับความมืดมิดที่ปกคลุมหัวใจทำให้น้ำตาไหลรินอีกครั้ง ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกเลยที่เธอต้องการใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง แต่ช่างโชคร้ายที่ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา พริมาเปิดโอกาสให้คนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้ามาในโลกของเธอ แล้วตอนนี้คนพวกนั้นก็พากันจากเธอไปหมดแล้ว...
ร่างบอบบางที่มีบาดแผลเต็มตัวนั่งกอดเข่าอยู่ในจุดเดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อนกายไปไหน วันเวลาที่เคลื่อนผ่านไปอาจจะรวดเร็วสำหรับใครบางคน แต่สำหรับพริมา เวลาสามวันนั้นยาวนานราวกับสามปี
เธอไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าตัวเองจะชะตาขาดลงเมื่อใด ขณะที่กำลังนั่งคิดถึงอนาคตที่มืดมนของตัวเองอยู่นั้น น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นจนต้องรีบเงยหน้ามอง
“พริม...พริมลูกรักของแม่” เจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยนยืนยิ้มละมุนอยู่ตรงหน้า รอบตัวท่านมีแสงสว่างล้อมรอบ
ภาพตรงหน้าทำให้คนมองยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความโหยหา ริมฝีปากซีดเซียวครางออกมาราวกับคนละเมอ หัวใจดวงน้อยชุ่มชื้นขึ้นเหมือนได้น้ำทิพย์ชโลมใจ
“แม่...คุณแม่”
“เข้มแข็งนะลูก พริมลูกแม่จะต้องเข้มแข็ง...อย่ายอมแพ้นะลูกนะ อย่ายอมแพ้นะ”
“แม่...แม่ขา...แม่ช่วยพริมด้วย...แม่!” มือบางไขว้คว้าอากาศตรงหน้า ส่งเสียงร้องเรียกมารดาที่กำลังเลือนหายไปด้วยความรู้สึกโหยหา แค่เพียงพริบตาเดียวร่างของคนที่เธออยากกอดที่สุดก็เลือนหายไป
ดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตา มองซ้ายแลขวาหาแม่ที่เคยอยู่ตรงหน้า แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าที่บ่งบอกว่า สิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นแค่ภาพลวงตา หรือไม่ก็เพราะพิษไข้ที่กำลังเล่นงานเธออยู่ตอนนี้
“คุณแม่...” พริมาพึมพำ นึกถึงทุกคำพูดที่ได้ยินในความฝันแล้วก็เริ่มไตร่ตรองใหม่
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาเธอก็เอาแต่ร้องไห้ พร่ำเพ้อโทษโชคชะตาอยู่ตลอดเวลา แต่ต่อจากนี้หญิงสาวจะไม่รอเวลา หรือให้โชคชะตามาทำร้ายเธออีกแล้ว เธอจะไม่นั่งรอให้ฆาตกรย้อนกลับมาพรากลมหายใจไปง่ายๆ นับว่าโชคดีเหลือเกินที่ตอนเธอสลบไป มันไม่เข้ามาทำร้ายเธอ แต่เชื่อได้เลยว่าไอ้ฆาตกรจะต้องกลับมาจัดการกับเธอแน่ๆ แล้วแบบนี้เธอยังจะนั่งรอความตายโดยไม่ทำอะไรอีกอย่างนั้นหรือ
ใช่แล้ว...เธอควรจะแจ้งตำรวจ ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะเผชิญกับอะไร แต่ก็จะขอสู้จนยิบตาสักตั้ง
หญิงสาวกัดฟันข่มความเจ็บ ลุกขึ้นเดินไปที่โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นทันที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์บ้านขึ้นมากดหมายเลข 191 เพื่อแจ้งความและขอความช่วยเหลือ
ในช่วงเวลาที่รอสาย หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงจนนับจังหวะไม่ได้ รอสายอยู่นานก็ไม่มีคนรับสาย ใช่ว่าเธอจะยอมแพ้ ยังคงพยายามโทรซ้ำไปอีกสองสามรอบ แต่ก็ยังเป็นเช่นเดิม
ความหวังที่เปรียบเสมือนพลังให้เดินหน้าต่อไป เริ่มถดถอยลง เพราะไม่มีใครรับโทรศัพท์ เธอกำลังเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด แล้วตอนนี้เธอควรจะทำอย่างไร เบอร์สถานีตำรวจใกล้บ้านก็ไม่เคยจดไว้ จะออกไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ตัวเธอก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับฆาตกร หากมันดักรอเธออยู่ในซอยนี้
พริมาพยายามตั้งสติ แต่ยิ่งคิดหัวสมองกลับฟุ้งซ่านมากขึ้นเรื่อยๆ มือน้อยซีดเซียวกำแน่นอย่างกดดันตัวเอง เวลานี้เธอคงรอใครมาช่วยอยู่ในบ้านไม่ได้อีกแล้ว เธอต้องออกไปข้างนอก อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนบ้านที่น่าจะพอพึ่งพาอาศัยได้บ้าง คิดได้แบบนั้นหญิงสาวก็รีบพยุงตัวเองลุกขึ้นอย่างช้าๆ
เจ้าของร่างบางกัดฟันแน่นหวังจะช่วยข่มความเจ็บปวด แม้ว่าทุกย่างก้าวจะทรมานมากแค่ไหน เธอก็จำเป็นต้องฝืนทนให้ไหว ตอนนี้รู้แต่เพียงว่า...เธอจะต้องรอดจากสถานการณ์อันเลวร้ายครั้งนี้ไปให้ได้
เม็ดฝนเริ่มร่วงรินลงจากท้องฟ้าอีกครั้ง และดูท่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ทำให้ความตั้งใจของพริมาหมดลง เธอตั้งหน้าตั้งตาเดินไปที่ประตู หวังจะออกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่แสงไฟของรถยนต์คันหนึ่งที่ชะลออยู่หน้าบ้านของเธอนั้น ทำให้ความคิดที่จะเปิดประตูเลือนหายไปในทันที
หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยตวามตื่นกลัว เมื่อดวงตาที่มองผ่านหน้าต่างกระจกเห็นเงาของใครบางคนลงจากรถ และพยายามมองเข้ามาในบ้านที่มืดสนิท ร่างระหงที่สั่นสะท้านราวกับลูกนกเปียกฝนเริ่มหวาดระแวงและสติแตก
พริมาหันหลังพิงประตูและค่อยๆ นั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง น้ำใสๆ ไหลเอ่อเต็มดวงตา แผ่นหลังบางสะท้านอย่างหนัก ความหวังที่เธอจะปลอดภัยจากพวกฆาตกรนั้นช่างริบหรี่ ไม่ต่างกับการจุดเทียนกลางสายฝน ตอนนี้เธอสู้ไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงที่จะยื้อแย่งลมหายใจของตัวเองอีกแล้ว ตั้งแต่วินาทีนี้ไป พริมาได้แต่นั่งรอความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า...
ร่างใหญ่ภายใต่ร่มกันฝนพยายามมองฝ่าสายฝนเข้าไปในบ้านที่มืดสนิท เพื่อมองหาคนที่พวกเขาต้องการตัว แต่ดูท่าทางแล้ว ภายในบ้านนั้นคงจะไม่มีใครอยู่เสียมากกว่า
เพื่อความแน่ใจ ชายนิรนามจึงเลือกที่จะปีนรั้วเข้าไปดูในบ้านให้เห็นกับตาตัวเองว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ หรือไม่ ถ้าหญิงสาวที่ตามหายังคงหลบซ่อนอยู่ในบ้าน เขาก็จะไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาที่ไหนอีก แต่ยังไม่ทันได้ปืนข้ามไปได้สำเร็จ เสียงร้องเตือนของพวกเดียวกันก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เฮ้ย! ถอยก่อนเว้ย มีคนมา รีบขึ้นรถเร็ว!” เสียงตะโกนบอกทำให้ชายร่างใหญ่หยุดชะงัก และรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถโดยไม่รอช้า
“หึ โชคดีไปคนสวย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันมาเยี่ยมเธอใหม่ก็ได้” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันเอ่ยขึ้น ดวงตาที่ฉายแววโหดเหี้ยมมองตรงไปที่ถนนอย่างครุ่นคิด
“อีกนิดเดียวเราก็จะได้รู้แล้วนะพี่ว่ามันอยู่บ้านหรือเปล่า” เสียงของลูกน้องเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย เพราะถ้าพวกเขาทำงานได้สำเร็จโดยเร็ว ก็คงได้รับคำชมจากนายใหญ่มากทีเดียว
“ใช่ อีกนิดเดียว แต่อยากจะรู้นักว่าใครกันที่จะมาบ้านนังผู้หญิงคนนั้น ไหนบอกมันไม่มีญาติที่ไหนไง” มนตรีขมวดคิ้วอย่างสงสัย แม้เมื่อครู่จะพยายามเพ่งมองรถที่ขับเข้ามา แต่ด้วยความแรงของเม็ดฝน ทำให้เขามองไม่ชัดเจนว่าเจ้าของรถคันนั้นเป็นใคร...
