บทที่ ๒ ออกตามล่า 1
วรุณเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นเมื่อได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาล ด้วยร่างกายที่บอบช้ำทำให้เขาขยับตัวได้ค่อนข้างลำบาก แต่อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้ทรมานเหมือนอย่างตอนที่ต้องนอนเจ็บอยู่ตรงที่เกิดเหตุ
คิดแล้วชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีก็ขบกรามแน่น เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาออกจากโรงพยาบาลได้ เขาสาบานได้เลยว่าจะตามล่าแม่ผู้หญิงใจเด็ดคนนั้นให้เจอ และทรมานเธอให้สาสมกว่าที่เขาต้องเผชิญนับสิบเท่าเลยทีเดียว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง ทำให้คนป่วยหันไปมอง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเมื่อประตูเปิดออก และเห็นลูกน้องคู่ใจเดินเข้ามาข้างในห้อง
“รู้สึกยังไงบ้างครับพี่รุณ ผมเป็นห่วงแทบแย่” ลูกน้องคนสนิทเอ่ยถามขณะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา
“เจ็บจนเกือบขาดใจตายเลยว่ะมนตรี ตอนแรกคิดว่าจะไม่รอดซะแล้ว” วรุณตอบพลางมองไปที่แขนซ้ายที่มีผ้าปิดแผลพันอยู่ เช่นเดียวกับบนศีรษะของเขา
“ผมกับพรรคพวกของเราอีกสามสี่คนจัดการทุกอย่างหมดแล้วนะพี่ ไม่มีอะไรหลงเหลือให้พวกตำรวจดมกลิ่นเจอแน่นอน” คำพูดนี้ทำให้คนเจ็บพยักหน้ารับอย่างโล่งใจ
เมื่อคืนหลังเกิดอุบัติเหตุขึ้น วรุณยังพอมีสติอยู่บ้างจึงพยายามติดต่อไปหาพรรคพวกที่เดินทางมาจากเชียงรายด้วยกัน เขาบอกตำแหน่งที่จัดการฆ่าปิดปากผู้หญิงคนนั้น พร้อมสั่งให้ลูกน้องพากันไปเคลียร์พื้นที่ทันที
“แล้วนังผู้หญิงที่ทำให้ฉันปางตายมันอยู่ที่ไหน” วรุณถามกัดฟันถามอย่างแค้นจัด
“ผมไม่รู้เหมือนกันพี่ ตอนที่พวกผมไปถึงก็เห็นแค่พี่นอนสลบเหมือดอยู่ที่นั่นคนเดียว ลองเข้าไปดูในรถเก๋งคันนั้นก็ไม่เจอใครเลย คิดว่ามันคงหนีไปไกลแล้วก็เลยไม่ได้ตาม อีกอย่างกลัวว่าถ้าตามมันไปแล้วจะเก็บซากที่พี่จัดการไว้ไม่ทันก่อนตำรวจมา” มนตรียักไหล่และตอบตามความจริง
“ผู้หญิงคนนั้นเห็นตอนที่ฉันฆ่านังโง่นั่น ถึงพวกแกจะกลบกลิ่นได้สะอาดแล้ว แต่ยังไงเรื่องนี้มันก็ไม่เป็นความลับอยู่ดี ฉันจะยอมให้ทุกอย่างมันเปิดเผยไม่ได้” แววตาของวรุณวาวโรจน์เมื่อพูดถึงนังผู้หญิงใจกล้าคนนั้น
“ถึงพี่ไม่อยากตามไปเก็บมัน ผมก็ต้องทำอยู่ดีนั่นแหละ”
“แกหมายความว่าไง” วรุณขมวดคิ้วมุ่น คนถูกถามหน้าเครียดขึ้นมา ก่อนเอ่ย
“เรื่องนี้รู้ถึงหูพ่อเลี้ยงแล้วครับ ท่านมีคำสั่งให้ผมตามไปเก็บทุกคนที่รู้เห็นเรื่องเมื่อคืน ก็อย่างที่พี่ว่านั่นแหละ...ถึงเราจะตบตาตำรวจได้ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะทำให้พวกตำรวจกลับมาเล่นงานเราได้เหมือนกัน”
คนป่วยพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะถามถึงเจ้านายของตัวเอง
“แล้วพ่อเลี้ยงฝากอะไรมาถึงฉันบ้างมั้ย” เขารู้ดีว่างานครั้งนี้ผิดพลาดเกินกว่าที่จะให้อภัย แต่คำพูดจากชายหนุ่มอีกคนทำให้เขารู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด
“พ่อเลี้ยงบอกให้พี่รักษาตัวให้ดีครับ ท่านบอกว่าคนเรามีผิดพลาดกันได้” ลูกน้องหนุ่มที่อายุน้อยกว่าวรุณหลายปีเอ่ยชี้แจง
“โล่งอกไปที” คนที่นอนเอนกายอยู่บนเตียงถอนหายใจยาว “ฉันอยากให้แกตามตัวนังผู้หญิงคนนั้นให้พบ แต่อย่าเพิ่งลงมือทำอะไรจนกว่าฉันจะออกจากโรงพยาบาลได้”
“เอางั้นก็ได้ครับ แต่กว่าจะตามมันเจอก็คงต้องใช้เวลาสืบหลายวันหน่อย”
“ไม่ต้องห่วงหรอก แกตามหามันเจอเร็วกว่าที่คิดแน่” วรุณแค่นยิ้ม
“ทำไมพี่รุณดูมั่นใจนักล่ะ” อีกฝ่ายมองคนบนเตียงอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันเก็บบัตรประชาชนของมันมาด้วย อยู่ที่ใต้เบาะรถมอเตอร์ไซค์ แกต้องรีบหาทางไปเอามันคืนมาให้ได้ แล้วไปสืบมาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นหน้ามันนัก”
มนตรีพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะขอตัวออกไปทันทีที่เห็นนายแพทย์วัยกลางคน กับตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาหาวรุณ เมื่อถูกถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
วรุณก็บอกทันทีว่าเขาถูกใครสักคนขับรถชนแล้วหนีไป...
พริมาขยับตัวช้าๆ เมื่อรู้สึกว่ากำลังมีอะไรบางอย่างที่เปียกชื้น มาสัมผัสอยู่ตรงผิวแก้มและใบหน้าของตัวเอง มือที่มีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่ โบกไปมาอยู่กลางอากาศเพื่อให้อีกฝ่ายถอยห่าง แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งนั้นส่งเสียงขู่คำรามใส่อย่างไม่พอใจ
สุนัขจรจัดตัวดำเมื่อมยืนแยกเขี้ยวอยู่เหนือศีรษะเธอ...
หญิงสาวผวาลุกขึ้นแล้วตั้งจะผละหนี แต่แล้วก็ต้องชะงักกึก เมื่อความรู้สึกเจ็บร้าวแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย เธอก้มลงสำรวจตัวเองทั้งน้ำตา แผลถลอกปอกเปิกมีให้เห็นทั่วร่างกาย ตั้งแต่หัวเข่ายาวลงไปถึงหน้าแข้ง ข้อเท้าเล็กบวมเป่ง และที่ฝ่าเท้าก็มีคราบเลือดติดอยู่ด้วย
หญิงสาวตวัดสายตากลับขึ้นมามองที่แขนขวา เสื้อทำงานแขนตุ๊กตาของเธอขาดวิ่นจนมองเห็นรอยแผล มันคงไม่ลึกและสาหัสเท่าไหร่นัก เพราะมันมีเพียงเลือดที่แห้งกรังเกาะอยู่รอบปากแผลเท่านั้น
เจ้าของใบหน้าสวยกัดฟันข่มความเจ็บปวด และคลานถอยหลังไปนั่งพิงต้นไม้ เธอนั่งชันเข่าซบหน้าร้องไห้อยู่กับฝ่ามือ โดยไม่สนใจเสียงขู่คำรามของเจ้าสุนัขจรจัด
ตอนนี้ท้องฟ้าในช่วงใกล้ค่ำยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง แต่เธอยังไม่กล้าออกไปจากที่นี่ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญต่อไปนั้นจะมาในรูปแบบไหนอีก
พริมาไม่ใช่คนเข้มแข็ง ไม่ใช่ผู้หญิงกล้าหาญหรือใจเด็ดอะไร ทุกอย่างที่เธอทำลงไปก็เพราะความหวาดกลัว เธอยังไม่พร้อมที่จะตายไปตอนนี้ เธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความเลวร้ายใดๆ ทั้งนั้น แต่โชคชะตาที่โหดร้าย กลับเลือกที่จะวิ่งไล่เธอเข้าเสียแล้ว
แค่อยู่ผิดที่ผิดเวลา หายนะก็เข้ามาสู่ชีวิตที่แสนสงบเข้าจนได้...
พริมาอยากจะกรีดร้องให้ดังสุดเสียง อยากจะวิ่งออกไปกลางถนนให้รถชนตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ดูเหมือนความตายคงจะไม่สาสมกับความโง่เขลาของเธอหรอก
ถ้าเธอไม่สนใจรถคันนั้น แล้วกลับไปที่บ้านเสีย ป่านนี้เธอคงกำลังยุ่งอยู่กับงานที่บริษัทแล้ว ไม่ใช่ต้องมาอาศัยป่าเป็นเสมือนเพื่อนยามยากอย่างเวลานี้
เหยื่อสาวแห่งความเคราะห์ร้ายนั่งร้องไห้โฮอยู่อย่างนั้น เพื่อรอให้ท้องฟ้ามืดมิดมากพอที่จะช่วยอำพรางตัวเองได้ สมองเธอว้าวุ่นจนไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ตัดสินใจว่าจะกลับไปที่บ้าน อย่างน้อยมันก็เป็นที่แรกที่เธอคิดถึงมากที่สุด และต่อให้มันจะต้องกลายเป็นที่สุดท้ายในความทรงจำ พริมาก็คิดว่ามันคุ้มค่าพอแล้ว
เธอพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว…
สายฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าประหนึ่งว่าต้องการปลอบประโลมและโอบอุ้มเธอ ถ้าเป็นในเวลาปกติ พริมาคงหาทางหลีกหนีมัน แต่เวลานี้เธอได้รู้ซึ้งแล้วว่าน้ำฝนทุกหยาดหยดมีค่ามากเพียงใด เธอใช้มันล้างเนื้อล้างตัวที่เต็มไปด้วยเลือดออกจนเกือบหมด แม้จะรู้สึกแสบแผลจนชาไปทั้งตัวก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ย้ำเตือนให้รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
มือเล็กที่สั่นเทาทั้งสองข้างแนบชิดกัน เพื่อส่งน้ำฝนเย็นฉ่ำเข้าปาก ลำคอที่แห้งผากรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมาก กระนั้นท้องไส้ก็ยังโหยหาอาหารที่ช่วยให้อิ่มท้องอยู่ดี เจ้าของแขนเรียวที่เต็มไปด้วยแผลกอดตัวเองแน่นเพื่อคลายความหนาวเหน็บ
น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย นึกน้อยใจกับโชคชะตาของตัวเอง ที่นำพาแต่สิ่งเลวร้ายมาให้ หญิงสาวเจ็บปวดและหดหู่จับใจ ได้แต่พยายามนึกถึงใบหน้าอ่อนโยนของพ่อกับแม่เอาไว้ เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้รู้สึกสิ้นหวังไปมากกว่านี้
ริมฝีปากที่เคยอิ่มสวยเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เธอนั่งรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งความมืดมิดโรยตัวเข้ามาปกคลุมท้องฟ้า สายฝนที่เพิ่งหยุดลงไปสักพักใหญ่เริ่มหลั่งรินลงมาอีกครั้ง แต่ถึงเวลาแล้วที่พริมาจะต้องออกไปจากที่นี่เสียที
แม้ความเจ็บปวดจะแล่นพล่านไปทั่วร่างจนแทบจะทนไม่ไหว แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมแพ้ รีบพาตัวเองเดินลัดเลาะไปตามทางด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มที จนกระทั่งมองเห็นบ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลมากนัก
หญิงสาวยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ความจริงเธออยากจะร้องขอให้คนแถวนั้นออกมาช่วยเหลือ แต่ด้วยความที่ฝนตกหนักและน้ำเสียงเธอก็แหบแห้งเต็มทน ทำให้ไม่อาจทำได้ดั่งใจคิด ที่สำคัญก็ยังไม่รู้ด้วยว่าควรบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนอื่นหรือไม่
เจ้าของร่างระหงรวบรวมพละกำลังเท่าที่พอมีอยู่ รีบวิ่งตรงไปที่บ้าน ต่อให้อ่อนแรงจนล้มถลาไปกองกับพื้นจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็พาตัวเองมาถึงบ้านได้ในที่สุด
ดวงตาคู่สวยหันกลับไปมองข้างหลังอย่างระแวดระวัง ก่อนจะถลาเข้าไปควานหากุญแจสำรองที่มักจะทิ้งไว้ในกระถางต้นไม้หน้าบ้าน รีบเดินโซซัดโซเซไปที่ประตู แล้วไขกุญแจเข้าไปข้างใน พร้อมจัดการล็อกประตูอย่างแน่นหนาทันที
ร่างบางทรุดตัวนั่งลงพิงบานประตู แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรตรวจตราทางเข้าออกทุกทางของบ้านและหน้าต่างเสียก่อน เมื่อมั่นใจว่าประตูหน้าต่างทุกบานแน่นหนาดีแล้ว เธอจึงยอมทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นในห้องโถง และปิดหน้าร้องไห้จนตัวโยน
เมื่อร้องไห้คร่ำครวญให้กับความโชคร้ายของตัวเองจนสาแก่ใจแล้ว พริมาก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ประคองตัวเองลุกขึ้นเพื่อดิ่งเข้าไปในห้องครัว เปิดตู้เย็นหยิบนมสดในเหยือกขึ้นมาดื่มอย่างหิวโหย จากนั้นก็คว้าขนมปังเนยสดที่มีติดตู้เย็นไว้เสมอขึ้นมากินจนเกลี้ยง ตบท้ายด้วยน้ำสะอาดอีกครึ่งค่อนขวด ถึงมันจะยังทดแทนความอยากอาหารไม่ได้ทั้งหมด แต่พริมาไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาทำอาหารดีๆ ให้ตัวเองแน่
เสียงท้องฟ้าคำรามกึกก้อง หญิงสาวรีบยกมือขึ้นปิดหู มองซ้ายมองขวาแบบคนที่หวาดระแวงต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ก่อนจะคลานไปหลบอยู่ในซอกหลืบเล็กๆ ข้างตู้เย็น ซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นแล้วปิดปากร้องไห้เงียบๆ ไม่มีแก่ใจนึกอยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือทำแผลทั้งนั้น
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไล่หลอกหลอนราวกับต้องการให้เธอกลายเป็นคนเสียสติ เธอเอาแต่ร้องไห้และโทษว่าทุกอย่างคือความผิดของตัวเอง จนกระทั่งเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
