บทที่ ๑ หญิงสาวผู้โชคร้าย 2
“แกมันไอ้ลูกหมา! แกมันสารเลว! ไอ้ชั่ว”
พริมาอดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นงี่เง่ามากเหลือเกิน ถ้าเธอเป็นฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเสียเอง คงเลือกที่จะใช้ไม้อ่อน ไม่ใช่แจกลูกตบแล้วก็ตะโกนด่าคนที่อาจจะบดขยี้ตัวเองให้เป็นผุยผงได้เหมือนอย่างที่หล่อนกำลังทำ
“ฉันยอมโดนเธอตบ เพราะถือเสียว่ามันเป็นการขออโหสิกรรมหรอกนะ เสียดายความสาวความสวยของเธอจริงๆ ถ้ารู้ว่าสุดท้ายแล้วต้องทำแบบนี้ ฉันคงตักตวงความสุขจากเธอให้มากหน่อย”
คำพูดของชายปริศนาทำให้อีกฝ่ายมองเขาอย่างหวาดระแวง เช่นเดียวกับพริมาที่กำมือแน่น หัวใจเต้นรัว คำพูดแบบนี้เป็นใครก็พอจะเดาเหตุการณ์ต่อไปได้ น้ำใสๆ เริ่มไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยของคนที่แอบฟังอยู่
“กะ...แกกำลังพูดบ้าอะไร” มีเพียงรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเท่านั้นที่ตอบคำถามของเธอ มือใหญ่ดึงปืนออกมาจากเอว เล็งมายังร่างบอบบางในระยะประชิด
เมื่อพบว่าตรงหน้าคือมัจจุราชที่เตรียมพร้อมจะปลิดชีวิตเธอ ลมหายใจก็แทบขาดหายไป โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้เหนี่ยวไกปืน ขาเรียวทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างหมดแรง
คำพูดเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้ถูกกลืนหายไป ดวงตาเบิกกว้างด้วยอาการช็อกสุดขีด พยายามเปล่งเสียงหาคำพูดมาร้องขอชีวิต แต่มีเพียงปากเท่านั้นที่ขยับพะงาบๆ ราวกับคนใกล้ตาย มือไม้สั่นเทายกขึ้นไหว้ ทว่าคนมองกลับเห็นเป็นเรื่องตลก ไม่ได้คิดจะเวทนาสงสารแต่อย่างใด
ไม่ต่างกับอีกคนที่แอบมองอยู่ พริมาแทบเป็นจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยแบบหยุดไม่ได้ เมื่อได้ยินคำอ้อนวอนของคนใกล้ตาย เธอก็เพิ่งรู้ว่าชีวิตของคนบางคน ดูหดหู่กว่าที่เธอเป็นหลายเท่านัก
“อย่าฆ่าฉันเลยนะ! ฉะ...ฉันกลัวแล้ว ปล่อยฉันไปนะ! ฉันขอร้องล่ะ” สติสตังที่เคยเต็มเปี่ยม บัดนี้มีเพียงความว่างเปล่า ได้แต่พร่ำเพ้อราวกับคนวิกลจริต
“ฉันบอกเธอแล้วนะว่าให้ลืมทุกอย่าง แล้วไปเริ่มต้นใหม่ซะ แต่เธอมันโง่!...โง่มากที่คิดจะเอาเรื่องพวกนี้ไปแฉกับตำรวจ”
“ฉันขอโทษ! ฉันจะไม่ทำแล้ว...แกชอบฉันไม่ใช่เหรอ พาฉันไปด้วยสิ ให้ฉันเริ่มต้นใหม่กับแกไง…นะ พาฉันไปเชียงรายหรือที่ไหนก็ได้ ขอแค่อย่าฆ่าฉันก็พอ ฮือๆๆ”
หญิงสาวคลานเข้าไปกอดขาชายหนุ่มไว้แน่น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นกำลังรบกวนโสตประสาทที่ตื่นกลัวของพริมาอย่างรุนแรง ดวงตามองตรงไปยังภาพเบื้องหน้าอย่างหวาดระแวง ร่างระหงสั่นเทาเป็นเจ้าเข้า
เธอกำลังดูการฆาตรกรรมที่โหดร้ายที่สุด...
พริมาภาวนาขอให้ทั้งสองคนตกลงกันได้ด้วยดีและกลับออกไปจากที่นี่เสีย ส่วนเธอเองก็จะทำแบบเดียวกัน...จากไปและปิดปากเงียบ ไม่คิดจะดิ่งไปโรงพักเพื่อหาเรื่องใส่ตัวอย่างเด็ดขาด
“มันสายไปแล้วอีโง่!” พูดจบเขาก็สะบัดขาหนี แล้วเดินถอยหลังห่างออกไปสองก้าว แววตาแข็งกระด้างไร้ซึ่งความปราณีอีกต่อไป
ปืนที่กำแน่นอยู่ในมือถูกยกสูงขึ้นขนานกับพื้น ก่อนเสียงปืนที่มีอุปกรณ์เก็บเสียงสวมไว้ปลายกระบอกจะดังขึ้นติดกันสองนัด ร่างของเธอคนนั้นกระตุกเฮือกพร้อมกับล้มลงนอนแผ่ ไร้โอกาสร้องขอชีวิต ไร้ซึ่งเสียงปืน และไร้เสียงโหยหวนแห่งความทรมาน
พริมารีบยกมือขึ้นปิดปากแน่น เมื่อเห็นเหยื่อสาวผู้เคราะห์ร้ายผงะหงายหลังลงนอนราบกับพื้น เธอตัวสั่นเพราะเวลานี้สติเตลิดเปิดเปิงไปหมด พยายามตัดขาดการรับรู้จากเหตุการณ์โหดร้ายเบื้องหน้า แต่ก็ยังได้ยินเสียงไอ้ฆาตกรเลือดเย็นดังเข้ามากระทบโสตประสาทอยู่ตลอด
“ฉันไม่ชอบได้ยินใครเรียกว่าไอ้สารเลว และฉันก็รังเกียจคนที่มองเห็นฉันเป็นแค่ไอ้ลูกหมาเสียด้วย!”
ปุ! ปุ!
ร่างบางที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้นกระตุกสองสามครั้ง ก่อนจะแน่นิ่งไป บาดแผลฉกรรจ์ที่ถูกกระหน่ำด้วยปืนเก็บเสียงถึงสี่นัด มีเลือดพรั่งพรูออกมาราวกับก๊อกแตก ส่งกลิ่นคาวตลบอบอวลไปทั่ว
พริมาพยายามละสายตาออกจากภาพสยดสยองและกลิ่นอันสะอิดสะเอียนนั้น แต่เธอก็ช็อกเกินกว่าจะบังคับตัวเองให้ออกไปจากที่ตรงนี้ได้ทันที
ผู้ชายที่เพิ่งได้ชื่อว่าเป็น ‘ฆาตกร’ เหยียดยิ้ม พลางเก็บปืนไว้ที่ตำแหน่งเดิม เขาขยับเข้ามาใกล้ร่างไร้ลมหายใจและทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ชั่วขณะหนึ่งแววตาคู่นั้นดูเหมือนกำลังเสียใจ
พริมาพยายามตั้งสติ เธอเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนปกติหรือคนบ้ากันแน่ แต่เรี่ยวแรงที่มีนั้นถูกสังเวยให้กับภาพเหตุการณ์สยองขวัญไปหมดแล้ว จนเธอไม่สามารถพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นได้เลย ร่างอ่อนแรงเสียหลักล้มทับอะไรบางอย่างที่ส่งเสียงดังกร๊อบ แล้ววินาทีนั้นเองที่ดวงตากร้าวกระด้างหันขวับมามองตรงจุดที่หญิงสาวซ่อนตัวอยู่
ไม่รู้เหมือนกันว่าพละกำลังที่หดหายไปนั้นกลับมาได้ยังไง แต่วินาทีที่เห็นดวงตาน่ากลัวคู่นั้น หญิงสาวก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากบริเวณนั้นทันที แม้จะไม่หันไปมองแต่เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ทำให้เธอรู้ว่าความตายนั้นอยู่ใกล้ตัวเธอมากเหลือเกิน
เจ้าของร่างระหงพยายามวิ่งสุดกำลังเพื่อหนีเพฌชฆาตแห่งความตายไปให้ไกลที่สุด และก็โชคร้ายเหลือเกินที่รองเท้าส้นสูงของเธอเกิดพลิกกะทันหัน ส่งผลให้หญิงสาวผู้น่าสงสารล้มคะมำลงกับพื้น เธอพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างเร็วที่สุด แต่ก็ยังช้ากว่ามือเย็นเฉียบที่คว้าข้อเท้าเอาไว้ แล้วลากร่างบางครูดไปกับพื้นดินอย่างไร้ความเมตตา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน
“กรี๊ด! ปล่อยฉันนะ!” เสียงใสตะโกนดังลั่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า
“รนหาที่ตายเองนะแม่คนสวย!” เจ้าของเสียงกร้าวกระด้างพูดขึ้น พอคนถูกลากหันกลับไปตามเสียงนั้น ก็รู้สึกราวกับมีใครมากระชากหัวใจของเธอออกจากร่าง เพราะตอนนี้หน้าผากมนกำลังแนบชิดอยู่กับปลายกระบอกปืนที่เพิ่งกระชากวิญญาณหญิงสาวผู้โชคร้ายไปเมื่อนาทีก่อน ใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้เจ้าของอาวุธปลิดชีพต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็ไม่มีเวลาที่จะจมอยู่กับความคิดมากนัก
วินาทีนี้มีอย่างเดียวที่ต้องทำคือ...ฆ่าปิดปากเธอซะ!
เมื่อความกลัวพุ่งทะลุเลยถึงขีดสุด มันก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เมื่อถึงทางตันหมาจนตรอกมันยังพร้อมที่จะกัดไม่เลือก ตอนนี้พริมาเองก็พร้อมที่จะสู้เพื่อแย่งลมหายใจของตัวเองคืนมาแล้วเหมือนกัน หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ก่อนจะตัดสินใจตวัดเท้าเข้าที่ตำแหน่งสำคัญตรงเป้ากางเกงไอ้ฆาตกรเต็มแรง
“โอ๊ย!!”
ฆาตกรหนุ่มร้องลั่นอย่างเจ็บปวด มือที่ถือปืนอยู่ลดลงกุมอยู่ตรงระหว่างขา ร่างใหญ่ทรุดนั่งบนพื้นพร้อมกับสีหน้าเหยเก ได้ทีของพริมา หญิงสาวยันเท้าเข้าที่หน้าอกมันอย่างจัง เมื่อร่างนั้นล้มหงายลงไปกองอยู่กับพื้น ขาเรียวก็ซัดที่ก้านคออย่างเต็มข้อ
เมื่อเห็นว่ามันหมดฤทธิ์แล้ว หญิงสาวก็ออกวิ่งอีกครั้งอย่างไม่คิดชีวิต แต่ไอ้คนที่นอนหมดสภาพกลับลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว มันวิ่งตามมาข้างหลังเธอชนิดไม่ยอมลดละ ตอนนี้เธอไม่มีเวลาที่จะร้องไห้หรือลังเลใจอีกแล้ว
ทางเดียวที่จะรอดคือต้องวิ่งไปที่รถให้เร็วที่สุด...
ประตูรถถูกดึงให้เปิดออกอย่างเร่งรีบ แต่ยังไม่ทันได้แทรกตัวเข้าไปนั่ง มือใหญ่ก็กระตุกเรือนผมเธอไว้แน่นจนต้องผงะหงายหน้าเริ่ด แผ่นหลังบางแนบชิดติดกับแผงอกกว้าง ลมหายใจร้อนระอุเป่ารดอยู่ข้างแก้มเนียน เหยื่อสาวทำหน้าสะอิดสะเอียนกับสัมผัสหยาบกร้าน ดวงตาตื่นตกใจมองหาตัวช่วย แต่รอบข้างมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“สวยๆ แบบนี้จะจัดการยังไงดีล่ะ ข่มขืนแล้วฆ่า...หรือว่าฆ่าแล้วค่อยข่มขืนดีล่ะคนสวย” น้ำเสียงหื่นกระหายดังชิดอยู่กับใบหูอีกฝ่าย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความกลัวของพริมามีมากไปกว่านี้อีกแล้ว ตอนนี้เธอต้องใช้สติและงัดทุกเล่ห์กลออกมารักษาชีวิตตัวเอง ให้รอดกลับไปจากที่นี่ให้ได้
“ยะ...อย่าทำร้ายฉันเลยค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจไปยุ่งเรื่องของคุณเลยนะคะ”
“ผู้หญิงมักจะต่อรองเก่งแบบนี้ทุกคนเลยสินะ”
ฆาตกรหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ปลายจมูกโด่งถูไถกับแก้มใสอย่างหื่นโหด หญิงสาวคิดอยากจะกรีดร้องดังๆ แต่พอรู้ว่ามันไม่เกิดประโยชน์จึงเลือกที่จะยืนนิ่งแทน
“ฉันคิดว่าเราคุยกันดีๆ ได้นะคะ”
พูดจบเธอก็ปล่อยมือข้างหนึ่งที่เกาะขอบประตูรถออก แล้วเอื้อมมาลูบต้นขาแข็งแรงอย่างแผ่วเบา ร่างใหญ่ชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะให้เธอสัมผัส มือที่กำผมเธอไว้แน่นเริ่มคลายออกทีละนิดอย่างย่ามใจ
หญิงสาวหอบหายใจแรงและยิ้มอย่างเชิญชวน เมื่อสายตามองเห็นกระเป๋าสะพายบนเบาะรถข้างคนขับ มือเล็กยังคงไล้วนอยู่แถวต้นขาของอีกฝ่าย พร้อมกับหันกลับมาเผชิญหน้า
รอยยิ้มหวานหยดย้อยกับสัมผัสเร่าร้อน ทำให้คนมองตกอยู่ในวังวนแห่งไฟปรารถนา ลืมสิ้นไปชั่วขณะว่าอาวุธที่แสนจะร้ายกาจของผู้หญิงก็คือ มารยาร้อยเล่มเกวียน
มือเล็กซุกซนตวัดขึ้นโอบรอบต้นคอหนาไว้มั่น ก่อนจะดึงให้ขยับตัวเข้ามาแนบชิดกับเธอ แล้วจัดการยกเข่าพุ่งเข้าไปที่ท้องน้อยอย่างสุดแรงเกิด
เมื่ออีกฝ่ายงอตัวลง เธอก็เหวี่ยงข้อศอกเข้าตรงปลายคางแบบพอดิบพอดี รีบโน้มตัวเข้าไปหยิบกระเป๋าออกมาฟาดใส่มันแบบไม่ยั้ง ฆาตกรใจชั่วถอยหลังออกห่างสองสามก้าวเพื่อตั้งหลัก พริมาจึงก้าวเท้าเปลือยเปล่าขึ้นรถแล้วรีบกระชากประตูปิดทันที
คนที่พลาดท่าเพราะมารยาหญิง ตรงรี่เข้ามาทุบกระจกรถอย่างเจ็บใจ แต่คนในรถไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น นอกจากรีบจัดการสตาร์ทเครื่องรถโดยไม่คิดจะรอช้าแม้แต่วินาทีเดียว ความรีบร้อนทำให้มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งเพื่อดึงสติกลับมา เมื่อหันไปเห็นอีกฝ่ายกำลังเล็งปืนมาที่เธอ วินาทีที่ต้องวัดกันระหว่างเธอกับไอ้คนใจเหี้ยม มันช่างบีบหัวใจคนที่กระหายความรอดเสียเหลือเกิน
สวรรค์ยังเมตตาที่ทำให้เธอสตาร์ทเครื่องและออกรถไปเร็วกว่ากระสุนที่พุ่งออกมาจากกระบอกปืนเพียงเสี้ยววินาที เท้าเรียวเหยียบคันเร่งแทบมิดเพื่อมุ่งหน้าตรงไปตามทางอันมืดมิดและไร้จุดหมาย
พริมาทุบพวงมาลัยรถแรงๆ ด้วยความโล่งอก ก่อนจะร้องไห้ออกมาราวกับคนเสียสติ เธออยากตบหน้าตัวเองสักร้อยครั้ง ให้สาสมกับความโง่เขลาแบบไร้ที่ติ รู้ทั้งรู้ว่าเวลากลางคืนในสถานที่เปลี่ยวๆ มันมีหลายอย่างที่อันตรายและไม่ควรเสี่ยง แต่เธอก็ยังปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นเกือบทำให้ต้องมาถูกฆ่าตาย
เมื่อตั้งสติได้ มือบางก็ควานหาโทรศัพท์มือถือข้างตัว หวังจะโทรไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ นิ่งคิดไปสักพักก็สบถออกมาเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะเพิ่งนึกได้ว่าข้าวของทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าสะพาย และเธอก็ทิ้งมันให้นอนไร้ค่าอยู่กับไอ้ฆาตกรคนนั้นไปแล้ว
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายของเธอ มันมีบัตรประจำตัวประชาชนที่บอกชื่อและที่อยู่เอาไว้อย่างชัดเจนทีเดียว!
“บ้าเอ้ย!”
พริมาร้องตะโกนให้กับความเฮงซวยของตัวเอง เส้นทางที่เธอกำลังขับรถอยู่เวลานี้ มีทางกลับออกไปเพียงทางเดียว ซึ่งหมายความว่าถ้าเธอต้องการแจ้งตำรวจ เธอก็ต้องถอยรถกลับไปทางเดิมที่อาจจะมีไอ้ฆาตกรซุ่มรออยู่ แต่ถ้าเธอเลือกมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ก็เท่ากับว่าได้เลือกแล้วเช่นกันว่าจะกลับไปรอคอยความตายอยู่ที่นั่น
ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงมอเตอร์ไซค์ที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้พริมาแทบเสียสติ ตั้งแต่เริ่มขับรถเป็น เธอไม่เคยขับมันด้วยความเร็วสูงขนาดนี้มาก่อน
เวลานี้ไม่มีอะไรให้ลังเลอีกแล้ว เหยื่อสาวตัดสินใจเหยียบคันเร่งจนมิด ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตามองไปที่หนทางข้างหน้าอย่างจดจ่อ
ฉับพลันก็คิดขึ้นมาได้ว่า หากเธอเหยียบเบรกกะทันหัน รถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังตามมาด้วยความเร็วสูงก็คงหมดโอกาสได้ไปต่อ และบางทีเธอเองก็อาจจะบาดเจ็บ หรือไม่ก็ตายจนหมดโอกาสได้หนีต่อไปเช่นกัน
แต่เธอไม่มีอะไรจะเสี่ยงอีกแล้ว...
พริมาหัวเราะทั้งน้ำตาให้กับความดำมืดที่เริ่มขยายตัวเข้ามาควบคุมสมองเธอ ริมฝีปากอิ่มเม้มเป็นเส้นตรง มือบางกำพวงมาลัยรถแน่นจนมือซีดขาว ภาพที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดเวลานี้คือพ่อกับแม่ แต่ท่ามกลางภาพพวกนั้น ยังคงมีเงาของชายที่เธอรักผุดขึ้นทับซ้อนอยู่ด้วย และเธอคงดีใจจนแทบบ้าแน่ ถ้าเขาทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเธอไว้ได้ทัน
หญิงสาวสะบัดศีรษะไล่ความคิดไร้สาระพวกนั้นออกไป เธอพึมพำขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครอง และมั่นใจว่าบิดามารดาที่ยังคงเฝ้ามองดูเธออยู่จากที่ไหนสักแห่ง จะต้องอวยพรให้เธอทำทุกอย่างได้ด้วยความราบรื่น พริมายิ้มให้กำลังใจตัวเอง หลังจากนั้นก็หลับตาแน่น แล้วตัดสินใจเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถทันที!
เอี๊ยด!!! โครม!!!...
กลิ่นไหม้ที่เกิดจากล้อรถเบียดเสียดกับถนนลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงเบรกดังลั่น รถยนต์สีดำจอดนิ่งสนิทอยู่กลางถนน พริมาเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัวจนคิดว่ากระดูกคงแหลกละเอียดไปหมดแล้ว
ดวงตากลมโตหรี่ปรือขึ้นช้าๆ ก่อนจะเริ่มกวาดมองรอบตัวเพื่อให้แน่ใจว่าเธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ หรือหมดลมหายใจไปแล้ว หญิงสาวคลี่ยิ้มด้วยความโล่งใจ
เมื่อพบว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่…
ตอนนี้พริมากำลังติดอยู่ภายในรถยนต์ที่พลิกคว่ำ เธอขยับตัวเพียงน้อยนิดก็ต้องร้องครางอย่างเจ็บปวด ไม่รู้ว่าบนร่างกายมีส่วนไหนบ้างที่บาดเจ็บ
มือบางสั่นระริกที่เต็มไปด้วยเลือด พยายามคลำหาปุ่มปลดล็อกประตู แต่กลับไปกดถูกปุ่มเปิดกระจกรถแทน โชคดีที่หญิงสาวมีรูปร่างที่ผอมบาง เธอจึงพาตัวเองคลานผ่านออกมาทางกระจกที่เปิดกว้างได้อย่างง่ายดาย และมานอนหอบหายใจแผ่วอยู่บนพื้นพักใหญ่
เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว รอบตัวมีแค่เพียงเสียงเครื่องยนต์ กลิ่นไหม้ บรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด หญิงสาวยกมือขึ้นปัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงออกจากใบหน้า แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเรือนผมนุ่มชุ่มไปด้วยเลือด
ฆาตกรใจชั่วคนนั้น...
พริมารีบยันกายลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองไปรอบตัวทันทีที่นึกได้ว่าตัวเองกำลังหนีอะไรอยู่ สิ่งที่เธอเห็นถัดไปจากรถยนต์ของตัวเองคือมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่ล้มคว่ำอยู่ในสภาพพังยับเยิน หญิงสาวพยายามพาร่างกายที่บอบช้ำลุกขึ้นยืนและมองไอ้คนชั่วอย่างหวาดระแวง
ฆาตกรหนุ่มนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้น แขนข้างหนึ่งมีเลือดไหลออกมามากเสียจนนองพื้น บริเวณศีรษะก็ไม่ได้ต่างกัน เธอภาวนาขอให้มันหมดลมหายใจไปเสีย เพราะคนชั่วช้าที่ไร้ความปรานีแบบนี้ อยู่ไปก็หนักแผ่นดินเปล่าๆ อีกอย่างถ้ามันรอด เธอก็คงเป็นฝ่ายไม่รอดไปเสียเอง
“โอ๊ย...” เสียงครางต่ำๆ ทำให้ร่างบางสะดุ้งโหยงและผงะถอยออกห่างทันที
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าฆาตกรชั่วที่นอนอยู่ไม่ไกลนั้นยังไม่ตาย หญิงสาวไม่อยากเสี่ยงอะไรเป็นครั้งที่สอง เธอรีบเดินโซซัดโซเซออกมา ร่างระหงกัดฟันแน่น พยายามข่มความเจ็บปวดไม่ให้มันพลุ้งพล่านไปมากกว่านี้ จริงอยู่ที่อีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็บาดเจ็บสาหัสเกินกว่าจะตามเธอได้ทันแน่
พริมาคิดอะไรไม่ออก ปวดหนึบที่ศีรษะและร่างกายจนน้ำตาเล็ด เธอก้าวเดินต่อไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หมดเรี่ยวแรง ทรุดฮวบลงบนพื้นถนน วินาทีนั้นเธอรู้ดีว่าตัวเองนั้นอ่อนล้าจนหมดโอกาสที่จะก้าวหนีต่อไปแล้ว
เจ้าของลมหายใจรวยรินพยายามคลานลงข้างทางไป การเดินอยู่บนถนนคงดูโง่มากสำหรับสถานการณ์อย่างนี้ ร่างที่สะบักสะบอมต้องการที่กำบังก่อน อย่างน้อยการหลบซ่อนตัวก็คงช่วยให้มันตามหาเธอได้ช้าลง
