บทที่ ๑ หญิงสาวผู้โชคร้าย 1
สาวสวยนัยน์ตาคมย่นจมูก เมื่อนาฬิกาเรือนเล็กที่ประดับอยู่บนข้อมือบาง บอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว วันนี้กว่าจะเคลียร์งานที่เจ้านายจอมโหดมาโยนมาสุมไว้ที่โต๊ะเสร็จ หญิงสาวก็ล้าจนแทบยืนไม่ไหว แต่ถึงอย่างไรก็ยังเลือกที่จะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่น่าพิสมัยมากกว่าการนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่แล้ว
พริมา วีราสุรชัย เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้เพียงปีเดียว แต่โชคดีที่เธอมีความสามารถล้นเหลือ จึงไม่ต้องเดินเตะฝุ่นให้เมื่อยขาเหมือนเพื่อนๆหลายคนที่จบพร้อมกัน ยิ่งเศรษฐกิจตอนนี้ก็ซบเซาจนน่าตกใจ การที่เธอได้เข้ามาทำงานในบริษัทเอกชนขนาดกลางในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการนั้น นับว่าเป็นที่น่าพอใจเหลือเกินแล้ว ที่สำคัญเธอเองก็มีแค่ตัวคนเดียว เงินเดือนเกือบสองหมื่นบาทจึงมากพอสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
พ่อกับแม่ของพริมาเสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งตอนนั้นหญิงสาวเพิ่งเรียนจบมัธยมปลาย และกำลังจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ตอนแรกเธอคิดว่าคงจำเป็นต้องหยุดเรียน และหางานทำเลี้ยงตัวเอง แต่คู่กรณีที่มีส่วนทำให้บิดามารดาเธอต้องจากไป ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินก้อนโต และพริมาเองก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธเงินก้อนนั้น เพราะมันมากพอที่จะช่วยให้เธอเรียนต่อจนจบ
แต่หญิงสาวก็ระลึกอยู่เสมอว่าเงินที่ได้รับเป็นการชดใช้นั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่เธอต้องเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งไปถึงสองคนในเวลาเดียวกัน
ชีวิตของพริมาไม่มีอะไรที่หวือหวาหรือน่าสนใจ เธอใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย และตัดตัวเองออกจากวงสังคมเพราะมีโลกส่วนตัวสูง และไม่ชอบที่จะสุงสิงกับใครเท่าไหร่นัก ซึ่งก็ทำให้เธอกลายเป็นคนไร้เพื่อนฝูง ถึงแม้จะได้รู้จักกับใครหลายคนในบริษัท แต่มันก็เป็นไปในฐานะเพื่อนร่วมงานที่ต้องพึ่งพาศัยกันเท่านั้น ไม่ใช่ในฐานะเพื่อนสนิทที่สามารถปรึกษากันได้ทุกเรื่อง
แต่ก็นั่นแหละ...พริมาไม่ได้ต้องการเพื่อน เธอคิดว่าการมีใครสักคนมาคอยเดินอยู่ข้างกายหรือคอยไถ่ถามเรื่องส่วนตัว มันคงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะเธอที่ผ่านมาเธอสามารถแก้ปัญหามาด้วยตัวเองตลอด และบางทีการไม่สุงสิงกับใครในแบบที่ผู้หญิงทั่วไปควรจะเป็น มันทำให้คนภายนอกมองว่าเธอเย่อหยิ่งเสียด้วยซ้ำ
แม้ว่าความจริงแล้วหญิงสาวไม่ใช่คนถือตัวอย่างที่ใครหลายๆ คนเข้าใจ ทุกอย่างมันเกิดจากความเสียใจที่ต้องเสียพ่อแม่ และผู้ชายที่เธอรักมากที่สุดในอดีต ทำให้เธอนั้นต้องจมอยู่กับความทุกข์ จนไม่สามารถเปิดตัวเปิดใจ มองสิ่งสวยงามที่อยู่รอบๆ ตัวได้เลยตั้งแต่นั้นมา...
เขาคือนายตำรวจหนุ่มที่แสนสุภาพอ่อนโยน และยินดีทำทุกอย่างเพื่อเธอเสมอ ยามที่เธอร้องไห้คิดถึงพ่อกับแม่ ยามที่ท้อแท้กับการอยู่คนเดียว พริมาก็มีเพียงเขาที่คอยสร้างเสียงหัวเราะขึ้นมาแทนที่หยดน้ำตา แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับเดินเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเครียดขรึม และพูดแค่เพียงว่า “เราเลิกกันเถอะ” จากนั้นเธอก็ไม่เคยได้พบกับเขาอีกเลย เขาทำเหมือนกับว่าเวลาสามปีที่คบกันมานั้นเป็นเพียงแค่การเขียนได้อารี่ หากเบื่อแล้วก็แค่ฉีกมันทิ้งไป แต่สำหรับเธอนั้นไม่ใช่
สำหรับเธอ...เขาคือพลัง คือกำลังใจ คือผู้ชายคนเดียวที่เป็นเหมือนทุกอย่างในชีวิต แต่เมื่อทุกอย่างในชีวิตหายไป พริมาก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่ถูกบังคบให้เดินต่อไป ทั้งที่ไม่อยากเดินก็ตาม
ตั้งแต่วันนั้นวันที่เขาเดินมาพูดประโยคสั้นๆ กับเธอ ผู้ชายที่เธอรักที่สุดก็ไม่เคยปรากฎตัวให้เธอเห็นอีกเลย พริมาคิดว่าบางทีชายหนุ่มอาจกำลังมีความสุขอยู่กับคนรักของเขาก็ได้...
เจ้าของร่างบางระหงถอนหายใจยาว ขยับกระเป๋าสะพายข้างแบบไร้ยี่ห้อที่กำลังเลื่อนลงจากไหล่ให้กระชับขึ้น นึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่ หัวใจเธอก็เจ็บแปลบขึ้นมาเสียทุกครั้ง หญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความเศร้าหมองทิ้งไป และรีบก้าวเท้าไปที่รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ ที่เคยเป็นของมารดา
แม้เหนื่อยล้าจนแทบอยากจะลงไปนอนแผ่หราอยู่กับพื้น แต่ก็จำต้องฝืนทนทำหน้าที่สารถีให้ตัวเองเช่นทุกวัน หญิงสาวไม่ได้ขับรถเร็วมากนัก เพราะที่ทำงานกับบ้านของเธอไม่ได้อยู่ไกลกันเท่าไหร่ ยิ่งในเวลาดึกๆ แบบนี้ รถบนถนนแทบจะไม่มีให้เห็นเลยด้วยซ้ำ
มือบางเอื้อมไปเปิดเพลงที่ชื่นชอบให้ดังขึ้นกว่าเดิมอีกนิด และตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทางเลี้ยวเข้าซอยบ้านของเธอที่ค่อนข้างเปลี่ยว ขับรถเข้าไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง หญิงสาวก็ต้องชะลอความเร็วลง
คิ้วเรียวขมวดมุ่น สายตามองตรงไปยังรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ชิดริมถนน ในลักษณะเหมือนเกิดอุบัติเหตุ หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่มั่นใจนัก ก่อนตัดสินใจลดกระจกรถลงและพยายามมองฝ่าความมืดออกไป
แสงไฟจากรถเธอทำให้รู้ว่ารถอีกคันเปิดประตูด้านคนขับทิ้งไว้…
พริมาคิดว่าบางทีเจ้าของรถอาจจะลงไปทำธุระส่วนตัวตรงข้างทางที่มีป่าเตี้ยๆ นั่น ก็เลยเลิกให้ความสนใจ มือบางขยับไปกดปุ่มเพื่อเลื่อนกระจกรถขึ้น แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเพียงแค่นั้น เพราะได้ยินเสียงห้าวทุ้มของใครสักคนกำลังตะโกนอย่างหัวเสีย ปะปนมากับเสียงของผู้หญิงที่ดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อลองชะโงกหน้าไปสังเกตดูให้ดี เธอก็พบว่าข้างรถอีกคันมีรองเท้าของผู้หญิงตกอยู่ด้วย ลางสังหรณ์มันบอกว่าเจ้าของรองเท้าคงไม่ได้เจตนาถอดมันทิ้งไว้เอาแบบนี้แน่
นอกเสียจากมันจะหลุดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น...
ยิ่งได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง พริมาก็ยิ่งมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นเสียงของเจ้าของรองเท้าคู่นี้แน่ หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะรู้ว่าในสถานการณ์และเวลาแบบนี้ เธอไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เสียงโวยวายของผู้หญิงคนนั้น ทำให้เธอคิดว่าหล่อนคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก ลำพังผู้หญิงตัวคนเดียวหากจะต้องต่อสู้กับผู้ชายคงลำบากน่าดู และถ้าเกิดผู้หญิงคนนั้นถูกทำร้ายจริง พริมาก็คงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต เพราะเธอเห็นเหตุการณ์แต่กลับปล่อยให้มันผ่านเลยไป เพียงแค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
คิดได้แบบนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจเปิดประตูรถออกเพื่อลงไปดูต้นตอของเสียง เธอรู้ดีว่าในสถานการณ์ที่ล่อแหลมแบบนี้ไม่ควรเข้าไปเสี่ยง แต่อะไรบางอย่างมันดึงดูดเธอให้ทำแบบนั้น
เท้าเรียวภายใต้รองเท้าส้นสูงสีดำ เดินเข้าไปใกล้ที่มาของเสียงอย่างช้าๆ เมื่อชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างในรถก็พบเพียงความว่างเปล่า แต่ทันใดนั้นเองหางตาก็เหลือบไปเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ใกล้ๆ
หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้เตี้ยๆ สูงเพียงครึ่งแข้ง เพื่อตามหาเจ้าของรถทั้งสองคันนั้น ยิ่งฝีเท้าเหยียบย่ำเข้าไปใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ เสียงหัวใจก็ยิ่งเต้นระรัวหนักขึ้นตามไปด้วย แต่กระนั้นเธอก็ยังก้าวไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะยอมหันหลังกลับ
พริมาเดินต่อไปอีกเพียงเล็กน้อยก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่ แถวนั้นแม้จะเปลี่ยวและดูอันตราย แต่ก็ยังมีแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าข้างทางที่ช่วยให้มองเห็นสิ่งรอบตัวได้อย่างแจ่มชัดทีเดียว เธอมองเห็นใบหน้าคมคร้ามที่เต็มไปด้วยโทสะของชายหนุ่มอย่างชัดเจน แต่กับหญิงสาวคนนั้น เธอเห็นแค่เพียงทางด้านหลัง เนื่องจากอีกฝ่ายยืนหันหลังให้อยู่ เธอรู้เพียงว่าผู้หญิงคนนั้นสวมชุดกระโปรงยาวคลุมเข่าเท่านั้น
ตอนนี้เองที่พริมารู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เดินลงมาดู เพราะสิ่งที่เห็นนั้นมันดูน่ากลัวขึ้นทุกขณะ คำพูดที่ได้ยินมันก็เป็นสิ่งที่เธอไม่ควรจะรับรู้เลยสักนิด แต่จะให้วิ่งกลับออกไปตอนนี้ก็คิดว่าคงไม่ใช่หนทางที่ดีนัก ด้วยกลัวว่าความตื่นเต้นและกดดันจะทำให้เธอพลาดขึ้นมา จนสองคนนั้นรู้ว่าสิ่งที่กำลังคุยกันอยู่มันไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป แล้วถ้าพวกนั้นรู้ว่าเธอแอบซุ่มดูอยู่ เธออาจจะตกอยู่ในอันตรายก็ได้...
“เอาเอกสารพวกนั้นกลับคืนมานะ! แกไม่มีสิทธิ์มาห้ามฉัน” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของผู้หญิงคนนั้น ทำให้พริมาต้องรีบเดินไปแอบอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ๆ ตั้งใจฟังบทสนทนาที่ดุเดือดของคนทั้งคู่ทันที
“เธอแน่ใจเหรอว่าฉันไม่มีสิทธิ์ ลืมไปแล้วรึไงว่าฉันก็เป็นผัวคนหนึ่งของเธอนะเว้ย!” ชายหนุ่มตะคอกกลับ มือหนายื่นมากระชากต้นแขนเธอคนนั้นเข้าไปปะทะกับอกกว้าง แต่หล่อนกลับผลักไสอย่างไม่ใยดี และตวัดมือขึ้นตบไปบนใบหน้าคมคายนั้นสุดแรง
“อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวฉัน! ฉันนอนกับแกก็เพราะคนที่ฉันรักขอร้องเท่านั้น” น้ำเสียงที่ดังขึ้นฟังก็รู้ว่าคนพูดโมโหแค่ไหน แต่สิ่งที่พริมาจับได้มากกว่านั้น มันคือความเสียใจ
“เธอมันโง่ ทำไมต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากด้วยหา!”
“แกคิดว่าฉันจะยอมอยู่เฉยๆ เหรอ...ในเมื่อฉันรู้ดีอยู่แก่ใจว่าแกเป็นคนฆ่าเขา แล้วก็ทำให้มันดูเหมือนอุบัติเหตุ!” ประโยคต่อมาของผู้หญิงคนนั้นทำให้พริมาเสียวสันหลังวาบ เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองโง่แค่ไหนที่เดินลงมาดู แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังคงนั่งนิ่งดูเหตุการณ์ต่อไปเงียบๆ ทั้งที่หัวใจเต้นรัวราวกับตีกลอง
“ฉันบอกเธอไปแล้วนะว่ามันหาเรื่องใส่ตัวเอง มันคิดจะทรยศเจ้านายฉันก่อนนี่หว่า!” ผู้ชายคนนั้นเถียงกลับอย่างไม่ลดละ
“เขาทำแบบนั้นก็เพราะฉันนี่แหละ! ฉันเป็นคนบอกให้เขาเลิกยุ่งกับพวกชั่วช้าอย่างแก แล้วยอมมอบตัวกับตำรวจซะ”
“สรุปว่ายังไงเธอก็จะเอาหลักฐานพวกนี้ไปแจ้งความให้ได้เลยใช่มั้ย!” เสียงของผู้ชายคนนั้นดังลั่น จนคนที่แอบฟังสะดุ้งเฮือก
“ก็เออน่ะสิ! ฉันไม่ปล่อยให้เขาให้ตายฟรีหรอก” พูดจบหญิงสาวก็รีบตรงเข้าไปยื้อแย่งซองเอกสารสีน้ำตาลมาจากมือชายหนุ่มทันที พริมาสังเกตเห็นเขามองหล่อนด้วยสายตาแข็งกร้าวจนน่ากลัว แต่ก็ยังไม่วายใช้ไม้อ่อนเพื่อหวังว่าอาจจะตกลงกันได้ด้วยดี
“หยุดเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย ฉันไม่อยากทำร้ายเธอนะ” น้ำเสียงนั้นฟังดูเยือกเย็นจนพริมาต้องบีบมือตัวเองแน่น
“หึ! แล้วทีแกล่ะ! แกฆ่าเขาทำไม...แล้วที่บอกว่าไม่อยากทำร้ายฉันน่ะ แกคิดจะฆ่าปิดปากฉันรึไงฮะไอ้สารเลว!” อีกฝ่ายตะโกนราวกับคนเสียสติ
คนที่ถูกเรียกว่า ‘ไอ้สารเลว’ คลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอากระดาษจากซองเอกสารออกมาฉีกท่ามกลางสายตาของผู้หญิงคนนั้น แล้วนำมันใส่กลับเข้าไปในซองเหมือนเดิมอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มีชิ้นส่วนใดตกลงพื้น หลักฐานพวกนี้ไม่ได้มีอิทธิพลพอที่จะส่งผลกระทบอะไรกับเจ้านายของเขาหรอก แต่ที่เขากำจัดมันเพราะแค่อยากเห็นผู้หญิงตรงหน้าดิ้นพล่านเป็นสุนัขโดนน้ำร้อนลวกเท่านั้นเอง
“คิดเหรอว่าเอกสารปัญญาอ่อนพวกนี้จะช่วยอะไรได้” เขาบอกพร้อมกับเหยียดยิ้ม เมื่อเห็นสายตาผิดหวังของคนตรงหน้า
ทันทีที่ความอดทนหมดลง หญิงสาวคนนั้นก็เงื้อมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง เสียงสบถที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน พริมาที่แอบมองอยู่ถึงกับต้องกลั้นหายใจ เพราะกลัวว่าหญิงสาวอาจจะถูกทำร้ายได้
