ตอนที่ 4 หวง
หลายวันผ่านไป
ภายในห้องโถงใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายในชุดราตรีที่ต่างพูดคุยสังสรรค์และเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน วันนี้เป็นวันเกิดของนักธุรกิจอาวุโสท่านหนึ่ง เหล่านักธุรกิจชื่อดังทั่วประเทศจึงถูกเชิญมาร่วมงาน ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงพิธาด้วย
“ปะป๊า ทำไมหนูต้องมาด้วยล่ะคะ คนเยอะมากเลย” เสียงหวานใสของหญิงสาวที่ได้รับหน้าที่เป็นคู่ควงเข้างานของพิธาพูดขึ้น
เธอมองดูผู้คนมากมายในห้องที่ให้จัดงานของโรงแรมระดับห้าดาวอย่างตกตะลึงเพราะแต่ละคนสวย ๆ ทั้งนั้น หลายคนเธอคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีจากหน้าจอทีวี ทั้งดารา นางแบบ และนักการเมืองแถวหน้าก็มารวมตัวกันในที่แห่งนี้ เคียงรักย้อนมองตัวเองที่ยังแทบไม่ได้ครึ่งความสวยของพวกหล่อนเลย เธอก็เริ่มรู้สึกประหม่ามือเล็กจึงกำแน่นเข้ากับต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่มข้างกาย
“แล้วถ้าไม่ให้หนูมากับปะป๊า จะให้ปะป๊าไปหาสาวที่ไหนมาควงเข้างานล่ะครับ” พิธาก้มมองคนข้าง ๆ
ตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นเคียงรักก็ระวังตัวมากขึ้นเวลาอยู่ใกล้เขา และหญิงสาวมักจะหลบสายตาของเวลาที่เผลอมองสบกัน แต่ก็ยังดีหน่อยที่เคียงรักไม่ได้ถึงกับทำตัวไม่เหมือนเดิม เธอยังคงคุยและทำตัวน่ารักกับเขาเหมือนที่ผ่านมา
“ปะป๊ามีสาวเยอะจะตายค่ะ” เคียงรักตอบกลับในทันทีพลางปล่อยมือออกจากการเกาะกุมเขา เธอรู้ดีว่าคนอย่างปะป๊าน่ะเหรอจะไม่มีสาว ๆ ตามติดแจ
สำหรับความคิดของเคียงรัก ปะป๊าพิธาของเธอนั้นมีสาวเยอะมาก แค่เขาพยายามทำให้เธอไม่เห็น แต่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้
“เอาอะไรมาพูดครับ หืม” พิธาเลิกคิ้วสงสัย
อะไรทำให้เคียงรักเข้าใจว่าเขามีผู้หญิงเยอะ
“ก็ปะป๊าทั้งหล่อ รวย มีชื่อเสียง จะมีผู้หญิงที่ไหนไม่สนใจล่ะคะ”
“งั้นก็รวมถึงหนูด้วยสิที่สนใจปะป๊า ใช่ไหมครับ” พิธากระตุกยิ้มมุมปากขณะเอ่ยแซวลูกเลี้ยงสาว
“ไม่ใช่สักหน่อยค่ะ” เคียงรักรีบส่ายหน้าไปมาพัลวัน
“ปะป๊าไม่มีใครครับ มีก็แค่หนึ่งคืนจบ” เขาบอกเธออย่างตรงไปตรงมาเพราะไม่อยากให้เธอมารู้เอาทีหลัง เผื่อว่าในอนาคตพวกเขาสานสัมพันธ์กันอย่างจริงจังจะได้ไม่มีปัญหา
“วันไนต์สแตนด์น่ะเหรอคะ” เคียงรักเงยหน้าถาม เธอพอรู้จักความสัมพันธ์แบบนี้เพราะเพื่อนสาวของเธอใช้บ่อย
“ครับ แต่ว่าหนูรู้จักคำนี้ได้ยังไง” พิธาพยักหน้ารับ ก่อนจะจ้องมองหญิงสาวเขม็ง เขาเข้าใจว่าเธอไม่น่าที่จะรู้จักคำพวกนี้เสียอีก
“ปริมชอบพูดบ่อย ๆ ค่ะ” เคียงรักอธิบาย เพื่อนสนิทที่สุดในกลุ่มของเธอเป็นผู้หญิงเซ็กซี มีผู้ชายเข้าหาตลอด แม้นิสัยของทั้งคู่จะต่างกันมาก แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกันตั้งแต่เรียนปีหนึ่งจนจนถึงปีสี่
“แต่หนูคงไม่ได้คิดที่จะลองใช่ไหมครับ เพราะปะป๊าจะไม่มีวันอนุญาตแน่ ๆ” พิธาพูดเสียงเข้ม
“หนูไม่กล้าหรอกค่ะ มันน่ากลัว” แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ แต่เธอคิดว่าเรื่องแบบนี้ต้องน่ากลัวและเจ็บแน่นอน
“ก็ดีแล้วครับที่ไม่คิด เพราะถ้าหนูไปลองกับใครปะป๊าจะทำโทษ”
“ทำโทษด้วยเหรอคะ” เคียงรักทำหน้างงเพราะเขาไม่เคยลงโทษเธอเลยสักครั้ง
“ใช่ครับ ปะป๊าจะทำโทษหนู”
“ทำโทษยังไงเหรอคะ” เธอเอียงคอถามด้วยความอยากรู้ในทันที โดยไม่มีท่าทีหวั่นเกรงแม้แต่น้อย
“หนูก็ลองไปทำสิครับ แล้วหนูจะรู้ แต่ปะป๊าบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าหนูทำเมื่อไหร่ ปะป๊าคนนี้ของหนูจะหายไป แต่หนูจะได้ปะป๊าคนใหม่มาแทน”
พิธาเอื้อมมือลูบศีรษะทุยที่มีเส้นผมสีคาราเมลนุ่มลื่นของเคียงรัก พร้อมกับส่งยิ้มอย่างอบอุ่นไปให้เธอ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่างแตกต่างจากน้ำเสียงที่ดูจริงจัง บ่งบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่คำขู่ แต่พิธานั้นเอาจริง
“หนูไม่ลองอยู่แล้วค่ะ เพราะหนูไม่อยากเสียปะป๊าไป” เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เคียงรักก็ส่ายหน้าไปมาทันที
“น่ารักมากเลยครับเด็กดี”
“แต่คนที่ทำต้องรักกันใช่ไหมคะถึงทำได้ ปะป๊ารักพวกเขาเหรอ” เคียงรักเงยหน้าถามตาแป๋ว
“วันไนต์สแตนด์หมายความว่ามีอะไรกันแล้วแยกทางครับ ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เกิดจากความต้องการ” พิธาอธิบายให้เคียงรักเข้าใจ
“ที่ปะป๊าทำคือแบบนี้เหรอคะ แค่ต้องการ แต่ไม่ได้รัก”
“ครับ ปะป๊าแค่ต้องการและปลดปล่อย ไม่ได้เกิดจากความรัก เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วปะป๊าก็จ่ายเงิน เช้าวันใหม่ก็แยกจากกันไป ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก”
พิธามองผู้คนที่เดินผ่านไปมาในงานวันเกิดที่มีคนมากมายอยู่เต็มงาน แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาอธิบายเกี่ยวกับเรื่อง ‘วันไนต์สแตนด์’ ให้กับลูกเลี้ยงตัวเองฟัง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
และดูเหมือนมันจะไม่จบลงง่าย ๆ เพราะยิ่งตอบเคียงรักก็ยิ่งสงสัย และถามมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ที่ปะป๊าห้ามก็คือห้ามวันไนต์สแตนด์ใช่ไหมคะ แต่ถ้าเกิดจากความรักก็คือหนูสามารถทำได้ หนูเข้าใจถูกต้องไหมคะ”
“ไม่ถูกครับ ไม่ถูกต้องอย่างยิ่งเลย” จู่ ๆ น้ำเสียงเขาก็กระด้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“อ้าว” เคียงรักขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
“ห้ามทำเรื่องแบบนี้กับใครทั้งสิ้น หนูจำที่ปะป๊าบอกได้ไหมว่าห้ามมีแฟน”
“จำได้ค่ะ ถ้ามีต้องให้ปะป๊าดูก่อน ถ้าผ่านก็คบกันได้ แต่ในระหว่างนั้นห้ามล่วงเกิน ให้ได้แค่จับมือ กับกอด หนูจำได้”
“ใช่ครับ เรื่องที่พูดถึงกันอยู่เนี่ย หนูรู้ใช่ไหมว่ามันคือเซ็กซ์” เขาไม่อยากอ้อมค้อมอีกต่อไปจึงพูดคำว่า ‘เซ็กซ์’ ออกมาตามตรง
“รู้ค่ะ” เคียงรักพยักหน้ารับ แม้จะรู้เพียงแค่ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้เราเกิดมาลืมตาดูโลก และต้องกระทำกับคนรัก แต่วันนี้ก็รู้เพิ่มมาอีกว่าเราไม่รักกันก็สามารถทำได้ด้วย
“และปะป๊าบอกว่าไงครับ ตอนที่คบกับแฟนให้จับมือหรือกอดได้หลังจากที่ปะป๊าอนุญาตแล้ว และจูบทำได้ไหมครับ”
“ไม่ได้ค่ะ เพราะปะป๊าบอกแค่สองอย่าง” เคียงรักชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วประกอบคำพูด
“ใช่ครับ หนูคิดดูว่าขนาดจูบปะป๊ายังไม่อนุญาต แล้วเรื่องเซ็กซ์ปะป๊าจะอนุญาตเหรอครับ หืม” พิธาถามเจ้าตัวกลับ และหางตาก็เริ่มเห็นว่าน้องชายตัวดีกำลังเดินมองหาเขาอยู่ในงาน
“ก็... ก็คงจะไม่อนุญาต”
“ถูกต้องครับ ถ้าปะป๊าอนุญาตก็คือตอนที่หนูแต่งงานแล้ว ถึงตอนนั้นปะป๊าจะอนุญาตให้หนูมีเซ็กซ์กับผู้ชายที่เป็นแฟนหนูได้”
ถึงแม้จะไม่อยากให้เธอมีกับใครเลยก็เถอะ
“ตอนแต่งงานเลยเหรอคะ”
“ใช่ครับ หนูไม่โอเคเหรอ”
“เปล่าค่ะ ก็เห็นว่าปริมอายุเท่ากับหนู แต่ปะป๊าห้ามไม่ให้หนูมีจนกว่าจะแต่งงานก็เลยสงสัยนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“หนูรู้ไหมครับว่าทำไมปะป๊าถึงไม่ยอมอนุญาต” พิธาหันไปหาคนด้านข้างที่หยิบน้ำส้มจากถาดเมื่อมีพนักงานเดินมาเสิร์ฟ
ยังดีที่ตรงนี้เป็นมุมลับตาคน ผู้คนส่วนมากมักจะไปกลาง ๆ ห้องโถงกัน ชิดริมห้องจึงไม่ค่อยมีคน
“ถ้าหนูไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป ก็คงเพราะปะป๊าเป็นห่วงและรักหนูใช่ไหมคะ” เคียงรักเอ่ยถามอย่างคาดหวังว่าปะป๊าของเธอจะตอบกลับมาว่า ‘ใช่’
“หึ เก่งมากครับ แต่หนูลืมอีกอย่าง ไม่ใช่แค่ห่วงกับรัก” พิธาลูบศีรษะของเคียงรักอีกครั้งอย่างเอ็นดู
“ยังมีอีกเหรอคะ” เคียงรักยิ้มเมื่อที่เธอตอบออกไปนั้นถูกต้อง เขาทั้งห่วงทั้งรักเธอตามที่เธอคาดหวัง
แต่อีกหนึ่งสิ่งคืออะไร ความสงสารเธอหรือเปล่าที่ถูกพ่อแม่และน้าทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก และปล่อยเธอไว้ตัวคนเดียว
“งงเหรอว่ายังมีอะไรอีก” พิธายิ้มเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มทำหน้าครุ่นคิด
“เพราะความสงสารเหรอคะ”
“ทำไมหนูถึงคิดว่าเพราะความสงสารล่ะครับ ปะป๊าจะสงสารหนูทำไม” พิธาถามอย่างสงสัย
“เพราะหนูไม่มีพ่อแม่หรือญาติที่ไหนไงคะ เพราะไม่มีใครต้องการหนู ถ้าแม่เลี้ยงไม่ทิ้งหนูไว้กับปะป๊า หนูยังคิดไม่ออกเลยว่าตอนนั้นหนูจะใช้ชีวิตต่อได้ยังไง” เคียงรักตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ก่อนจะยกน้ำส้มในมือขึ้นกระดกเข้าปากรวดเดียวจนหมดราวกับจะดื่มย้อมใจ
“ไม่เศร้านะคะ ตอนนี้หนูมีปะป๊าแล้วไงคะ ไม่ร้องนะคะคนดี ปะป๊าไม่ชอบน้ำตาของหนู” พิธารั้งร่างเล็กของเคียงรักเข้ามากอดไว้หลวม ๆ เพราะเขาแอบเห็นน้ำตาที่คลอหน่วยของเธอ
ในยามที่พิธานั้นต้องการปลอบหรือง้อเคียงรัก เขามักจะใช้คะ ขาปลอบเธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอบอุ่นแบบนี้
“ถ้าไม่ใช่ความสงสาร แล้วเพราะอะไรเหรอคะ อีกหนึ่งอย่างที่ว่าบอกหนูได้ไหม” เคียงรักกอดตอบร่างกำยำแล้วเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา
“ได้สิครับ” พิธาพยักหน้าให้ขณะที่ลูบศีรษะเล็กปลอบเธอไปด้วย
“รีบบอกสิคะ หนูอยากรู้แล้ว” เคียงรักเร่งเร้าด้วยความใคร่รู้
“เพราะว่า...” พิธากำลังจะบอกหญิงสาวแต่ก็มีเสียงข้างหลังดังขัดขึ้นเสียก่อน
“พี่มัวทำอะไรอยู่ มาถึงตั้งนานแล้วทำไมมายืนอยู่กับส้มกันสองคนเนี่ย มีแต่คนถามถึงพี่ แต่พี่มาหลบคนอยู่ตรงนี้เนี่ยนะ”
เจ้าของเสียงนี้คือพิธาน เขาเดินวนหาพี่ชายมาตั้งนานแล้ว แต่พอใกล้จะถึงตัวพิธาเขาก็โดนคนนั้นคนนี้เรียกไปคุย ตลอดการคุยก็แอบเหลือบมองพี่ชายตัวเองที่ทำตัวน่าด่าจริง ๆ มาหลบมุมคุยกะหนุงกะหนิงกับลูกเลี้ยงสาว แล้วปล่อยให้น้องชายต้องคุยธุรกิจอยู่คนเดียว เขาคุยกับคนใหม่ ๆ ที่เข้ามาร่วมวงสนทนาจนสมองเริ่มประมวลผลไม่ทัน แล้วยังต้องคอยตอบคำถามนู่นนี่จนไมเกรนจะขึ้น แต่พี่ชายของเขากลับมายืนคุยสบาย ๆ กับสาวจนถึงขั้นกอดกันกลม เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบผละออกมาดื้อ ๆ แล้วตรงเข้ามาหาเป้าหมายทั้งคู่
“มาถึงก็บ่น” พิธามองน้องชายที่มาขัดจังหวะอย่างเซ็ง ๆ พร้อมถอนหายใจใส่ บ่งบอกให้รู้ว่าเขากำลังอารมณ์เสียเพราะเคียงรักผลักเขาออกอย่างแรงเมื่อได้ยินเสียงพิธาน
“ไม่ต้องมาถอนหายใจใส่ผม ผมคุยธุรกิจอยู่คนเดียวตั้งนาน ถามอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ต้องคิดผลกำไรคิดนู่นคิดนี่อยู่ได้ พี่เข้าใจไหมว่าผมปวดหัวกับตาแก่พวกนั้น แทนที่จะปล่อยให้ไปคุยกับสาว ๆ ในงาน” พิธานบ่นใส่พี่ชายด้วยอารมณ์เซ็ง ๆ ไม่ต่างกัน
“เออ ๆ เดี๋ยวตามไป” เขาเอ่ยไล่น้องชายทันที
“เฮียพิธานคะ ความผิดส้มเองที่ชวนปะป๊าคุย อย่าว่าปะป๊าเลยนะคะ” เคียงรักเอ่ยปากช่วยพ่อเลี้ยงของเธอ
“ครับน้องส้ม ยังไงก็รีบบอกปะป๊าน้องส้มด้วยนะว่ารีบไปช่วย น้อง ชาย ทำ งาน ได้ แล้ว” พิธานเอ่ยย้ำพร้อมกับเว้นวรรคในประโยคสุดท้ายเน้น ๆ ก่อนที่จะเดินจากไป
“ไม่ต้องไปฟังมันมากหรอก คงอารมณ์เสียจากพริมมาด้วย” พริมคือน้องสาวข้างบ้านที่มักจะชอบจิกกัดและเป็นคู่ปรับของน้องชายเขา
“ค่ะ ปะป๊าก็รีบไปช่วยเฮียพิธานทำงานเถอะค่ะ”
“อื้ม แต่หนูยังอยากรู้อีกหรือเปล่า อีกหนึ่งอย่างที่หนูบอกไม่ครบคืออะไร”
“อยากค่ะ แต่ปะป๊าต้องไปทำงานนี่นา หนูค่อยฟังตอนกลับบ้านก็ได้”
“ถ้าอยากรู้ตอนนี้ก็ขยับมาหาปะป๊าใกล้ ๆ สิครับ” พิธายกยิ้มออกมา เมื่อสิ้นสุดคำพูดเขาก็เดินเข้าไปใกล้ร่างเล็ก แต่ก็ยังใกล้ไม่มาก ทำให้เขานั้น...
“อ๊ะ ปะป๊า” เคียงรักอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อโดนเขาดึงเข้าหาตัว จนร่างกายเธอเซไปชนกับตัวเขา
“อื้ม น้ำหอมวันนี้หอมจังเลยนะครับ หอมชื่นใจจริง ๆ” พิธาก้มหน้าใช้ปลายจมูกโด่งรั้นของตัวเองสูดดมไปยังซอกคอขาวเนียนของเคียงรัก ก่อนจะเอาปลายจมูกเขี่ยเล่นที่ปลายหูของหญิงสาวไปด้วย
“ปะป๊าคะ เดี๋ยวใครมาเห็นแล้วถ่ายรูปไปลงโซเชียลหรอกค่ะ” เคียงรักรีบร้องห้ามเมื่อทรงตัวได้
“ไม่ต้องกลัวครับ ไม่มีใครกล้าหรอก” ใครกล้าลงข่าวที่เกี่ยวกับเขาในทางเสีย ๆ หาย ๆ แล้วไม่กลัวตกงานก็ลองดู
“ปะป๊าต้องทำงาน รีบบอกหนูแล้วไปทำงานเถอะค่ะ” ร่างเล็กพยายามดันตัวเขาออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะอ้อมแขนแข็งแรงโอบรัดเอวเธอเอาไว้แน่น
“ปะป๊าว่าหนูก็น่าจะรู้นะครับ หนูลองคิดดี ๆ สิ"
“ไม่เอา ไม่คิด อยากฟังจากปากปะป๊าค่ะ”
“อยากฟังก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“อะไรคะ”
ไหนบอกว่าจะบอก แล้วทำไมถึงต้องมีข้อแลกเปลี่ยนด้วยนี่
“ขอของหวานอีกครั้งจะได้ไหมครับ”
“ปะป๊า...” เคียงรักเรียกอีกคนเสียงแผ่วลงทันทีเมื่อได้ยินข้อแลกเปลี่ยนที่เขาต้องการ
“ได้ไหม”
“ไหนปะป๊าบอกว่าห้ามจูบกับใครไงคะ แม้แต่แฟนก็ไม่ได้ แล้วจะให้หนูจูบกับปะป๊าเหรอ”
“ไม่ได้จูบครับ แค่ให้ปะป๊าชิมของหวาน”
“หนูไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จะให้ใครมาหลอกนะ”
“นั่นสิเนอะ แต่ได้ไหม ปะป๊าอยากชิมของหวานอีกแล้ว” พิธายังคงอ้อนหญิงสาว
“งั้นปะป๊าบอกก่อนว่าคืออะไร ใช่สิ่งที่หนูคิดออกตอนนี้หรือเปล่า”
ห่วง รัก แต่มีอีกหนึ่งสิ่งที่เธอไม่ได้พูด ก็คือหวง
“พูดแบบนี้แสดงว่ายอมให้ปะป๊าชิมของหวานใช่ไหมครับ”
“ไม่รู้”
“ฮึ ก็จะอะไรได้อีกล่ะครับ หนูรู้ไหมปะป๊าทั้งรัก ทั้งห่วง และก็...หวงหนูไงครับเด็กดี”
“หวง ปะป๊าหวงหนูจริง ๆ เหรอ”
“ใช่สิครับ โคตรหวงเลยคนนี้ รู้ไหม ฮื้ม” พิธายิ้มพลางมองเคียงรักที่ตอนนี้ก็เขินจนหน้าแดงไปหมดแล้ว
เขาบอกได้คำเดียวในตอนนี้เลยก็คือเธอ...
โคตรน่ารัก
