กลับบ้านเรา(1)
ออกจากคอนโดราคาหลายล้านข้าวหอมมาเช่าห้องพักอยู่ เธอยื่นจดหมายลาออกทั้งที่เพิ่งได้ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดด้วยอายุเพียงแค่ 24 ปี มาคิดดูแล้วหากไม่ใช่เด็กเส้นเธอก็คงมาไม่ถึงตำแหน่งนี้เร็วขนาดนี้
แม้ว่าจะเสียดายงานในตอนนี้ ทว่ามันไม่คุ้มที่เธอจะอยู่ ถ้าการใช้ชีวิตสวยหรูต้องกล้ำกลืนฝืนทนก็ไม่ขออยู่อีก
เธอตัดสินใจกลับบ้านเกิด ใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยเงินเก็บที่มี กลับไปอยู่กับย่าก็ดีเหมือนกัน ย่าแก่แล้ว กลับไปอยู่เป็นเพื่อนย่าน่าจะดี
ควรยอมรับความจริงได้แล้วว่าที่นี่ไม่เหมาะกับข้าว
ทว่ากลับไปที่นั่นก็ใช่ว่าจะสบายใจ
จังหวัดหนองบัวลำภู
รถทัวร์แล่นเข้าจอดบขส.หนองบัวลำภูในเวลาเช้าตรู่ ข้าวหอมลงจากรถทัวร์ เห็นพ่อยืนพิงรถกระบะ ก่อนหน้านี้เธอโทรบอกพ่อให้มารับ ไม่ได้บอกเหตุผล คนเป็นพ่อที่เป็นผู้ชายแข็งกระด้าง ไม่กล้าที่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกสาวถึงได้กลับมาบ้านทั้งที่ไม่ใช่วันหยุดยาว
ที่สำคัญตั้งแต่สอบติดมหาวิทยาลัยมีแค่สองปีแรกที่ข้าวหอมกลับมาบ้าน จากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย มีเพียงวีดีโอคอลหาย่า ถามข่าวพ่อบ้างเป็นครั้งคราว ถ้าพ่อกับย่าคิดถึงก็จะไปหาหลานที่กรุงเทพ
แต่พ่อกับลูกคุยกันน้อย แทบไม่พูดกันเลยด้วยซ้ำ
“คือเอาของมาหลายแท่” (ทำไมเอาของมาเยอะนัก) ผู้ใหญ่บ้านจรูญเอ่ยถามลูกสาวด้วยความรู้สึกกังวลใจ
ลูกสาวเพียงคนเดียวเคยพูดไว้ว่า ‘ข้าวเรียนจบสิอยู่กรุงเทพเลย บ่กลับมาบ้านดอก อยู่บ้านเฮาบ่มีแนวที่ข้าวมักเฮ็ด’ (ข้าวเรียนจบจะอยู่กรุงเทพเลย ไม่กลับมาบ้านหรอก อยู่บ้านเราไม่มีอะไรที่ข้าวชอบทำ)
“กลับมาอยู่บ้าน” ข้าวหอมตอบสั้นๆ ไม่อธิบายเพิ่ม ผู้ใหญ่จรูญพยักหน้า ขนของลูกสาวใส่กระบะหลัง
“ดี กลับมาบ้านเฮากะดีแล่ว มาอยู่บ้านกะดีคือกัน” (ดี กลับบ้านเราก็ดีแล้ว กลับมาอยู่บ้านก็ดีเหมือนกัน) เพราะไม่รู้ต้องเริ่มถามจากตรงไหน ไม่รู้ว่าคำไหนควรพูดกับลูกสาว ผู้ใหญ่จรูญจึงพูดได้เพียงเท่านี้
“...” ข้าวหอมยืนน้ำตาคลอมองหน้าพ่อ
ตลอดหนึ่งเดือนมานี้เธอพยายามเข้มแข็ง มีบ้างที่แอบร้องไห้เพียงลำพัง ทั้งนรากรยังพยายามติดต่อ กดดันมาตลอดจนเธอแทบจะประสาทเสีย กว่าจะเคลียร์งานในมือหมดกล้ำกลืนแล้วกล้ำกลืนอีก
ที่ผ่านมาเธอเข้าใจว่าหนึ่งเดือนมานี้เธอคงจะเข้มแข็งจากความพยายาม
ทว่าความจริงไม่ใช่แบบนั้น เพียงแค่พ่อพูดเธอก็ยืนเบะปากร้องไห้ ทั้งที่มันเป็นเพียงคำพูดสุดแสนจะธรรมดา
“ไป ขึ่นรถ ไปถ่าในรถอย่ามายืนตากแดดมันสิดำ” (ไป ขึ้นรถ ไปรอในรถอย่ามายืนตากแดดเดี๋ยวจะดำ) ผู้ใหญ่จรูญปวดหนึบที่ใจเมื่อเห็นน้ำตาของลูกสาว
ข้าวหอมเช็ดน้ำตา เดินมาเปิดประตูเข้ามานั่งในรถ
เพียงเห็นหน้าพ่อเธอก็รู้สึกอ่อนแอ เธอพ่ายแพ้ไม่เหลือชิ้นดี ซมซานกลับมาซบอกพ่อซบอกย่า ก่อนหน้านี้ทำปากเก่ง ปีนป่ายให้ได้มีชีวิตที่สวยหรู
แต่สุดท้ายก็เป็นแค่เศษฝุ่นในเมืองใหญ่
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถจอดที่หน้าบ้านผู้ใหญ่จรูญ บ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นปูนชั้นบนเป็นไม้ บ้านเรือนปลูกติดกันหลายต่อหลายหลัง รูปทรงคล้ายกัน มีบ้านที่ถูกปลูกสร้างใหม่เป็นบ้านปูนทั้งหลัง บ้านข้าวหอมยังคงเป็นหลังเดิมไม่ได้รีโนเวทใหม่
“ลูกหล่าของแม่ มาลูกมา มาหาแม่” (ลูกแม่ มาลูกมา มาหาแม่)
ย่าบุญจันทร์วัย 60 ปี กวักมือเรียกหลานสาวที่เปิดประตูลงจากรถ
“แม่เฮา” ข้าวหอมถลาเข้าหาอ้อมกอดย่าบุญจันทร์ ‘แม่เฮา’ คือคำที่เธอใช้เรียกย่าตั้งแต่จำความได้
ข้าวหอมเติบโตมาโดยไม่มีแม่ เธอไม่รู้ว่าแม่แท้ๆ ของเธอเป็นใคร ย่าก็ไม่เคยเล่า พ่อนี่ยิ่งแล้วใหญ่ไม่เคยพูดถึงสักครั้ง
ย่าบุญจันทร์จึงเป็นทั้งย่าทั้งแม่ให้ข้าวหอม ย่าเลี้ยงเธอมาตั้งแต่ยังเล็ก รักและห่วงใยตามใจหลานมาก
“ขวัญเอ๊ยขวัญมาเด้อลูกเด้อ กลับมาอยู่บ้านเฮา แนวบ่ดีบ่ต้องเอามานำ ต่อไปนี้สิมีแต่แนวดีๆ เข้ามาในชีวิตของลูกแม่แล้ว อิหล่าของแม่ ลูกฮักลูกแพงของแม่” (ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก กลับมาอยู่บ้านเรา อะไรไม่ดีทิ้งไปไม่ต้องเอามาด้วย ต่อไปนี้จะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตของลูกสาวแม่ ลูกแม่ ลูกรักของแม่)
ย่าบุญจันทร์ลูบหัวหลานสาว มืออีกข้างลูบหลังปลอบหลานรัก
ข้าวหอมปล่อยโฮ เธอในตอนนี้ร้องไห้เหมือนเด็กห้าขวบที่โดนรังแกแล้วมีย่าคอยปลอบ เธอกลายเป็นคนอ่อนแอเพียงเพราะได้อยู่ในอ้อมแขนของคนคุ้นเคย
อ้อมแขนที่อบอุ่นของย่า
“มากินข้าวมา แม่เฮ็ดแนวมักหล่าไว้หลายเลย เซาไห้มากินข้าวลูก กินข้าวแล้วกะนอนเซาเมื่อย” (มากินข้าวมา แม่ทำของชอบของลูกไว้เยอะเลย เลิกร้องไห้มากินข้าวลูก กินข้าวแล้วก็นอนพัก จะได้หายเหนื่อย)
ย่าบุญจันทร์ยกมือเหี่ยวเรียวเล็กขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าหลานสาว รู้ว่าหลานจะกลับมาคนเป็นย่าก็ตื่นตั้งแต่ตีห้ามาทำกับข้าวไว้รอหลาน
ใส่บาตรเสร็จหลานสาวก็กลับมาถึงพอดี
ผู้ใหญ่บ้านจรูญขนข้าวของลูกสาวเข้าบ้าน ย่าบุญจันทร์จูงมือหลานสาวเข้าบ้าน กลางบ้านมีเสื่อปู วางทับด้วยถาดกลมขนาดใหญ่ที่มีถ้วยกับข้าววางอยู่ แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง ทอดไข่เจียว แจ่วบองฝีมือย่า ผักลวก
ล้วนเป็นเมนูที่ข้าวหอมไม่ได้กินนานแล้ว ทั้งที่มันเคยเป็นเมนูที่เธอเคยโปรดปรานในวัยเด็ก
เพราะความหัวสูง อยากได้อยากมีจนทำให้เธอลืมหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยชื่นชอบ
ข้าวเหนียวร้อนๆ ที่เพิ่งนึ่งเสร็จจิ้มกับแจ่วบองผักลวกฝีมือย่าตามด้วยไข่เจียวที่แสนจะธรรมดา แต่มันโคตรจะอร่อย และต่อด้วยซดน้ำแกงผักหวานใส่ไข่มดแดง
เป็นกับข้าวที่อร่อยมากๆ ยิ่งกินก็ยิ่งร้องไห้ เป็นความรู้สึกที่กัดกินหัวใจ ตอกย้ำว่าหลายปีที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตอยู่บนความผิดพลาด มักใหญ่ใฝ่สูงแล้วก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
ทว่าต่อให้เจ็บปวดแค่ไหน หลงระเริงไปกับแสงสีมากมายเพียงใด เมื่อหันมองกลับมาเธอยังโชคดีที่เหลือคนในครอบครัว ย่าและพ่อยังคงกางแขนโอบอุ้ม ปกป้องเธอ
*แจ้งคุณนักอ่าน นิยายบทพูดเป็นภาษาอีสาน มีคำแปลต่อท้ายนะคะ ฝากติดตามผลงานไรท์ด้วยน้า ขอบคุณค่ะ
