หก
จากเงินหนึ่งตำลึงทองแรกลดลงไปจนเกือบหมดเพราะของที่เหม่ยจูซื้อมาเป็นต้นทุนในการทำแป้งผลัดสูตรหมอจู ตอนนี้เริ่มงอกเงยกลับมาจนเกือบคืนทุนแล้ว หลังจากที่วันนี้เหม่ยจูนำแป้งไปให้ฟางซินลองใช้ เพียงวันเดียวจากที่ฟางซินเป็นที่ดึงดูดลูกค้าอยู่แล้วจากฝีมือการร่ายรำที่งดงามดั่งนางสวรรค์ แต่วันนั้นสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าการร่ายรำคือใบหน้าที่ขาวผ่องผิวเนียนธรรมชาติ มองไกล ๆราวใบหน้าของฟางซินมิได้แต่งเติมแป้งใดใด ต้องมองใกล็ ๆจึงจะเห็นแป้งบนหน้า ทำให้ฟางซินเผยความงามอย่างธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งทีเหล่านางคณิกาขาดหายไป
เป็นเรื่องธรรมดาที่นางคณิกาจะผิวไม่เรียบเนียนหรือมีปัญหาผิวมากมาย เพราะพวกนางนั้นก็ไม่ต่างจากเหม่ยจูสักเท่าไหร่ พวกนางต้องหาเช้ากันค่ำ เพียงมีมื้ออาหารให้กินครบสามมื้อก็ถือว่าดีแล้วจะให้หาอาหารเสริมหรือสมุนไพรใดใดมาใช้ก็หาได้ทำได้ไม่ แตกต่างจากพวกคุณหนูที่วัน ๆอยู่แต่ในเรือน มีเงินใช้และอาหารกินไม่ขาด ของบำรุงก็สามารถหาได้ตามใจ อยากจึงมีผิวพรรณดีโดยไม่ต้องแต่งเติมหรือปกปิดให้หนาแต่อย่างใด
ส่วนแป้งของเหม่ยจูนั้นปรับจากสูตรในท้องตลาดให้เนื้อละเอียดขึ้น เพิ่มส่วนประกอบลงในแป้งให้ช่วยกระจายแสงเบลอรูขุมขน พอต้องแสงไฟย่อมเห็นความเรียบเนียนโดยไม่ต้องพอกให้หนาแต่อย่างใด จึงตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป็นอันมาก แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องหนึ่งตลับสามารถใช้ได้นานเป็นเดือนและคนในหอนางโลมก็ไม่ได้เยอะฉะนั้นหากนางอยากได้กำไรมากกว่านี้ต้องขยายกลุ่มลูกค้า
วันนี้ช่วงเช้าหลังรับมื้อเช้าที่จื่อเหยียนเตรียมแล้วนางก็กลับมานั่งวางแผนสิ่งที่จะทำต่อไปภายในห้อง ส่วนแม่นมออกไปขุดดินปลูกผักหลังบ้าน เดือนที่ผ่านมานางทั้งสองพอมีเนื้อกินมากกว่าแต่ก่อนมากจึงทำให้ร่างกายเหม่ยจูเริ่มมีเนื้อหนังมากขึ้นแรงก็มากขึ้นด้วย ไม่ผอมแห้งปลิวลมดั่งแต่ก่อนแล้ว
โครม! เคร้ง!
เหม่ยจูหลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อนางได้ยินเสียงเหมือนใครเตะประตูและเป็นเสียงเหมือนของล้ม ร่างบางในชุดเก่าซีดวิ่งออกมาดูต้นกำเนิดเสียง
“หยุดนะ! พวกเจ้าทำอะไรน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เบื้องหน้าเหม่ยจูมีบ่าวสตรีสามนาง คนตัวใหญ่สุดกำลังใช้กำลังล้มโต๊ะกินข้าวตัวเดียวในเรือนให้ล้มลง ส่วนอีกสองคนก็กระจายกันค้นข้าวของในเรือนเพื่อหาอะไรบางอย่าง
บ่าวทั้งสามหยุดชะงักชั่วครู่ เดินกลับมารวมตัวก่อน เป็นสตรีร่างใหญ่สุดเอ่ยขึ้น
“อ้าว คุณหนูใหญ่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ”
เรียกเหม่ยจูว่าคุณหนูใหญ่แต่ทั้งน้ำเสียงและใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน หาได้เคารพนางอย่างคำเรียก
“พวกเราเพียงมาตรวจดูว่าคุณหนูมีอะไรขัดสนหรือไม่เท่านั้นเอง”
เหอะ จะมาดูว่านางขัดสนหรือมาทำให้นางขัดสนเพิ่มกันแน่!
“อย่างนั้นพวกเจ้าก็กลับไปเสียเถอะ ข้ายังอยู่ดี ยังไม่ตายหรอก”
“ว้าย ไยคุณหนูใหญ่พูดเยี่ยงนั้นล่ะเจ้าคะ ตายเตยอะไรกัน”
บ่าวอีกคนแกล้วทำเป็นตกใจใหญ่โต แต่ใบหน้านางก็ยังไม่วายหยักยิ้มมุมปาก
“เงินเบี้ยหวัดข้าก็ไม่เคยถึงมือข้า มิรู้ไปตกอยู่ที่หลุมบ่อโคลนแห่งใด ไม่ตายสิแปลก”
“หึ บ่าวก็ไม่รู้สิเจ้าคะ ตามจริงคุณหนูใหญ่นี่ก็เก่งจริงนะเจ้าคะ อยู่รอดได้มาตั้งหลายปี”
เป็นบ่าวสตรีนางหนึ่งพูดไปพลางเดินเข้ามาหาเหม่ยจูพลาง นางเอื้อมจับตามเสื้อผ้าที่ทั้งซีดและบาง เต็มไปด้วยรอบประ จากนั้นก็คว้าจับข้อมือเล็กเรียวกำแน่น
แต่ก่อนจะได้ออกแรงไปมากกว่านั้น เจ้าของแขนเล็กเรียวก็หมุนแขนเล็กน้อยใช้มือข้างที่ถูกจับกำแขนคนจับแน่น และหมุนตัวอย่างเร็ว ทำให้ร่างของบ่าวเหิมเกริมก่อนหน้าพลิกกลับและร่วงลงพื้นเสียงดังโครม
“โอ๊ย!!!”
...มิรู้จักประธานชมรมศิลปะการป้องกันตัวเสียแล้ว ชาติก่อนนางเก่งสุดในเพื่อนชมรมรุ่นเดียวกันจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเชียวหนา
“อย่ามาแตะต้องข้าและของในเรือนข้า”
บ่าวที่ล้มบนพื้นรีบกุลีกุจอไปหาพวกอย่างหวาดเกรง พวกนางไม่คาดคิดว่าคุณหนูใหญ่ที่แต่ก่อนมักหลบอยู่หลังแม่นมตัวเองกลับกลายเป็นคนต่อต้าน สู้คนอย่างนี้
“คุณหนู! เป็นอะไรไหมเจ้าคะ”
เสียงอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นที่หน้าประตู จื่อเหยียนวิ่งเข้ามาหาเหม่ยจูพร้อมกับใบหน้าแตกตื่น พอมาถึงตัวนางก็ลูบจับหาร่องรอยเผื่อว่าจะถูกทำร้ายตอนนางยังไม่มา
“มิเรียกบ่าวล่ะเจ้าคะ”
เหม่ยจูหยักยิ้มพร้อมส่ายหน้าบอกว่าตนไม่เป็นอะไรก่อนหลังกลับไปจ้องบ่าวทั้งสามด้วยแววตาแข็งกร้าว
“พวกเจ้าจะยักยอกเบี้ยหวัดข้าไป ข้าจะทำเป็นไม่สนใจ แต่ต่อแต่นี้หากมายุ่งกับพวกข้าและที่เรือนของข้าอีกอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
สิ้นคำตะหวาดกร้าวเหม่ยจูก็เดินไปข้างหน้า ทำเอาบ่าวที่ตัวใหญ่กว่าเหม่ยจูเกือบสองเท่าพากันเดินถอยหลังอย่างพร้อมเพรียง ประกอบกับแววตาแข็งกร้าวของเหม่ยจูและสภาพของบ่าวคนที่ถูกทุ่มลงพื้นทำให้พวกนางตัดสินใจวิ่งหนีออกไปราวสุนัขถูกน้ำร้อนลวก
“คุณหนูของบ่าวใจเย็น ๆก่อนเจ้าค่ะ เราไม่จำเป็นต้องนำพิมเสนไปแลกกับเกลือ”
จื่อเหยียนพาเหม่ยจูไปนั่งยังเก้าอี้ที่นางเพิ่งจับกลับมาตั้งหลังจากถูกพวกบ่าวเทระเนระนาด
“บ่าวพวกนี้ล้วนมีคนบงการอยู่เบื้องหลังทั้งนั้นเจ้าค่ะ คุณหนูทำแบบนี้ดีมิดีจะถูกกลั่นแกล้งหนักขึ้นเอาได้”
เหม่ยจูถอนหายใจแรงมองใบหน้าซูบผอมของแม่นมนิ่ง “ข้าอดทนมาพอแล้ว ท่านมิเห็นหรือที่ผ่านมาทั้งท่านและข้าต่างก็อดทน หาได้เรียกร้องใดไม่ แต่ต่อไปนี้หากใครมาคิดร้ายแก่ข้า ข้าก็จะเอาคืนให้สาสม”
จื่อเหยียนมองคุณหนูตรงหน้านิ่งในใจหวาดหวั่นประหลาด ใบหน้า รูปร่างก็คือคุณหนูของนางอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไยนิสัยและจิตใจกลับเปลี่ยนไปสิ้นเชิงเช่นนี้
“แต่แม่นมมิต้องกังวลไป เราก็อยู่ส่วนเรา หากพวกนั้นไม่มาหาเรื่องข้าก่อน ข้าก็จะไม่ไปยุ่งกับพวกเขา รอสักหน่อยหากข้าหาเงินได้เพียงพอเราจะย้ายไปอยู่ที่อื่นกัน”
เหม่ยจูหันกลับไปก็เจอแววตาเคลือบแคลงสงสัยของจื่อเหยียนพอดีนางจึงเข้าไปกอดเอวสตรีวัยกลางคนอย่างออดอ้อนเพื่อกลบเกลื่อนความสงสัย
เมื่อนางได้โอกาสมาเกิดใหม่แล้ว ชีวิตและร่างกายนี้ย่อมเป็นของนางทั้งหมด ฉะนั้นนางจะต้องเป็นคนกำหนดเส้นทางชีวิตตัวเอง
“กำไลไหม กำไลไหม แวะเข้าเลือกดูก่อนได้จ้า”
เหม่ยจูแอบชำเลืองมองตามเสียงนั่นชั่วครู่และออกเดินต่อ ตอนนี้ยามเซิน แสงแดดช่วงกลางวันเริ่มอ่อนกำลังลง ผู้คนก็ออกเดินตามถนนมากขึ้น ซึ่งเวลานี้เหม่ยจูจะออกเดินมาเรื่อย ๆสำรวจตลาดไปพลางกว่าจะไปถึงหอซือเซียนก็ได้เวลาเข้างานพอดี
ทว่าวันนี้เหมือนดวงไม่เข้าข้างนางตั้งแต่เมื่อเช้าที่ถูกพวกบ่าวในเรือนมาหาเรื่องแล้ว นางเดินอยู่ดีดีก็มีเด็กชายคนหนึ่งตัวเท่าเอวค่อนขึ้นไปทางอกนางวิ่งมาชนอย่างจัง เหม่ยจูเซถอยหลังเล็กน้อย ส่วนเด็กที่วิ่งมาชนนั้นล้มไปบนพื้น พร้อมถุงปักอันหนึ่งตกกระแทกพื้นก้อนเงินในนั้นกระดอนกระจายเต็มพื้น
“มาเดี๋ยวข้าช่วยเก็บ”
เหม่ยจูมองเด็กชายหน้าตามอมแมมที่ก้มหน้าก้มตารีบเก็บเงินไม่แม้จะมองหน้านางที่ถูกชน เด็กชายรีบรวบก้อนเงินบนพื้นเก็บเข้าถุงอย่างรวดเร็วและทำท่าจะวิ่งจากไป แต่ก็รู้สึกว่าถุงเงินในมือถูกดึงไว้ทำให้เคลื่อนที่ไม่ได้
“นี่เงินเจ้าหรือ?”
เหม่ยจูมองถุงปักเนื้อผ้าเรียบลื่นสีน้ำเงิน และเงินจำนวนมากในนั้นเทียบกับเด็กชายที่น่าจะเป็นขอทานคนหนึ่งแถวนี้แล้วรู้ได้ทันทีว่า เงินนี่น่าจะถูกขโมยมา
จริงดังคิด เด็กชายขอทานสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุมและวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนถุงเงินก็ทิ้งไว้ที่นาง
...แล้วนี่เงินใครล่ะเนี่ย
เหม่ยจูหันมองรอบกายเพื่อดูว่าใครมีท่าทีเหมือนคนทำเงินหายหรือเหมือนกำลังหาเงินบ้าง หากไม่มีนางคงต้องนำไปให้ที่ว่าการประกาศหาเจ้าของแหละ
โอะ อาจเป็นเขาคนนั้น
เหม่ยจูเดินเข้าไปหาบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งยอง ๆคุยหรือทำอะไรสักอย่างกับเด็กชายมอมแมมสองคนตรงหน้า
“นี่ถุงเงินของท่านหรือไม่”
เสียงเล็กติดแข็งเอ่ยพร้อมเหวี่ยงถุงเงินสะกิดจนคนถูกสะกิดหันกลับมามอง พอเห็นถุงเงินของตนเองที่ควรจะผูกไว้ที่ข้างตัวก็มีสีหน้าตระหนกชั่วครู่ก่อนพยักหน้ารับคำ
“ใช่แล้ว มิทราบว่าไปอยู่ที่ท่านได้อย่างไรหรือ”
“ท่านถูกต้มเสียจนเปื่อยยังมิรู้ตัวอีก เฮ้อ” เขามองใบหน้าเล็กนั่นก่อนมองตามสายตาบุรุษผู้มาใหม่ที่ตัวสูงเพียงอกเขา
“ท่านมัวแต่คุยกับเจ้าขอทานนั่นจนไม่ระวังตัวถูกลักถุงเงินไป ข้าบังเอิญชนเจ้าเด็กขอทานนั่นจึงเดาว่าเป็นของท่าน และก็จริงเสียด้วย”
คนตรงหน้ากำลังจะบอกว่ากุนซืออย่างเขาถูกหลอกอย่างนั้นหรือ? พูดที่ไหนอายที่นั่นเชียวนะ
พอบุรุษร่างเล็กวางถุงเงินในมือของเขาเสร็จก็เดินจากไปทันที เขานิ่งคิดชั่วครู่ ใคร่ครวญแล้วก็คิดว่าบุรุษเมื่อครู่คงไม่ได้โกหก ในถุงเงินก็อยู่ครบ อีกทั้งพอหันหลังกลับไปบริเวณที่เคยมีเด็กชายขอทานสองคนยืนอยู่กลับกลายเป็นว่างเปล่าเสียแล้ว
เมื่อครู่เขาเห็นเจ้าเด็กขอทานสองคนนี้แล้วนึกถึงตัวเองในอดีตจึงทำให้ไม่ระวังจนถูกหลอกจนได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คิดโกรธอันใด เขาติดจะเข้าใจเด็กขอทานเสียด้วยซ้ำ
...เพราะในอดีตเขาก็เคยต้องอดอยาก เร่ร่อนเยี่ยงเด็กพวกนี้อย่างไรเล่า
