ตอนที่ 9 ร่วมหอลงโรง (3)
เซียวม่านหลิวสาบานกับตัวเองแล้วว่านางจะต้องตามล่าแม่สื่อคนนั้นแล้วจับขึงพืด จากนั้นจะเอามดทั้งรังปล่อยบนตัวของนางให้ถูกกัดอย่างทรมาน
แต่น่าเสียดายที่นางไม่รู้ว่าหลังจากคืนเข้าหอ แม่สื่อก็ได้รับเงินขวัญถุงก้อนใหญ่ ย้ายออกจากเมืองลั่วหยางไปแล้ว
เวลาผ่านไปราวสิบวัน หลังจากที่นางถูกเจียงซือ[ผีดิบ] เฒ่าสั่งสอนจนพ่ายแพ้ราบคาบ ก่อนที่นางจะหมดสติไปยังถูกตบท้ายด้วยคำว่า
“อย่าเที่ยวดูถูกบุรุษเรื่องบนเตียงอีก มิเช่นนั้นแล้วเรื่องอาจไม่จบเพียงเท่านี้”
เท่านี้มันเท่าใดกัน ตอนนั้นนางอยากจะตะกุยหน้าเขาให้เสียโฉม ทว่าวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักหน่วงจนฟ้าสาง ไหนเลยจะมีแรงไปทำอะไรใครได้ ทั้งยังเพิ่งรู้ตัวว่านั่นคือการได้เสียกันอย่าแท้จริง
และที่นางนอนกับเขาก่อนหน้านั้น ก็เป็นเพียงการ 'นอน' เฉยๆ
หลังจากนั้นมาแม้ว่าหลี่หมิงจะนอนห้องเดียวกับนางทุกคืน แต่เพราะเขางานยุ่งมาก และนางเองก็ไม่อยากหาเรื่องราวใส่ตัว ทุกครั้งนางจึงรีบนอนก่อนตื่นทีหลังเขาโดยไม่สนใจคำครหาของผู้ใด ที่จริงหลังจากงานแต่งงาน แต่เดิมต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาว ทว่าเซียวม่านหลิวกระดากอายเกินกว่าจะหาเรื่องพูดกับเขาเพราะภาพในค่ำคืนนั้นยังติดตา จนแล้วจนรอดจึงไม่มีโอกาสพูดคุย
จะว่านางหน้าบางเกินก็ใช่ที่ แต่เป็นเพราะเขาไม่เปิดโอกาสพูดคุยกับนางเลยแม้สักครั้ง ทุกวันเขาจะออกจากวังเทียนมิ่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และกลับมาหลังนางดับไฟนอน เป็นเช่นนี้ติดต่อกันจนคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยอย่างนางยังอดระแวงสงสัยไม่ได้
หรือเขาได้แล้วทิ้ง ความคิดแง่ร้ายของนางผุดขึ้น คนสารเลว โกหกว่าได้เสียกันแล้ว ครั้นได้เสียจริงๆ ก็ไม่ใส่ใจ เขาต้องได้แล้วทิ้งแน่ๆ
ความคิดในแง่ดีกลับไม่มีเลยแม้แต่น้อย หรือเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ
จิตใจของนางห่อเหี่ยว วันๆ นางเอาแต่อยู่ในวังเทียนมิ่ง แม้จะมีคนคอยรับใช้มากมาย ทว่านางกลับโหยหาอิสรเสรีเฉกเช่นในยามที่อยู่เฉินตู ทั้งยังคิดถึงบิดามาก ในใจก็ได้แต่ตำหนิตัวเองที่คิดน้อยจนเกินไป ที่จริงถ้าหากว่านางหนีไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวอาจจะหลุดพ้นจากเขาไปแล้ว ทว่าส่วนหนึ่งในใจของนางกลับสั่งให้ตนเองกระทำบางสิ่งอันไร้เหตุผล นึกสงสัยอยู่เนืองๆ ว่าเขาทำมนตร์ดำใส่นางหรือไม่
อย่างเช่นในคืนเข้าหอ…นางคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเองอีกแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่
ทางฝ่ายหลี่หมิง ค่ำคืนเข้าหอที่เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง แม้จะรู้ว่าตนเองกระทำอะไรอยู่ แต่ไม่อาจหักห้ามใจได้ โดยเฉพาะเมื่อมีความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ เกิดขึ้นทุกครั้งที่เข้าใกล้นาง หลังจากที่ห่างกายจากเซียวม่านหลิวนานเกินไปจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ เขาก็ไม่คิดแยกห้องกับนางอีกเลย กระนั้นแล้วก็ยังคงทำเป็นเหินห่างกับนางดังเช่นก่อนหน้า
แต่ด้วยหลายวันนี้เพราะเขาต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง ทุกวันจึงแทบไม่ได้พูดคุยกับเซียวม่านหลิวเลยแม้แต่น้อย
หลายวันมานี้หลี่หมิงมาที่เรือนของฟางอวี้เหยาไม่เคยขาด ภาระงานทั้งหมดที่รับในฐานะที่ปรึกษาและขุนนางใหญ่ในราชสำนักอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้ว่าตัวเขาจะกลับไปนอนที่วังเทียนมิ่งทุกคืน แต่เมื่อลืมตาตื่นชึ้นมาก็รีบกลับมายังเรือนของฟางอวี้เหยาทันที มีหลายครั้งที่เขาต้องการทดสอบอะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างการให้ฟางอวี้เหยาช่วยตรวจดูเอกสารที่ตนเองต้องเขียนรายงาน สิ่งเหล่านั้นเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เสียจนหลี่หมิงเริ่มมีความคิดที่ขัดแย้งในตัวเอง
“หลี่หมิง…ท่านเหม่ออะไร” ฟางอวี้เหยาถามเสียงค่อย ดวงตาของนางที่มองเขาคล้ายเต็มไปด้วยความรักอันล้นปรี่ ทว่าหลี่หมิงกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย
อาจเพราะนางหักหลังเขากระมัง
เขาแสร้งยิ้ม จรดพู่กันในมือเขียนหนังสือราชการ เขียนไปได้ครึ่งหนึ่งพู่กันก็หลุดจากมือจนหมึกสีดำเปรอะเปื้อนไปทั่ว
“ว้าย ท่านระวังหน่อย” ฟางอวี้เหยารีบใช้ผ้าเช็ดหมึกที่มือของหลี่หมิง เบียดกายนุ่มนิ่มหอมกรุ่นเข้าใกล้เขา โดยเฉพาะเนินเนื้ออวบอิ่มน่าหลงใหล ดวงตาหงส์คู่งามไม่เคยละไปจากใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเขียนหนังสือราชการจนปวดมือ อาเหยา…เจ้าเขียนแทนข้าได้หรือไม่”
ฟางอวี้เหยาชะงัก แววตาของนางหลุกหลิกเล็กน้อย กระนั้นแล้วก็ก้มหน้าเพื่อหลบสายตาร้อนแรงของเขาอย่างเขินอาย
“อุ๊ย” เขาอุ้มนางนั่งตัก แขนทั้งสองข้างคล้ายโอบกอดอยู่ในที ฟางอวี้เหยาใบหน้าแดงซ่าน นางเปลี่ยนกระดาษใหม่แล้วหยิบพู่กันขึ้นมา หันไปกระซิบข้างหูของชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงรื่นหู
“ให้ข้าเขียนอะไรหรือ”
หลี่หมิงมองมือเรียวงามที่จับพู่กันของนางแล้วกระตุกยิ้มบางๆ
“เขียนตามที่ข้าบอก”
คืนเดือนแรม ท้องฟ้าสีน้ำหมึกถูกแต่งแต้มด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน ดวงจันทร์ที่เริ่มถูกความมืดมิดกัดกินทีละน้อยเปล่งแสงเงินยวง อาบไล้ศาลาริมน้ำอันไร้แสงไฟให้คล้ายกับเป็นสถานที่อันลึกลับ
“ไท่จื่อ…ได้เรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เป้ยหยวน เรียกนายท่านก็พอ หากผู้อื่นมาได้ยินจะไม่เหมาะสม”
องครักษ์คู่กายที่เพิ่งเดินทางมาถึงก้มศีรษะลง “ขออภัยนายท่าน เพียงแต่ข้าไม่คุ้นชินนัก”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ชีวิตไม่มีเวลายาวนานให้ทำความคุ้นเคยกับทุกสิ่ง อย่าลืมว่าพวกเรามิได้เป็นอมตะ”
“ขอรับ”
“แล้วได้เรื่องอย่างไรบ้าง”
“เรียนนายท่าน บันทึกของบัณฑิตเก่าที่อยู่ในหอตำราหลวง ส่วนที่เป็นของพระชายาฟาง…เอ่อ ของฟางอวี้เหยา หลังจากที่นางถูกคนลอบทำร้ายปางตายก็มิได้เขียนบันทึกอีกเลยขอรับ”
หลี่หมิงนิ่งคิด ตอนที่ฟางอวี้เหยาถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เป็นวันที่คนกล่าวหาว่านางลอบพลอดรักกับสหายสนิทของเขาก่อนจะถูกลอบทำร้าย ทว่าหลังจากตื่นมาฟางอวี้เหยาก็สติเลอะเลือน เอาแต่พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ หลังจากนั้นไม่นานนางก็เปลี่ยนไป
ตอนนั้นเขาเข้าใจว่าเป็นเพราะนางถูกเขาจับได้จึงเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่
ทว่าหลังจากหลายวันมานี้ที่เขาได้จับตาดูนางทุกฝีก้าวก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
“เป้ยหยวน”
“ขอรับ”
เขาหวนคิดถึงวิธีการจับพู่กันของฟางอวี้เหยา นางจับพู่กันใกล้กับตรงโคนมาก ผิดกับการจับพู่กันของคนปกติ ทั้งเวลาเขียนอักษรยังเลอะเทอะจนมือไม้เปื้อนหมึกดำ ตัวอักษรบางตัวก็ดูขาดๆ เกินๆ ผิดกับนิสัยของนางที่ละเอียดรอบคอบและพิถีพิถันโดยสิ้นเชิง
เมื่อก่อนทุกครั้งเมื่อนางจรดปลายพู่กันบนแผ่นกระดาษ หมึกแม้แต่หยดเดียวก็ไม่มีทางเปื้อนมือเด็ดขาด จุดนี้ยิ่งทำให้เขาสงสัยอย่างยิ่งยวด
“คนเราจะเปลี่ยนวิธีจับพู่กันได้หรือ”
เป้ยหยวนนิ่งอึ้งคล้ายคิดทบทวน สักพักจึงตอบ “นายท่าน ท่านเองตั้งแต่จำความได้ เคยเปลี่ยนวิธีการจับพู่กันได้หรือ”
สิ้นคำของเป้ยหยวน หลี่หมิงจึงฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
“หรืออาเหยาจะมีฝาแฝด?”
