บทที่ 3 ออกเดินทาง
บทที่ 3 ออกเดินทาง
เมื่อถึงกำหนดสามวัน กองทัพแคว้นหนานก็เตรียมไพร่พลเพื่อออกเดินทาง
ในช่วงเวลาเช้าตรู่ของวัน หลี่หลานฮวาในชุดเรียบง่ายแต่ทว่ายังคงสง่างามสมฐานะองค์หญิงของแคว้น ก็ได้เดินทางออกจากแคว้นจิ้นที่บัดนี้กลายเป็นเพียงเศษซากปรักหักพัง นางถูกคุ้มกันโดยทหารแคว้นหนาน และมุ่งหน้าสู่แคว้นหนาน ดินแดนของศัตรูผู้ที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเคยรัก
ระหว่างการพักแรมที่แสนทุรกันดารในดินแดนอันห่างไกล หลี่หลานฮวาก็เริ่มต้นแผนการที่วางไว้ โดยในช่วงพลบเย็น ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีส้มแดงฉาน ก่อนที่ความมืดมิดจะคืบคลานเข้ามาแทนที่ หญิงสาวทอดสายตามองออกไปนอกกระโจมชั่วคราว สายลมพัดหอบเอาเศษใบไม้แห้งมาเกาะเกี่ยวชายกระโจม ส่งเสียงเสียดสีจนน่ารำคาญ
“เสี่ยวเม่ย” เสียงของหลี่หลานฮวาเอ่ยขึ้นแผ่วเบาแต่หนักแน่น ดวงตาของนางยังคงจับจ้องไปที่ความมืดภายนอกกระโจม “ถึงเวลาแล้ว”
เสี่ยวเม่ย สาวใช้คนสนิทที่เติบโตมากับนางตั้งแต่ยังเยาว์วัย พยักหน้าตอบเบาอย่างรู้ใจ นางรู้ดีว่านายหญิงของตนหมายถึงสิ่งใด แววตาของนางเต็มไปด้วยความภักดีและเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ต่อผู้เป็นนาย
“ไปที่กระโจมของแม่ทัพจูจวิ้นหาว” หลี่หลานฮวาสั่งเสียงเรียบ “บอกเขาว่าอากาศในกระโจมของข้าหนาวเย็นยิ่งนัก หนาวเสียจนกระดูกแทบจะแข็ง ข้าไม่สามารถข่มตาหลับได้”
เสี่ยวเม่ยรับคำสั่งและเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ หลี่หลานฮวายิ้มเยาะในใจ นางรู้ดีว่าจูจวิ้นหาว ผู้มีฉายาว่า “พญามัจจุราช” ไม่เคยให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของสตรี แต่ความเรื่องมากของนางจะค่อยๆ สั่นคลอนจิตใจที่แข็งกระด้างของเขาให้จงได้
ไม่นานนักเสี่ยวเม่ยก็กลับมาพร้อมกับกองผ้าห่มหนาหลายผืนที่ถูกโยนเข้ามาในกระโจมอย่างไม่ไยดี ตามมาด้วยเสียงห้าวของทหารนายหนึ่งที่ติดตามมาด้วย เขาตะโกนจากด้านนอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “แค่นี้ก็พอแล้วกระมัง หากพวกเจ้าหนาวขนาดนี้ ทำไมไม่ก่อไฟเองเสียเล่า”
หลี่หลานฮวายิ้มมุมปาก นางไม่ได้ตอบโต้สิ่งใด กลับทำเพียงสวมบทบาทองค์หญิงผู้บอบบางต่อไป
“เสี่ยวเม่ย” หลี่หลานฮวาเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน “ความมืดมิดนี้ช่างน่ากลัวนัก แสงจันทร์เลือนหายไปไหนหมด ข้ากลัวเสียจนนอนไม่หลับ ไปบอกแม่ทัพจูจวิ้นหาวให้ส่งตะเกียงน้ำมันมาให้ข้าเพิ่มอีกสักสิบดวง”
เสี่ยวเม่ยพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว นางรีบโค้งตัวออกไปและปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไม่รอช้า
หลังจากเสี่ยวเม่ยเดินออกไปอีกครั้ง และกลับมาพร้อมกับตะเกียงน้ำมันเพียงสามดวง และเสียงบ่นอุบจากทหารที่ตามมาส่ง “องค์หญิงผู้นี้นี่ช่างจุกจิกเสียจริง มีแค่นี้ก็บุญแล้ว”
หลี่หลานฮวาไม่ได้ใส่ใจกับคำบ่นเหล่านั้น นางใช้ตะเกียงเพียงดวงเดียวที่สว่างพอจะมองเห็นสิ่งรอบตัวได้ แล้วปล่อยให้ความมืดมิดที่เหลือโอบล้อมกาย หญิงสาวกำลังสร้างภาพลักษณ์ของสตรีที่อ่อนแอ ไร้เดียงสา และต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพื่อให้บุรุษผู้เกลียดชัง “มารยา” ของสตรีผู้นั้นเริ่มหงุดหงิดและสับสน
เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนดึกดื่น หลี่หลานฮวายังคงนิ่งเฉยเฉกเช่นเดิม นางเพียงปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ แล้วค่อยดำเนินการตามแผนการที่วางไว้อีกครั้ง
“เสี่ยวเม่ย” หลี่หลานฮวาเรียกสาวใช้อีกครั้ง “ข้ารู้สึกหิวเหลือเกิน อาหารที่ท่านแม่ทัพเตรียมมานั้นไม่อาจทานได้แม้สักคำ ไปบอกแม่ทัพจูจวิ้นหาวว่าข้าต้องการอาหารที่รสเลิศกว่านี้ มิฉะนั้นข้าคงไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจ”
คำสั่งครั้งนี้ทำให้เสี่ยวเม่ยมีท่าทีที่หวาดหวั่นขึ้นมา นางกระซิบกระซาบออกมาอย่างชั่งใจ “องค์หญิงเพคะ…แม่ทัพจูจวิ้นหาวดูไม่พอใจอย่างยิ่งแล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นเขาสีหน้าแดงก่ำ และดวงตาของเขาดุร้ายยิ่งนัก”
หลี่หลานฮวายิ้มอย่างพึงพอใจ “ดีแล้วเสี่ยวเม่ย… นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
หญิงสาวรู้ดีว่าความอดทนของจูจวิ้นหาวกำลังจะหมดลง และเมื่อถึงขีดสุด เขาก็จะเผยธาตุแท้ของ “พญามัจจุราช” ผู้เด็ดขาดและไร้ความอดกลั้นออกมา นี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของแผนการล้างแค้นอันยาวนานของนาง
ในตอนแรก จูจวิ้นหาวก็ยังคงรักษาท่าทีและความอดกลั้นเอาไว้ เขาสั่งให้ทหารจัดหาเครื่องห่ม อาหาร และตะเกียงน้ำมันไปให้ตามที่หลี่หลานฮวาร้องขอ แต่เมื่อคำร้องเรียนยังคงไม่หยุดหย่อน ความหงุดหงิดก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของชายหนุ่มอย่างไม่อาจข่มกลั้น
ในที่สุดด้วยความรำคาญถึงขีดสุด จูจวิ้นหาวก็ผรุสวาทคำหนึ่งออกมา แล้วรีบพรวดพราดออกจากกระโจมตรงดิ่งไปยังกระโจมของหลี่หลานฮวาด้วยโทสะที่เดือดดาล
เมื่อเท้าหนาเหยียบย่างเข้ามาในกระโจมของหลี่หลานฮวา สิ่งแรกที่จูจวิ้นหาวสัมผัสได้คือกลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้ที่อบอวลไปทั่ว ราวกับหลงเข้ามาในม่านหมอกของสวรรค์ เขากวาดสายตาไปรอบๆ และพบว่าภายในกระโจมไม่ได้มืดมิดหรือหนาวเย็นอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง
หลี่หลานฮวากำลังอาบน้ำอยู่ด้านหลังม่านกั้นอันบางเบาที่พลิ้วไหวตามแรงลมเล็กน้อย เผยให้เห็นเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นสะท้อนอยู่บนผืนผ้าราวกับต้องการยั่วยวนผู้คนที่พลัดหลงเข้ามาให้หลงใหล
ทันทีที่จูจวิ้นหาวขยับเท้าเข้าไปใกล้ เสียงกรีดร้องอันแหลมสูงก็ดังขึ้นจากด้านหลังม่าน
“กรี๊ดดดดด” หลี่หลานฮวาทำทีตกใจสุดขีด ร่างเปลือยเปล่าของนางพุ่งออกมาจากม่านอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด ใบหน้าซีดเผือดราวกับเห็นผี “งู...มีงูอยู่ตรงนั้น” นางตะโกนเสียงหลงชี้ไปยังด้านหลังม่าน
ก่อนที่จูจวิ้นหาวจะทันได้ประมวลผลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลี่หลานฮวาก็โผเข้ากอดเขาอย่างเต็มแรง ร่างนุ่มนิ่มที่ไร้ซึ่งอาภรณ์โอบรัดแผงอกหนาของชายหนุ่มอย่างแนบแน่น นางจงใจซบใบหน้าลงบนอกของเขา บดเบียดร่างกายเปลือยเปล่าเข้าหาอย่างจงใจ แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาและหวาดกลัวสุดขีด
จูจวิ้นหาวถึงกับชะงักงัน หัวใจเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กลิ่นกายหอมกรุ่นของสตรีที่โอบล้อมกายทำให้สติของเขาวูบไหว มือหนาทั้งสองข้างเผลอโอบกอดร่างนุ่มหยุ่นนั้นไว้ราวกับปกป้องอย่างลืมตัว
