Ep.3
“สวัสดีค่ะคุณเธม คุณเข้าใจถูกต้องแล้วค่ะ ฉันบาบี้ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
มือเรียวสวยยกขึ้นไหว้ตามแบบฉบับหญิงไทย ซึ่งเธมก็ยกมือไหว้ตอบกลับเช่นกัน เพราะว่าหนุ่มอังกฤษอยู่เมืองไทยมานานหลายปีแล้ว นอกจากเขาจะพูดภาษาไทยได้ชัดเจนแล้วชายหนุ่มยังรู้จักวัฒนธรรมไทยมากพอสมควร
“ยินดีที่จะได้ร่วมงานกันในวันมะรืนที่จะถึงนี้นะครับ ท่าทางคุณคงกลัวสุนัขตัวนั้นนะครับ” ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต
“ก็ไม่เชิงค่ะ คือฉันไม่ค่อยถูกเคมีกับพวกสุนัขแปลกถิ่นสักเท่าไรค่ะ” รุ้งราตรีตอบยิ้มๆ ไปตามความจริง
“ไม่ต้องกลัวหรอกครับ เจ้าบิ๊กบอสมันไม่กัดผู้หญิงสวยๆ หรอกครับ มันแค่ชอบมองด้วยสายตาเท่านั้น” เธมกล่าวยิ้มๆ มองคู่สนทนาสาวด้วยแววตาและรอยยิ้มอบอุ่น
พลันสายลมเย็นจากที่ไหนก็ไม่รู้พัดวูบมากระทบผิวหน้าของหญิงสาวจนเส้นผมนุ่มปลิวสะบัด ร่างอรชรยกมือขึ้นลูบลำแขนกลมกลึงของตนเองป้อยๆ เมื่อรู้สึกว่าขนแขนของตนเองลุกเกลียว เพราะบรรยากาศมันเย็นยะเยือกแปลกๆ พิกล ที่อยู่ๆ ลมก็พัดมาแค่วูบเดียวแล้วก็หายไปเมื่อพูดถึงเจ้าสุนัขตัวนั้นที่ชื่อ ‘บิ๊กบอส’
“คุณมั่นใจได้อย่างไรคะว่ามันจะไม่กัดฉัน” รุ้งราตรียังแคลงใจไม่หาย เพราะภาพสายตาวาววับคมกริบของเจ้าสุนัขตัวโตท่าทางดุๆ ตัวนั้นยังติดตาเธออยู่เลย สัตว์เลี้ยงอะไรท่าทางดุดันก้าวร้าวราวกับสัตว์ป่า สีดวงตาก็ดูมืดมิดราวกับสีของท้องฟ้ายามราตรี และถ้าหากเธอตาไม่ฝาด หญิงสาวก็คิดว่าดวงตาของมันเป็นสีเทาเข้มเหลือบดำดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
...หมาบ้าอะไรสีดวงตาน่ากลัวพิลึก...
แค่คิดในใจขนอ่อนบริเวณต้นแขนและลำคอก็ลุกชันขึ้นมาอีกครั้ง อาการแบบนี้มันไม่น่าไว้ใจเลย ไม่รู้ว่าคนอื่นที่เข้ามาเที่ยวในรีสอร์ตแห่งนี้จะรู้สึกขวัญอ่อนเหมือนกับเธอทุกคนหรือเปล่า หรือเพราะเธอแปลกประหลาดกว่าชาวบ้านเขาถึงได้มีความรู้สึกแปลกๆ เช่นนี้
“ผมเอาหัวเป็นประกันเลยนะครับว่ามันจะไม่กัดคุณ เพราะเท่าที่ผ่านมามันก็ไม่เคยกัดใครที่ย่างกรายเข้ามาในรีสอร์ตแห่งนี้เลย” ชายหนุ่มยืนยันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงมั่นคง
หญิงสาวก็อยากจะเชื่อเหมือนกันแหละว่าเจ้าสัตว์โลกท่าทางน่ากลัวตัวนั้นมันจะไม่แว้งมากัดเธอ แต่ในเมื่อคนดูแลรีสอร์ตยืนยันหนักแน่นขนาดนี้เธอก็ควรจะเชื่อเขาบ้างสักแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็ต้องพยายามอยู่ห่างๆ มันเอาไว้เพื่อเป็นการป้องกันตนเองดีที่สุด
เธมพาผู้ช่วยสาวคนใหม่มายังห้องทำงานของเขา พาสาวน้อยไปแนะนำกับเพื่อนร่วมงานทุกคนในออฟฟิศ จากนั้นก็บอกหน้าที่ที่เธอจะต้องรับผิดชอบในแต่ละวัน ก่อนที่จะพาเจ้าของร่างเพรียวบางในชุดยาวรุ่มรามไปยังบ้านพักสองชั้นที่อยู่ในมุมที่ค่อนข้างสงบมากไม่ไกลจากตึกสำนักงานนัก เดินไม่กี่นาทีก็ถึง
ถ้าสังเกตดีๆ บ้านพักเกือบทั้งหลังแทบจะไม่ถูกแสงแดดเลยก็ว่าได้ เมื่อมันถูกบดบังด้วยร่มไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมหลังคาเอาไว้เกือบทั้งหมด
บ้านพักหลังใหญ่โตนี้เป็นบ้านสไตล์อิงลิชคันทรีที่ทาสีภายนอกภายในด้วยโทนสีเทาอ่อนๆ ภายนอกตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับดูร่มรื่นสวยงามน่าอยู่ ส่วนพื้นบ้านเป็นหินอ่อนขัดเงาสีเดียวกันกับผนัง ภายในตัวบ้านดูสงบเยือกเย็น ใช่...สาวน้อยคิดว่ามันสงบ ‘เยือกเย็น’ จริงๆ นั่นแหละ เพราะทันทีที่เธอก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามาในบ้าน สายลมวูบวาบเย็นๆ พัดมาจากทิศใดก็ไม่ทราบ พัดมากระทบผิวกายของเธอจนรู้สึกขนคิงลุกชูชันขึ้นมาอีกครั้ง มันทั้งเย็นยะเยือกและรู้สึกแปลกๆ สองครั้งแล้วสินะที่เธอรู้สึกไม่ปกติแบบนี้
“ที่นี่จะมีแม่บ้านคอยดูแลหนึ่งคน แต่ตอนนี้ป้าแกคงเอาอาหารไปให้เจ้าบิ๊กบอสกินที่หลังบ้าน เดี๋ยวผมจะช่วยยกกระเป๋าขึ้นไปให้ที่ห้องพัก แล้วจะพาคุณไปแนะนำให้รู้จักกับป้าสำลี”
เธมบอกเสียงทุ้ม ก่อนจะพาสาวน้อยไปยังห้องต่างๆ ของบ้านจนมาถึงห้องสุดท้ายคือห้องครัว ที่ดูสะอาดสะอ้านเช่นเดียวกับทุกๆ ห้องที่เงาวับแตะหาฝุ่นไม่เจอแม้แต่นิดเดียว ไม่น่าเชื่อเลยว่าบ้านพักหลังใหญ่ที่มีจำนวนห้องต่างๆ รวมกันไม่ต่ำกว่าสิบห้องจะถูกทำความสะอาดโดยแม่บ้านเพียงคนเดียว
“เอ่อ คุณเธมคะ ฉันมีเรื่องอยากจะถามค่ะว่า บ้านหลังนี้พักอยู่ด้วยกันกี่คนคะ”
เจ้าของร่างสูงประมาณสองฟุตหันมามองผู้ช่วยสาวแล้วส่งยิ้มแสนเสน่ห์มาให้สาวน้อยอีกครั้ง ก่อนจะตอบไขข้อกังขาให้กับเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง
“บ้านหลังนี้อยู่กันแค่สี่ชีวิตครับ คือผม คุณ แม่บ้านสำลีกับบิ๊กบอสเท่านั้น แต่ผมไม่ค่อยมานอนที่บ้านหลังนี้บ่อยนัก ส่วนใหญ่จะนอนที่ออฟฟิศมากกว่า”
“อ้อ ค่ะ” ใบหน้าสวยหวานพยักหน้าเข้าใจแต่ทว่าแววตาสีน้ำตาลเข้มอมทองกลับเต็มไปด้วยคำถามอีกมากมาย ซึ่งเธมพอจะมองออก
เพราะบรรยากาศที่ดูเงียบเหงาวังเวงชวนให้ขนลุกแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลากลางวัน มันก็ทำให้สาวน้อยขี้สงสัยมองทุกอย่างรอบตัวอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก แต่ที่ไม่วิ่งแจ้นออกไปจากรีสอร์ตแห่งนี้ทันทีที่ย่างก้าวเข้ามาในบ้านพักหลังนี้ก็เพราะคำบอกเล่าของบิดาที่บอกว่ารีสอร์ตแห่งนี้จะไม่มีอันตรายใดๆ มากล้ำกลายเธอได้แน่นอน เพราะเจ้าของรีสอร์ตสร้างระบบรักษาความปลอดภัยไว้อย่างแน่นหนา
“นั่น แม่บ้านสำลีมาแล้ว สำลี”
ท้ายประโยคร่างสูงหันไปเรียกแม่บ้านวัยชราด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ร่างท้วมในชุดกันเปื้อนเบนสายตาจากเจ้าสุนัขตัวโตหันหน้ามามองผู้มาใหม่ด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัยเล็กน้อย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความชื่นชมในตัวหญิงสาวตรงหน้าในนาทีต่อมา แม่บ้านผู้สูงวัยทำท่าเอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อเพ่งพิจารณาร่างเพรียวบางสมส่วนที่เป็นผู้หญิงทุกกระเบียดนิ้วด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะส่งยิ้มให้สาวน้อยแปลกหน้าด้วยท่าทางที่เป็นมิตร
“ป้าสำลี นี่คุณรุ้งราตรีหรือบาบี้ ผู้ช่วยคนใหม่ของผม ลูกสาวของคุณเรืองฤทธิ์ที่เพิ่งย้ายไปประจำสาขาสาม คุณบาบี้ นี่คือป้าสำลีแม่บ้านเก่าแก่ของที่นี่”
เธมที่เป็นเหมือนเจ้าของบ้านเอ่ยแนะนำสองสาวต่างวัยให้รู้จักกันคร่าวๆ ก่อนที่จะขอตัวไปทำงานบนออฟฟิศต่อ ปล่อยให้สองสาวทำความรู้จักกันตามลำพังสองคน เพราะรุ้งราตรีจะได้เริ่มงานในวันมะรืน ดังนั้นผู้ช่วยสาวจึงมีเวลาเที่ยวชมรีสอร์ตสวยๆ ที่นี่อีกหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนถ้าไม่รวมวันนี้
“คุณบาบี้สวยเหมือนตุ๊กตาเลยนะคะ มาค่ะเดี๋ยวป้าจะพาไปรู้จักกับบิ๊กบอสเจ้าของบ้านหลังนี้”
แม่บ้านผู้สูงวัยเอ่ยออกมาด้วยมิตรไมตรี แต่ทว่าดวงตากลมโตของผู้อาศัยคนใหม่กลับเต็มไปด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ ก็เจ้าบิ๊กบอสที่เธมแนะนำว่ามันคือสุนัขที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ แล้วมันจะมาเป็นเจ้าของบ้านไปได้อย่างไรแม่บ้านคนนี้พูดจาแปลกๆ ให้คิดอีกแล้ว
แต่ความสงสัยก็ถูกเก็บงำไว้ในใจจนกระทั่งร่างท้วมของแม่บ้านมาหยุดยืนอยู่หน้าเจ้าสัตว์สี่ขาที่นั่งมองมาทางพวกเธอสองคนก่อนหน้านั้นแล้ว ดวงตาสีเทาเหลือบดำวาววับของเจ้าบิ๊กบอสจ้องเขม็งมองเธออีกครั้งด้วยแววตาคมกล้าบาดจิตจนหญิงสาวรู้สึกแสบ
“นี่บิ๊กบอสเจ้าของบ้านหลังนี้ค่ะคุณบาบี้”
ทันทีที่สบตากับมันอีกครั้ง รุ้งราตรีก็รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงเจ้าสัตว์สี่ขาตัวโตตัวนี้มากเหลือเกิน แม้ว่าเธมจะยืนยันว่ามันจะไม่กัดเธอ แต่พอเห็นมันเอาแต่นั่งจ้องมองเธอนิ่งๆ ไม่ไหวติงแบบนี้ หญิงสาวก็รู้สึกปอดแหกขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
“เจ้าหมาตัวนี้หรือคะที่เป็นเจ้าของบ้าน ป้าพูดเล่นหรือเปล่าคะ” พูดพลางแต่ดวงตาคู่สวยก็จ้องมองเจ้าสัตว์โลกสี่ขาที่เธอหวาดกลัวมากที่สุดอีกครั้ง ก็ท่าทางของมันดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลยนี่ หรือว่าเธอจะคิดไปเองคนเดียวก็ไม่รู้สิ
