EP2
“ผมมีคำถามที่อาจไม่เกี่ยวกับงานอยู่สองสามข้อ”
“ค่ะท่าน ดิฉันยินดีตอบทุกคำถามค่ะ” เพียงขวัญยิ้มออก เมื่อเห็นเขาบอกเป็นนัย ซึ่งมันมีแนวโน้มว่าเขาอาจจะรับเธอเข้า
ทำงานด้วย
“ผมรู้ว่าการที่คุณมาในสภาพนี้ คงเกิดเหตุจำเป็นขึ้นในระหว่างทาง ผมจึงให้โอกาสคุณ ตอนนี้ผมอยากทราบเหตุจำเป็นที่คุณเจอระหว่างที่คุณกำลังเดินทางมาที่นี่“
เพียงขวัญนิ่งอึ้งไป เพราะเธอรายงานเหตุจำเป็นของเธอไปแล้วว่าแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุ และเธอจำเป็นต้องพาแม่ส่งโรงพยาบาลก่อน ขอเลื่อนสัมภาษณ์เป็นวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่ แต่ทางฝ่ายบุคคลไม่ให้โอกาสเธอเลย
“แม่ของดิฉันถูกรถชนค่ะ ดิฉันต้องพาท่านไปส่งโรงพยาบาลก่อน”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณแจ้งไปทางแผนกบุคคลก็ได้ เพราะเขาจะแจ้งขึ้นมาที่นี่ แล้วเราคงไม่ใจดำให้คุณกระเสือกกระสนมาในสภาพนี้”
หญิงสาวลอบถอนใจ แล้วยิ้มให้ประธานบริษัทผู้ใจดี โดยไม่ได้รายงานว่าตัวเองแจ้งมาที่ฝ่ายบุคคลแล้ว
“เลือดที่เปื้อนอยู่บนเสื้อ แสดงว่าแม่ของคุณ อาการหนักใช่ไหม?” สายตาที่อัครพลทอดมองมานั้น เป็นสายตาของผู้ใหญ่ที่ส่งมาด้วยความเห็นใจและเมตตา ทำให้หญิงสาวน้ำตาคลอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ยังอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. ค่ะ”
เพียงขวัญตอบเสียงสั่นเครือ น้ำตาจะหยดลงมาให้ได้
วีระที่นั่งทำงานอยู่ไม่ไกล ก็เอาทิชชู่มาส่งให้ พร้อมนั่งอยู่ข้างๆ
“แล้วไปโดนรถชนได้ยังไง เล่ามาสิ เล่ามาจะได้ช่วยกันได้ แหม..ดูสิ แม่เจ็บหนักขนาดนั้น ยังอุตส่าห์มาสัมภาษณ์งาน ถ้าแจ้งมาก่อน พวกเราไม่ใจดำหรอก แม่คุณเอ๊ย”
วีระพูดยืดยาวจนอัครพลต้องส่งสายตาปราม จึงเงียบเสียงลงได้
“แม่ดิฉัน ขายข้าวแกงอยู่ปากซอยค่ะ เรามีกันแค่สองคน ตอนเกิดเหตุดิฉันกำลังจะขึ้นรถเมล์พอดี แต่ว่ามีรถยนต์คันหนึ่งเสียหลักพุ่งเข้าชนบริเวณนั้น มีคนได้รับบาดเจ็บหลายคนค่ะ รวมทั้งแม่ด้วย”
เพียงขวัญพยายามเรียบเรียงคำพูด เพื่อเล่าเหตุการณ์ให้คนทั้งคู่ฟัง
“ผมเห็นแก่ความตั้งใจของคุณที่พยายามมาตามนัด มันแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของคุณ ซึ่งอาจจะทำให้เราร่วมกันงานได้ด้วยดี”
เพียงขวัญเบิกตากว้างขึ้น เธอยิ้มทั้งที่น้ำตากำลังจะไหล
“ดิฉันจะได้งานใช่ไหมคะ?”
วีระหันไปมองประธานอัครพลเช่นกัน เพราะถ้าดูคุณสมบัติจริงๆ แล้ว น่าจะมีคนอื่นที่ดีกว่าเธอ เช่นคนที่เคยมีประสบการณ์มาทำงานมาแล้ว
“ตำแหน่งที่เรารับสมัคร...มีคนเหมาะสมอยู่แล้ว”
“อ้าว..ท่านครับ”
เสียงถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ดังขึ้นทันที แม้ว่าเขารู้ว่ามีคนอื่นที่ดีกว่าเพียงขวัญ แต่ไม่คิดว่าท่านประธานจะไปพูดให้ความหวังกับเธอคนนี้
“ใจเย็นคุณวี ผมจะรับคุณเพียงขวัญไว้ก่อน แต่เรื่องตำแหน่งเดี๋ยวให้คุณวีไปดูให้ว่ามีตำแหน่งไหนที่พอจะให้คุณเพียงขวัญเขาทำได้”
“งานเอกสารของเลขานุการนี่ล่ะครับท่าน” วีระบอกทันที
“มาช่วยกันตรงนี้ก็ได้นะครับ มีเลขาฯ ช่วยท่านหลายคนดีนะตาย ได้ไหมครับท่าน?”
“ได้..ผมจะให้ฝ่ายบุคคล เขาหักของคุณมาเพิ่มให้เขาด้วย ดีไหม”
“ดีครับ อุ๊ยไม่ดีนะครับท่านประธาน ไม่ดีๆ”
ชายหนุ่มยิ้ม แล้วส่ายหน้ากับวีระที่ดูเหมือนจะถูกชะตากับเด็กใหม่พอๆ กับเขาที่นึกเอ็นดูเธอ โดยเฉพาะสิ่งที่เธอเล่านั้น เธอแบกรับมันได้อย่างไร เป็นเขาก็คงทิ้งทุกอย่าง แล้วไปอยู่ที่โรงพยาบาลกับคนที่เขารักแน่นอน
“เอาเป็นว่า...เบื้องต้นคุณมาทำงานกับคุณวี เงินเดือนผมให้เท่าที่คุณเรียกมา แต่ยังไม่ต้องมาทำงาน จนกว่าแม่ของคุณจะออกจากโรงพยาบาลได้”
“แต่ว่า....”
“เอาตามที่ผมพูด เดี๋ยวผมก็จะไปเยี่ยมแม่ของคุณที่โรงพยาบาลด้วย”
“ตอนนี้เลยหรือคะ”
“งั้นสิ ผมสัมภาษณ์คุณเสร็จแล้ว ตอบรับคุณเข้าทำงานแล้ว ตอนนี้ก็เลิกงานแล้วด้วย ไปเถอะ..คุณไปกับผมนี่แหละ”
ชายหนุ่มลุกปุบปับจนหญิงสาวทำตัวไม่ถูก ขณะที่วีระก็จัดแจงเคลียร์เอกสารบนโต๊ะทำงานของชายหนุ่มอย่างว่องไว
แล้วนำไปวางไว้ที่โต๊ะของเขา
“คุณวี จะไปด้วยกันไหม”
“ไม่ล่ะครับ ผมมีนัด”
“ตามใจ ไปกันเถอะคุณเพียงขวัญ... อ้อ..คุณมีชื่อเรียกง่ายๆ ไหม”
“เรียกดิฉันว่าขวัญก็ได้ค่ะ”
“คุณขวัญ..โอเค คุณก็ควรจะแทนตัวคุณว่าขวัญด้วยนะ”
เขาพยักหน้ารับแล้วเดินนำหน้าเธอออกไปจากห้อง โดยมีวีระโบกมือลาแล้วยิ้มให้ เพียงขวัญยกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนรีบเดินตามชายหนุ่มไปอย่างรีบเร่ง
“โชคดีเหลือเกินนะแม่คุณ มาเจอท่านตอนอารมณ์ดี ถ้ามาเจอตอนอารมณ์ร้ายๆ จะได้งานหรือเปล่าก็ไม่รู้”
วีระรำพึงกับตัวเอง พร้อมกดหมายเลขโทรศัพท์ลงไปยังแผนกบุคคลเพื่อแจ้งการรับพนักงานใหม่ เพราะนอกจากเลขานุการที่ท่านประธานเลือกไว้ก่อนหน้าที่เพียงขวัญจะมาสัมภาษณ์ ยังรวมถึงเพียงขวัญที่รับเข้าทำงานโดยยังไม่มีตำแหน่งด้วย
