ep3
เพียงขวัญยืนมองมารดาผ่านกระจกที่หน้าห้องไอ.ซี.ยู หมอยังไม่อนุญาตเข้าเยี่ยม เพราะอาการยังสาหัส และทางแพทย์ต้องขอความเห็นชอบในการผ่าตัดสมองด่วน ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก เมื่อเธอได้ยินจำนวนเงิน เธอแทบจะทรงตัวไม่อยู่ เพราะลำพังค่าใช้จ่ายที่นำมามารดาเธอมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เธอก็ยังจนปัญญาไม่รู้ว่าจะไปหาเงินมาจากไหน
ชายหนุ่มที่ยืนข้างเธออยู่นี้ เขาเป็นชายหนุ่มสูงวัย บุคลิกดี ตอนที่ลงมาจากรถแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับเธอ เห็นพยาบาลสาวๆ ยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบุคลิกอันโดดเด่นของเขา หรือว่ามีเหตุผลอื่น หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะใจมัวแต่พะวงถึงเรื่องของมารดาที่ป่านนี้ยังไม่รู้สักตัว
ขณะที่หญิงสาวมีท่าทีวิตกกังวล ชายหนุ่มแยกไปคุยกับนายแพทย์เจ้าของไข้ ก็มีชายหนุ่มสูงอายุอีกคนปรี่เข้ามาหาเธอ
ด้วยสายตาเป็นห่วง เพียงขวัญหันกลับไปมองแล้วชักเท้าถอยหลัง น้ำตาร่วงพรู
“คุณพ่อ!”
“ขวัญ...แม่เป็นยังไงบ้างลูก”
น้ำเสียงแหบเครือ แสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด ทว่า...หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ากลับเงียบงัน ไม่มีคำตอบ
“ขวัญ...บอกพ่อสิลูก...พ่อเป็นพ่อของหนูนะลูก”
“ไม่ใช่...คุณไม่ใช่พ่อ...ตั้งแต่คุณทิ้งพวกเราไป”
น้ำเสียงเจือสะอื้นของเพียงขวัญตอบออกไปอย่างเจ็บปวด น้ำตารินไหลไม่ขาดสาย เธอทรุดนั่งลงแล้วก้มหน้าสะอื้น ผู้เป็นพ่อนั่งลงข้างๆ อยากจะโอบกอดให้กำลังใจลูกสาวแต่..เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจนหลายคนต้องหันไปมอง
“คุณนพ...มาอยู่ที่นี่เองนะคะ แหม...แม่ลูกสาวที่คงจะโทร.ไปอ้อนให้พ่อมาดูใจอดีตคนรักเก่าสินะ”
“คุณวารี!”
เพียงขวัญปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นจ้องเขม็งกับผู้หญิงที่ชื่อวารี เธอเป็นเมียใหม่ของมานพ พ่อที่ทิ้งแม่ไป เพราะเขาสวยกว่า
รวยกว่า ไม่ใช่แม่ค้าข้างถนนเหมือนแม่ของเธอ
“ฉันไม่เคยโทร.หา เพราะเราขาดการติดต่อกันไปนานแล้ว ถ้าจะโทษ ก็โทษคนของคุณนั่นแหละค่ะ ที่ยังตัดเยื่อใยไม่ขาด” หญิงสาวตอบโต้อย่างไม่คิดจะเกรงกลัว
“คุณวารี ผมรู้จากข่าวว่าคุณเพียงใจถูกรถชน อย่าไปโทษคนอื่นเลย และการที่ผมจะมาเยี่ยม มันจะแปลกอะไร”
“ไม่แปลกหรอกค่ะ ถ้าคุณบอกฉันก่อน ไม่ใช่แล่นมาหามันโดยไม่บอกไม่กล่าว”
วารีเชิดหน้าบูดบึ้งใส่ ก่อนจะปรายตามองเข้าไปในห้องไอ.ซี.ยู.ที่มีสายต่างๆ ระโยงระยางเพื่อช่วยพยุงชีวิตคนไข้อยู่เต็มไปหมด
“นี่คงหวังว่าจะมาช่วยค่ารักษาพยาบาลสินะ...ฉันไม่ว่าหรอกค่ะ ว่าคุณจะเอาเงินมารักษาคนไข้...ที่เคยรู้จักกัน แต่อย่าลืมนะคะว่าเงินพวกนั้น มันเงินของฉัน ซึ่งฉันควรจะรู้ก่อนว่าคุณจะเอาไปทำอะไร” วารีพูดเสียงเบาๆ ที่สะท้านไปหมดทั้งหัวใจของคนได้ยิน ทั้งมานพและเพียงขวัญ
“คงไม่ต้องลำบากคุณทั้งคู่หรอกนะครับ เพราะผมรับเป็นเจ้าของไข้แล้ว”
“ท่านประธานคะ”
เพียงขวัญหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามายืนยิ้มอยู่กับเธอพร้อมโอบไหล่บอบบางเข้าหาตัวเอง
“คุณเป็นใคร?”
มานพถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก ขณะที่วารีมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ
“คุณอัครพล นี่คุณไปรู้จักกับยัยเด็ก...เอ่อ...คนนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
วารีถามอย่างแปลกใจ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าอัครพลเป็นใคร เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลแห่งนี้ และยังเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆ ของประเทศ หรือว่า....แม่ลูกคู่นี้ จะคว้าเอาชายวัยคราวพ่อมาเป็นสามี เพราะหวังตกถังข้าวสาร
“เพียงขวัญ เป็นคนในครอบครัวผมครับ”
เขาตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ฝ่ามือบีบไหล่หญิงสาวเบาๆ เพื่อให้สัญญาณ ซึ่งเธอก็เลือกที่จะเงียบ เพราะจริงๆ แล้วเธอก็อึดอัดกับสภาพที่อยู่ตรงหน้านี้เหลือเกิน ถ้าเขาจะเข้ามาช่วยจริง
จะให้เธอทำอะไร เธอยอมทั้งนั้น
“ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่อง!” มานพถามเสียงกร้าว ท่าทางไม่พอใจ เช่นเดียวกับวารีที่ก็เห็นพ้องกับสามีเช่นกัน
“นั่นสิ อุปโลกน์ขึ้นมาหรือเปล่า จู่ๆ จะมาบอกว่าเป็นคนในครอบครัวของคุณ เด็กคนนี้แต่งงานกับคุณหรือคะ?”
สายตาของวารีมองปราดไปที่นิ้วซ้ายของหญิงสาวแล้วยิ้มเย้ย ชายหนุ่มอาจจะหลอกเธอก็ได้ เพียงขวัญอาจจะเป็นแค่คู่นอนชั่วคราวอย่างที่หญิงสาวหลายๆ คนกำลังจะจับผู้ชายคนนี้
“ผมบอกว่าคนในครอบครัวของผม ก็หมายความตามนั้นครับ แต่คุณจะคิดอะไรมากไปกว่านั้นก็แล้วแต่คุณ”
เขาก้มลงมองหล่อน หวังใจว่าเธอจะมีไหวพริบที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เพราะเขาเชื่อว่าเธอเป็นคนฉลาด
“เอ่อ...ขวัญทำงานให้ท่านค่ะ”
“ทำงาน? หึๆ งานอะไรล่ะ...ถึงได้กลายเป็นคนในครอบครัวของมหาเศรษฐีอย่างคุณอัครพลได้”
คุณวารีจ้องเขม็งอย่างจับผิด
“เอ...ผมว่าขวัญเขาจะทำงานอะไรให้ผม ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณวารีนี่ครับ”
เขาต่อว่าเอาตรงๆ เล่นเอาวารีหน้าชา สะบัดหน้าหนี
“ขวัญ..นี่หมายความว่ายังไงกัน ช่วยอธิบายความจริงให้พ่อฟังด้วยสิ”
มานพถามหญิงสาว สายตาแสดงความเป็นห่วง เพราะถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นตัวจริงของคนชื่ออัครพล แต่ชื่อเสียงของอัครพลในด้านสาวๆ ก็ทำให้เขาจำได้ ในฐานะหนุ่มใหญ่เพลย์บอยตัวพ่อ
เพียงขวัญเงยหน้าขึ้นมองท่านประธาน แล้วพยายามฝืนยิ้ม ก่อนจะหันมามองมานพ
“ขวัญไม่ได้ทำอะไรเหลวไหลอย่างที่พวกคุณคิดหรอกค่ะ งานของขวัญเป็นงานสุจริต”
“ผมว่าเราเสียเวลาตรงนี้พอแล้วนะครับ เดี๋ยวผมจะพากขวัญไปหาหมอเจ้าของไข้ ตอนนี้ผมให้เขาผ่าตัดสมองของคุณเพียงใจ แต่ขวัญต้องลงชื่อรับรองไว้ด้วย ขอตัวก่อนนะครับ”
อัครพลตัดบทไม่สนทนากับคนทั้งคู่ แล้วดึงตัวเพียงขวัญออกไปจากบริเวณนั้น ทิ้งให้สามี-ภรรยา มองตามด้วยความรู้สึก
ต่างกัน แต่พอวารีรู้สึกตัว เธอก็ดึงรั้งสามีให้กลับบ้านทันที
