5. บ้านสวนคุณยาย
“คุณยายคร้าบ..”
สิปปกร เรียกหายาย เขาเดินไปที่สวนหลังบ้านซึ่งเป็นสวนผลไม้พวกขนุนทุเรียนที่ปลูกไว้นานแล้วบนที่ดินประมาณ 15 ไร่
ความจริงแล้ว ที่ดินของยายกันยามาศ เคยมีนับร้อยไร่แต่ได้ขายไปเกือบหมด เนื่องจากไม่มีคนดูแล เพราะคุณยายก็เป็นเพียงหญิงหม้ายสามีเสียชีวิต นางจึงอยู่กับคุณประภาวรรณ ซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว และคุณประภาวรรณ ก็ไม่ได้สนใจไยดีกับที่ไร่ที่สวนของคุณยายเลย ทำให้คุณยายตัดสินใจขายที่สวนให้กับนายทุนคนหนึ่งไปในราคาห้าสิบล้านบาท เหลือเอาไว้เพียงปลูกเป็นบ้านทรงไทยไม้สักทั้งหลังแบบสองชั้นในบริเวณที่เป็นสวนสิบกว่าไร่นี้
ยายกันยามาศ ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงิน เพราะมีรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร และเงินปันผลจากการซื้อหุ้นกองทุนต่าง ๆ และคุณประภาวรรณ ก็ยังช่วยค่าใช้จ่ายในบ้านของคุณยายทุกเดือนไม่เคยขาด
แต่คุณยายก็ไม่ได้นำเงินส่วนที่คุณประภาวรรณให้ไปใช้จ่ายแต่อย่างใด
ทว่า..นำเงินที่ลูกสาวให้นั้นไปช่วยเหลือเลี้ยงดูเด็กกำพร้าตามมูลนิธิต่าง ๆ โดยยายเคยให้เหตุผลกับสิปปกรว่า
“แม่ของปอนด์ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำบุญ มัวแต่ทำงานหาเงิน เพื่อเอาไว้หาความสุขกับงานปาร์ตี้สูบบุหรี่ดื่มเหล้า ผิดศีลข้อห้าเป็นอาจิณ ชวนไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็ไม่เคยสนใจไยดี ก็ต้องเอาเงินส่วนที่เขาให้ยายนี่แหละ มาทำบุญทำทานให้เขา เผื่อบุญกุศลจะช่วยให้แม่ของปอนด์สำนึกได้บ้าง จะได้เลิกกินเหล้าเมายา เลิกสูบบุหรี่ แล้วหันหน้าหาพระธรรมบ้าง”
“มาแล้วหรือปอนด์”
เสียงร้องทักดังมาจากด้านหลัง
สิปปกร หันไปมองเห็นยายกันยามาศ อยู่ในชุดขาวแบบแม่ชี ใบหน้าผ่องใสมีเมตตา แม้วัยของท่านจะย่างเข้าเจ็ดสิบปีแล้ว แต่ก็ยังดูไม่แก่เท่ากับอายุจริง
สิปปกร ชินตากับภาพการแต่งตัวด้วยชุดขาวของยายกันยามาศ ซึ่งจะนุ่งขาวห่มขาวทุกวันพระ แล้วก็จะปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิทั้งช่วงเช้าและค่ำเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ทุกคนในบ้านต่างก็ทราบดีว่าคุณยายกันยามาศ เป็นคนใจบุญชอบทำบุญทำทาน สวดมนต์ไหว้พระ และไปปฏิบัติธรรม ตามวัดหรือศูนย์ปฏิบัติธรรมต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยเฉลี่ยแล้วก็เกือบทุกเดือน ไปครั้งละ 5 วันบ้าง 10 วันบ้าง สูงสุดคุณยายของเขาเคยไปปฏิบัติธรรมนานถึง 3 เดือน
สิปปกร เคยถูกชักชวนให้เข้าปฏิบัติธรรมกับคุณยายด้วย แต่เขาก็ไปกับยายเพียงสองครั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะไปรับส่งยายที่วัดหรือศูนย์ปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ซึ่งเพียงแค่นั้นยายกันยามาศก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
“อย่างน้อยก็ยังรู้จักอยู่ใกล้วัดใกล้ธรรม ไม่เหมือนรายของแม่ปอนด์ที่พูดเรื่องธรรมก็ไม่ฟัง ชักชวนให้เปิดดูเปิดฟังธรรมก็ไม่เอา เป็นพวกบัวใต้ตม ยิ่งแก่แทนที่จะละเลิกทำบาป แต่ยิ่งแก่ยิ่งหลงเพลินกินเหล้าเมายาอยู่อย่างนั้นแหละ...เฮ้อ..”
ยายเคยพูดถึงมารดาให้กับสิปปกรฟังด้วยความท้อแท้ที่ไม่สามารถโน้มน้าวใจให้มาทำในสิ่งเดียวกับยายได้
“แม่เขาเครียดกับงานน่ะครับ ก็เลยต้องดื่มเหล้าให้หายเครียด จะได้ทำงานอย่างปลอดโปร่งคิดงานออกไงครับ”
สิปปกร ก็จะช่วยแก้ต่างให้กับมารดาเสมอ
“คนอยากจะหาเรื่องกินเหล้าก็อ้างเรื่องเครียดทั้งปี ข้ออ้างของคนที่ชอบละเมิดศีลห้าล่ะไม่ว่า”.
“ถ้าดื่มอย่างมีสติก็ไม่น่าจะเป็นไรนะครับคุณยาย”
สิปปกร เคยพูดแก้ให้มารดาไปเช่นนั้น
“แล้วปอนด์เคยเห็นใครดื่มเหล้าแล้วมีสติบ้างไหมล่ะ ขึ้นชื่อว่าเหล้ามันก็เข้าไปทำลายสติของความเป็นมนุษย์ให้ลดลงทั้งนั้นแหละ เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ปอนด์ก็ลองถามแม่เขาดูสิ ว่าเพราะเหล้าหรือเปล่า ที่ทำให้พ่อกับแม่ของปอนด์ ทำผิดพลาดกันน่ะ”
คำพูดของยายกันยามาศ ที่เคยกล่าวไว้ ทำให้เขาอยากจะรู้อยู่เหมือนกันว่าบิดามารดาทำผิดพลาดเรื่องอะไรไว้
“สวัสดีครับคุณยาย”
เขายกมือไหว้ยายกันยามาศทุกครั้งที่มาบ้านสวน
“ทานข้าวมาหรือยังลูก”
ยายกันยามาศถามหลานชายด้วยความห่วงใย
“ยังครับ ผมกะว่าจะมาทานข้าวฝีมือยาย”
“วันนี้วันพระ อาหารของยายก็เลยงดเนื้อสัตว์ ปอนด์ฝึกงดทานเนื้อสักวันนะลูก”
สิปปกร พยักหน้ารับ นาน ๆ ครั้งเขาถึงจะงดเนื้อสัตว์เพราะมักจะเป็นจังหวะที่เป็นวันพระที่เขาต้องค้างที่บ้านสวนกับคุณยาย ทำให้เขาจำเป็นต้องรับประทานอาหารพวกผักและผลไม้ตามยายกันยามาศไปด้วย ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา
“วันนี้ยายทำต้มจืดตำลึงเต้าหู้ถั่วเหลือง กับผัดผักเปรี้ยวหวานจะทานเลยไหมลูก”
“เดี๋ยวก่อนก็ได้ครับ ผมอยากรู้เรื่องเจ้าดุ๊กดิ๊กก่อนครับ”
เขาร้อนใจกับเรื่องนี้มากจนต้องรีบมาที่นี่
“ก็อย่างที่ยายโทรบอกนั่นแหละ”
“ผมจะออกตามหามันเองครับ”
“ถึงตามก็ไม่เจอหรอกลูก”
ยายกันยามาศ มีสีหน้าเรียบเฉยดูไม่ได้ทุกข์ร้อนใจเหมือนเขาเลย
“คุณยายรู้ได้ไงครับ”
“อีกไม่นานมันก็จะได้กลับมา เชื่อยายสิลูก”
ยายกันยามาศ บอก ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้นวมตัวโปรดในห้องรับแขก พลอยทำให้หลานชายนั่งลงตามไปด้วย “ถ้ามันไม่กลับมาล่ะครับ” เขามีสีหน้ากังวลใจ
“ก็ให้คิดเสียว่าเรากับดุ๊กดิ๊ก มีวาสนาต่อกันเพียงเท่านั้น อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เหมือนกับที่เกิดอุบัติเหตุกับชวินแล้วก็หนูดรีมไงล่ะ ชวินถึงเวลาที่จะต้องตายก็ไม่สามารถที่จะช่วยเขาได้ ส่วนหนูดรีมยังไม่ถึงเวลาก็เลยรอด”
ยายกันยามาศ พูดโดยใช้หลักธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องหวังให้หลานชายทำใจยอมรับ
“แต่ผมห่วงความรู้สึกของดรีมมาก ไม่อยากให้ดรีมรู้เรื่องที่ดุ๊กดิ๊กหายไป”
“เราหนีความจริงไม่พ้นหรอกลูก ยังไงหนูดรีมก็ต้องรู้”
“แต่คุณยายก็รู้นี่ครับว่าตอนนี้นายวินก็เสียชีวิตแล้ว ถ้าดรีมรู้ว่าคนที่เขารักล้มหายตายจากไป แถมสัตว์ที่เขาทั้งรักและสงสารก็ยังจะมาหายไปจากชีวิตอีก ดรีมจะมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไงบ้างก็ไม่รู้ ผมเป็นห่วงดรีมมากนะครับคุณยาย”
เขาบอกด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ถามจริง ๆ เถอะ ปอนด์รักหนูดรีมใช่หรือเปล่า”
ผู้เป็นยายมองหน้าหลานชายด้วยแววตาของคนที่ผ่านชีวิตมามากก็เลยมองอะไรได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
