4. แจ้งข่าวร้าย
“นี่จะเก้าโมงแล้วแม่ของปอนด์เพิ่งจะไปทำงานเรอะ”
เสียงของยายกันยามาศถามหลานชายมาทางมือถือ
“ครับ..”
เขาตอบคุณยาย แต่สายตามองมารดาที่กำลังเปิดประตูห้องออกไป แล้วก็หันมาโบกมือให้เขาก่อนจะปิดประตูห้อง
“เมื่อคืนคงจะกินเหล้าอีกล่ะสิถึงได้ตื่นสาย”
ยายกันยามาศ เดาได้ถูกต้องเหมือนตาเห็นจนหลานชายอดทึ่งไม่ได้
“ก็นิดหน่อยครับ พอดีพ่อแวะมาหาผมกับแม่เมื่อคืนนี้”
หลานชายตอบพร้อมกับเดินไปนั่งที่โซฟารับแขก
“ถึงพ่อของปอนด์ไม่แวะมา แม่เขาก็ไปดื่มไปสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน ๆ เขาเกือบทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แต่เอาเถอะ ยายไม่อยากพูดถึงแม่ของปอนด์อีกแล้ว ขี้เกียจอบรม”
“คุณยายมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“วันนี้ไปเยี่ยมหนูดรีมที่โรงบาลหรือเปล่าลูก”
คุณยายกันยามาศเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ว่าจะไปช่วงบ่ายครับ คุณยายจะไปด้วยหรือเปล่าครับผมจะแวะไปรับที่บ้านสวน”
“ยังหรอกลูก ที่ยายโทรมาก็จะบอกเรื่องเจ้าดุ๊กดิ๊กน่ะ”
“ทำไมครับ ดุ๊กดิ๊กเป็นอะไรครับไม่สบายหรือเปล่า”
สิปปกร ถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าดุ๊กดิ๊กหายไปจากบ้าน”
สิปปกร ใจหายวาบกับคำตอบที่ได้รับ ความรู้สึกเหมือนสูญเสียของรักไปเขาแทบจะทำโทรศัพท์มือถือร่วง
“ปอนด์..ได้ยินที่ยายบอกหรือเปล่า”
ยายกันยามาศ ถามย้ำเมื่อเห็นว่าหลานชายนิ่งเงียบไป
“เจ้าดุ๊กดิ๊กหายไป..เมื่อไหร่ครับ”
พอตั้งสติได้เขารีบถามทันที
“ก็หลายวันแล้วลูก ตั้งแต่ที่ปอนด์ต้องวุ่นดูแลหนูดรีมไม่ได้มาค้างที่บ้านสวนกับยาย”
“เมื่อวานผมโทรหาคุณยายไม่เห็นคุณยายบอกผมเลย”
เขารู้สึกแปลกใจที่คุณยายของเขาเพิ่งจะมาบอก
“ยายไม่อยากให้ปอนด์ไม่สบายใจน่ะ เห็นว่ากำลังเสียใจอยู่กับเรื่องชวินกับหนูดรีม”
“งั้นเดี๋ยวผมไปที่บ้านสวนนะครับ”
สิปปกร วางสายจากยายกันยามาศแล้วก็รีบเข้าไปอาบน้ำทันที เขารู้สึกไม่สบายใจ เพราะดุ๊กดิ๊ก เป็นสุนัขที่เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความรักที่เขาจะแสดงต่อมันได้อย่างเปิดเผยแทนเจ้าของของมัน
เขารู้ว่านัฏนรี รักและสงสารเจ้าดุ๊กดิ๊ก นี้มาก เธอนำมันมาฝากให้เขาช่วยเลี้ยงดูเมื่อสองปีที่แล้ว เจ้าดุ๊กดิ๊ก จึงเป็นเสมือนสื่อกลางที่ทำให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิดกับนัฏนรีโดยที่ไม่มีชวิน ติดสอยห้อยตามมาด้วย เมื่อนัฏนรีแวะไปเยี่ยมเจ้า ดุ๊กดิ๊ก ที่บ้านสวนของคุณยายของเขา เพราะชวินไม่ชอบสุนัขอย่างมาก
....
ทันทีที่สิปปกร จอดรถที่หน้าบ้านของยายกันยามาศ เขาก็เห็นบรรดาสุนัขพันธุ์ไทยสี่ตัวที่ยายเลี้ยงไว้ส่งเสียงเห่าหอนต้อนรับอยู่ที่ประตูรั้ว เขารอจนมีคนมาเปิดประตูรั้ว เจ้าสี่ตัวก็กระดิกหางกรูเข้ามาทักทาย บางตัวก็ใช้ลิ้นเลียขาเขาบางตัวก็เห่าต้อนรับแสดงความดีใจและความคุ้นเคย
“หวัดดีโต้ง เต้ง ต่วย ตูน”
สิปปกร กล่าวทักทายด้วยการลูบหัวเรียกชื่อสุนัขทุกตัวอย่างเอ็นดู
“คุณยายโทรไปบอกเรื่องเจ้าดุ๊กดิ๊กแล้วใช่ไหมคะ”
ป้าผาณิต หญิงวัยกลางคนถามขึ้น เธอเป็นลูกจ้างในบ้านของคุณยายกันยามาศ และเป็นคนมาเปิดประตูรั้วบ้านให้สิปปกรเข้ามา
“เจ้าดุ๊กดิ๊กหายไปได้ยังไงครับป้าน้อย”
เขารีบถามป้าผาณิตด้วยความร้อนใจ
“ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คงจะเป็นช่วงที่ป้าเปิดประตูบ้านเอาขยะไปทิ้งก็ได้ค่ะ แต่ป้าไม่ได้สังเกตจนกระทั่งช่วงที่ป้าจะเรียกพวกมันกินอาหารก็เลยได้รู้ว่าดุ๊กดิ๊กหายไป”
“ได้ออกตามหาบ้างหรือยังครับ”
“คุณยายกันยา จ้างมอเตอร์ไซด์รับจ้างสองสามคันออกตามหาแล้วแต่ไม่พบค่ะ”
สิปปกร ไม่พูดต่อ เขาเดินลิ่วเข้าไปในบ้านหายายกันยามาศข้างใน
ป้าผาณิต มองตามหลานชายเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกเห็นใจ นางรู้ดีว่าสิปปกร นั้นมีความรักผูกพันกับสุนัขที่บ้านหลังนี้ทุกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าดุ๊กดิ๊ก ที่เป็นสมาชิกใหม่รายล่าสุดของบ้านสวน เป็นตัวโปรดที่สิปปกร รักและเอ็นดูมากเป็นพิเศษ เขาจึงได้เป็นห่วงมันมาก
ป้าผาณิต เข้ามาอยู่บ้านของยายกันยามาศตั้งแต่สิบปีที่แล้ว โดยมีหน้าที่คอยดูแลบ้านช่องและสุนัขที่ยายกันยามาศนำมาเลี้ยงไว้ด้วยความสงสาร เนื่องจากสุนัขแต่ละตัวเป็นสุนัขจรจัดที่มีสภาพเนื้อตัวมอมแมม บางตัวก็เป็นสุนัขขี้เรื้อนที่ไปทางไหนก็มีแต่ผู้คนรังเกียจคอยเอาไม้ไล่ตีมัน ยายกันยามาศ สงสารจึงพาไปหาหมอรักษาตัวแล้วก็นำมาเลี้ยงไว้นับสิบตัว แต่ตอนหลังได้ทยอยตายไปจนเหลือแค่สี่ตัว
จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน สิปปกร ก็นำสุนัขตัวใหม่ชื่อดุ๊กดิ๊ก เข้ามาเลี้ยงที่บ้านสวนนี้ แต่ป้าผาณิตก็ไม่ได้รู้ประวัติของเจ้าดุ๊กดิ๊กมากนัก ทราบเพียงว่าเพื่อนของสิปปกร ที่ชื่อ ณัฏนรี เป็นเจ้าของ และนัฏนรี จะแวะเวียนมาเยี่ยมเจ้าดุ๊กดิ๊กอยู่เสมอ บางครั้งก็จะมี ลิลลี่ และ ไปรยา ตามมาด้วย
