บท
ตั้งค่า

3. พ่อแม่ลูก

“ลูกชายเราไม่ได้รับเชื้อแอลกอฮอล์ลิซึ่มจากเราสองคนหรอกนะกฤษอย่าพยายามเลย”

คุณประภาวรรณบอกกับคุณกฤษณะ ด้วยน้ำเสียงขบขันเป็นการหยอกเย้า เธอเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ลูกชายเพิ่งลุกออกไป

“พ่อกับแม่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูกเห็น แต่ลูกกลับทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้พ่อแม่ดู เราควรจะอายลูกกันดีไหมเนี่ยวรรณ”

คุณกฤษณะ กล่าวสัพยอกคุณประภาวรรณ ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างอารมณ์ดี

“กระเบื้องหนาตราช้างอย่างกฤษกับวรรณ รู้จักอายลูกเป็นด้วยหรือ”

คุณประภาวรรณ ตอบเสียงกลั้วหัวเราะ พลอยทำให้คุณกฤษณะ กับสิปปกร อดหัวเราะตามไม่ได้

“เออนั่นสิ..ไม้แก่อย่างเราดัดยากซะแล้ว ยังไงก็ไม่ต้องเลียนแบบพ่อกับแม่ก็ได้นะปอนด์ เพราะพ่อกับแม่ ฝึกกินเหล้าสูบบุหรี่กันตั้งแต่เรียนปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยโน่น แล้วก็เลยติดมายันแก่ เลิกไม่ได้”

คุณกฤษณะ เล่าอดีตให้ลูกชายรับรู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ สิปปกรก็ไม่ได้นับ แต่ที่แน่ ๆ ไม่น่าจะต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว

สิปปกร รับรู้ถึงอดีตความเป็นมาของผู้ให้กำเนิดทั้งสองว่า ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมคณะสถาปัตยกรรมเหมือนกัน พอเรียนจบก็ยังได้เป็นสถาปนิกทำงานที่บริษัทเดียวกันอีกด้วย แต่สาเหตุที่พวกท่านไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวนั้นเขาไม่ทราบเลย

“เห็นแม่เขาบอกว่าปอนด์หาที่เรียนที่อเมริกาได้แล้ว จะให้พ่อฝากปอนด์ไปพักอยู่กับคุณป้าไหม”

ผู้เป็นบิดาเปลี่ยนเรื่องสนทนาเป็นการเป็นงานขึ้นมา

“คุณป้าอยู่คนละรัฐกับมหาวิทยาลัยที่ผมเลือก ผมคิดว่าจะพักกับเพื่อนรุ่นพี่ที่โน่นครับ ตั้งใจว่าจะหางานทำไปด้วย”

“จะทำงานทำไมให้เหนื่อยล่ะ ตั้งใจเรียนให้จบดีกว่ามั้ง ลูกก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองอยู่แล้วนี่นา”

คุณกฤษณะไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าสามารถที่จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเรียนปริญญาโทของลูกชายได้อยู่แล้ว

“ผมอยากหาประสบการณ์ไปด้วย จะได้ฝึกภาษาด้วย”

ลูกชายให้เหตุผล

“ฝึกภาษาก็ไม่จำเป็นต้องทำงานให้มันลำบากนี่นา”

“ช่างลูกเถอะกฤษ เขาเป็นผู้ชายให้ฝึกช่วยเหลือตัวเองน่ะดีแล้ว”

คุณประภาวรรณพูดแย้งคุณกฤษณะ

“งั้นก็ตามใจ แต่เรื่องเงินไม่ต้องห่วงนะลูก ตอนนี้พ่อกับแม่รับจ๊อบโครงการพิเศษร่วมกันได้เงินก้อนโตเชียวล่ะ สามารถให้ปอนด์เรียนได้ถึงปริญญาเอกเลยนะจะบอกให้”

คุณกฤษณะ อวดลูกชาย โดยมีอดีตภรรยาพยักหน้ายิ้ม

“มิน่าล่ะ พ่อกับแม่ถึงดื่มฉลองกัน” สิปปกร กล่าวล้อ

“ฉลองเป็นปกติอยู่แล้วล่ะลูก พวกหาเรื่องกินเหล้าน่ะ”

คุณประภาวรรณ บอกกลับลูกชาย ด้วยความขบขัน

“แล้ววางแผนหรือยังว่าจะเรียนถึงไหน พ่ออยากจะให้ปอนด์เรียนถึงปริญญาเอกไปเลยนะถ้าทำได้” คุณกฤษณะบอก

“ตอนนี้ผมขอแค่ปริญญาโทก็พอแล้วครับ อยากจะเรียนด้านอื่นอีกหลายอย่าง”

“ลูกไม่อยากจะเป็นสถาปนิกเหมือนพ่อแม่แล้วหรือ”

คุณกฤษณะ ถามแบบหยอกล้อมากกว่าจะจริงจัง เขารู้ว่าความชอบของลูกได้เปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา เพราะถึงแม้สิปปกร จะเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมด้วยความที่เห็นพ่อกับแม่เคยเรียน และจบออกมาเป็นสถาปนิกเงินเดือนสูงด้วยกันทั้งคู่ เขาจึงคิดจะเจริญรอยตาม

แต่เมื่อเขาเรียนจบปริญญาตรีด้านสถาปัตยกรรมแล้ว ก็ไม่คิดที่จะเรียนปริญญาโทต่อด้านนี้อีก เขาเลือกที่จะเรียนด้านบริหารธุรกิจแทน

“เอาไว้ให้ผมเรียนจบปริญญาโทก่อนครับ ค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะทำอะไรดี”

สิปปกร ตอบอย่างไม่แน่ใจ

“ค่อย ๆ คิดก็ได้ลูก มีเวลาอีกถมเถ ไม่ต้องซีเรียส”

คุณกฤษณะ บอกตามสไตล์ของคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรมาก จากนั้นเขาก็หันไปพูดคุยกับคุณประภาวรรณต่อ ทำให้สิปปกร ถือโอกาสขอตัวไปอาบน้ำ และเข้านอน ปล่อยให้บิดามารดาได้พูดคุยกันตามลำพัง

สิปปกร ได้เห็นภาพความเป็นเพื่อนระหว่างคุณกฤษณะ กับ คุณประภาวรรณ มาตั้งแต่เขาจำความได้ เขาได้แต่สงสัยว่าทำไมบิดากับมารดาจึงต้องแยกทางกัน แต่ก็ยังไปมาหาสู่คบค้าสมาคมเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวกันอย่างสนิทสนมโดยที่ไม่ได้ใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกัน พวกท่านยังคงทำหน้าที่พ่อและแม่ให้กับเขาได้อย่างดี ทำให้เขาเติบโตมาอย่างไม่รู้สึกขาดความอบอุ่น หรือมีปมด้อยอะไรเลย แต่เขาก็อยากจะรู้เหตุผลอยู่เหมือนกันว่า ทำไมพวกท่านทั้งสองจึงไม่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเสียเลย

......

“ปอนด์! ..คุณยายโทรมา”

คุณประภาวรรณ เคาะประตูห้องร้องตะโกนเรียกสิปปกร อยู่หน้าห้อง ทำให้คนที่นอนหลับสบายอยู่บนที่นอนงัวเงียตื่นขึ้นมาเหลือบไปดูนาฬิกาบนหัวเตียงใกล้จะเก้าโมงเช้า เขามองหาโทรศัพท์มือถือของตัวเอง แต่มองไม่เห็นจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้เขาวางมันไว้ที่ห้องรับแขกด้านนอก มารดาคงจะรับโทรศัพท์แทนเขา

“คุณยายโทรมาทำไมครับแม่”

สิปปกร เปิดประตูห้องออกมาถามมารดา แต่เสียงสัญญานมือถือที่ยังคงดังอยู่นั้นก็ทำให้เขารู้ว่ามารดายังไม่ได้กดรับสาย

“ไม่กล้ากดรับหรอก เดี๋ยวโดนยายแก อบรมธรรมะแต่เช้า วันนี้วันพระซะด้วยสิ”

คุณประภาวรรณ พูดถึงคุณยายกันยามาศ ผู้เป็นมารดาของเธอด้วยสีหน้าอมยิ้ม ทำให้สิปปกร อดขำไม่ได้ เขายื่นมือไปรับโทรศัพท์มือถือที่มารดาส่งให้ แล้วมองดูที่จอมือถือ พอเห็นว่าเป็นยายกันยามาศ ตามที่มารดาบอกก็กดรับสายทันที

“สวัสดีครับคุณยาย” เขากล่าวทักทายเสียงนุ่มนวล

“แม่ไปแล้วนะปอนด์”

คุณประภาวรรณ รีบบอกลูกชาย วันนี้เธอแต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกางเกงยีนส์สีซีด สวมกำไลเงินที่ข้อมือถึงสี่อันเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเวลาที่เธอเคลื่อนไหวแขน เธอยื่นหน้ามาหอมแก้มสิปปกรซึ่งอีกฝ่ายก็หอมแก้มตอบเหมือนกับที่เคยทำต่อกันจนเป็นความเคยชินเวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะออกไปจากห้องหรือร่ำลากัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel