2. ฟื้น
“วิน...”
เสียงแหบพร่าที่ดังมาจากปากของนัฏนรีทำให้สองดอกเตอร์หยุดการสนทนารีบเดินไปยังเตียงผู้ป่วยทันที
“ลูกจ๋า..แม่อยู่นี่..”
ดร.นีรนุช ก้มหน้าไปกระซิบที่หูของลูกสาวด้วยความรักท่วมท้น
“ดรีมลูกพ่อ..”
ดร.ฉันทวัฒน์ เรียกบ้าง พลางสัมผัสที่มือของลูกสาวอย่างแผ่วเบา
เกิดการเคลื่อนไหวที่มือของคนป่วย ดร.นีรนุชเอื้อมมือไปสัมผัสที่แขนของลูกสาวเบา ๆ แล้วทั้งคู่ก็เห็นเปลือกตาของนัฏนรีขยุกขยิกคล้ายกับจะได้ยินเสียงเรียก และรับรู้ถึงสัมผัสนั้น
“ดรีม..ลืมตาสิจ๊ะ พ่อกับแม่อยู่กับหนูแล้วนะลูก”
มารดาบอกเสียงอ่อนโยนด้วยความรักห่วงใย
คราวนี้เปลือกตาที่ยุกยิกค่อย ๆ ลืมขึ้นอย่างช้า ๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูจะเบลอจนไม่แน่ใจว่าเป็นใครกันแน่ แต่นัฏนรีก็รู้สึกถึงความอบอุ่นและคุ้นเคย เธอจ้องหน้าทั้งสองสลับไปมาเหมือนคนที่กำลังมึนงงอยู่
“วิน..”
นัฏนรีเอ่ยเป็นประโยคแรก
สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เมื่อได้ยินคำพูดที่เปล่งออกจากปากของคนที่เพิ่งฟื้น
“นี่พ่อกับแม่จ๊ะ...ไม่ใช่วินหรอกลูก”
ดร.ฉันทวัฒน์ บอกลูกสาวเพื่อให้ปรับความรู้สึกให้ได้
“พ่อ..แม่..”
นัฏนรี เอ่ยช้า ๆ แววตายังแสดงความกังขา
“ใช่ลูก..พ่อกับแม่ไงจ๊ะหนูจำได้ไหมลูก”
ดร.นีรนุช ถามพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนให้ แม้ในใจจะรู้สึกหวาดหวั่น เกรงว่าความจำเสื่อมจะเกิดขึ้นกับลูกสาว
“วินล่ะ..วินอยู่ไหน”
ดูเหมือนว่านัฏนรีจะเรียกร้องหาแต่ชวินเท่านั้น สร้างความหนักใจให้กับบิดามารดาไม่น้อย
“วินไม่อยู่ที่นี่หรอกนะลูก ตอนนี้ดรีมอยู่ที่โรงพยาบาลกับพ่อแม่ หนูมองหน้าพ่อกับแม่สิจ๊ะ ลูกจำได้ไหม”
ดร.นีรนุช พยายามที่จะกระตุ้นความจำของลูกสาวเป็นการดึงความสนใจให้มาสู่ปัจจุบัน
“แล้ววินอยู่ไหนคะ”
คำถามนั้นยังคงมีชวินเกี่ยวข้องเช่นเดิม
“ผมว่าอย่าเพิ่งให้ลูกใช้ความคิดเลย ดรีมก็อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะลูก ตอนนี้หนูกำลังสับสน นอนพักก่อนนะพ่อจะไปตามหมอมาดูลูก”
“ดีค่ะคุณ งั้นรีบไปตามหมอเถอะ”
ดร.นีรนุชเร่ง ฝ่ายสามีจึงรีบเดินผละออกไปอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวหมอมานะลูก หลับตาก่อนสิจ๊ะคนดีของแม่”
มารดาพยายามที่จะไม่ให้ลูกสาวได้พูดหรือถามอะไรอีก เพราะไม่อยากจะได้ยินเสียงเรียกหาชวินจากลูกสาว ผู้เป็นมารดายังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงแก่ลูกได้ในตอนนี้
........
“สวัสดีครับพ่อ”
สิปปกร ยกมือไหว้ กฤษณะ ผู้เป็นบิดา เมื่อเดินเข้ามาในห้องหลังจากที่มารดามาเปิดประตูให้ เขาเห็นบิดานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์บาร์ มีขวดเหล้ากับแก้วเหล้าสองใบวางอยู่ตรงหน้า จึงเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองกำลังดื่มเหล้ากันอยู่ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเขามาก เพราะทุกครั้งที่กฤษณะแวะมาหาประภาวรรณ มารดาของเขาที่คอนโดหรูแห่งนี้ ทั้งคู่ก็จะดื่มเหล้าสูบบุหรี่และพูดคุยกันสนุกสนานเฮฮาราวกับว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันเหลือเกิน ไม่ใช่คู่สามีภรรยาที่แยกทางกันไปแล้ว
“ไงลูก..สบายดีหรือเปล่า ท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนเลยนี่”
คุณกฤษณะ ทักลูกชายด้วยการยื่นมือไปตบไหล่เบา ๆ เมื่อสิปปกรเดินเข้ามาใกล้ และทรุดตัวนั่งเก้าอี้บาร์ใกล้กับบิดา
“ผมไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงบาลมาครับ”
สิปปกร บอกพร้อมกับยื่นมือไปหยิบมันฝรั่งทอดในจานใส่ปากเคี้ยวหนุบหนับ
“ก็หนูดรีมแฟนของวินไงล่ะกฤษ”
คุณประภาวรรณ เป็นคนบอกกับอดีตสามี ที่เป็นพ่อของลูก
“อ้าว..หนูดรีมเป็นแฟนวินหรอกหรือ ผมนึกว่าเป็นเพื่อน ๆ กันในกลุ่มซะอีก”
คุณกฤษณะ เพิ่งรู้ความจริง เขาเคยได้พบและพูดคุยกับเพื่อนในกลุ่มของลูกชายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยเท่ากับคุณประภาวรรณ เขารู้ว่าลูกชายมีเพื่อนสนิทในกลุ่มเป็นเพื่อนร่วมคณะสถาปัตยกรรมในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสี่คน คือ ชวิน นัฏนรี ไปรยา และลิลลี่
ทั้งหมดเรียนจบแล้ว บางคนก็กำลังหางานทำ บางคนก็กำลังหาที่เรียนต่อปริญญาโท
“เพื่อนในกลุ่มจะเป็นแฟนกันไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยนี่คะ ที กฤษ กับ.......”
คุณประภาวรรณ ชะงักไว้เพียงนั้น ไม่ยอมพูดต่อให้จบประโยค เพราะมีความรู้สึกว่าไม่อยากจะพูดถึงอดีตที่ฝังใจ รวมทั้งคุณกฤษณะเอง ก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
“เออ..แล้วตอนนี้ศพวินอยู่ที่ไหนล่ะลูก”
คุณกฤษณะ รีบเปลี่ยนการสนทนาด้วยการถามลูกชายแทนทันที
“กำลังรับจากเชียงใหม่เข้ามาทำพิธีที่กรุงเทพฯครับ”
“พ่อของวินก็เสียชีวิตด้วยเหมือนกัน”
คุณประภาวรรณ บอกกับคุณกฤษณะ ตามที่รับรู้มาจากลูกชายอีกทีหนึ่ง
“ชีวิตคนเราก็แค่นี้แหละไม่รู้จะตายวันไหน เพราะฉะนั้นดื่มเหล้าให้มีความสุขดีกว่า ดื่มด้วยกันไหมลูก”
คุณกฤษณะ รีบออกจากความหดหู่ เขายกแก้วเหล้าขึ้นเชิญชวนลูกชาย
“ไม่ดีกว่า เชิญคุณพ่อกับคุณแม่ตามสบายเลยครับ”
เขาหยิบมันฝรั่งลุกจากเก้าอี้บาร์ไปนั่งที่โซฟาแทน เพื่อให้มารดาได้เข้ามานั่งแทนที่
