บทที่ 6 (ลิขิตฟ้ามายารัก)
บทที่ 6 ลิขิตฟ้ามายารัก
แสงจันทร์เต็มดวงส่องสว่างท่ามกลางอากาศหนาวเย็นยามค่ำคืน ผืนป่าโบราณกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหลังพายุหิมะพัดผ่านไป ป่าแห่งนี้ซ่อนอยู่ในหุบเขาสูงหลายลูกสลับซับซ้อน ห่างไกลจนเหล่ามนุษย์ไม่อาจเดินทางหรือฝ่ากำแพงมนตราของโลกอมตะเข้ามากล้ำกรายอาณาเขตแห่งป่าโบราณนี้ได้
นอกจากกรณีพิเศษเช่นวันนี้ พวกเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเจ้าวัตถุนกยักษ์ลำใหญ่โตยานพานะที่มนุษย์ใช้เดินทางข้ามท้องฟ้าไปไหนมาไหนลำนี้ถูกพายุหิมะพัดพามันแล่นฝ่ากำแพงมนตราสายรุ้งเข้ามาตกลงในอาณาเขตป่าโบราณในโลกอมตะได้อย่างไร
ร่างแปลงสุนัขป่ากลุ่มสิงหรานับสิบชีวิตเข้ายืนรายล้อมรอบวัตถุประหลาดที่ฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายเกลื่อนเกือบจะกลมกลืนไปกับพื้นหิมะขาวพร่างที่สายลมเย็นยังพัดพรูไม่ขาดระยะ หิมะหยุดตกเหมือนรู้เวลา สายตาคมกริบของพวกเขากวาดมองทั่วบริเวณ พร้อมส่งกระแสจิตตรวจหาความมีชีวิต
แสงจันทราสีรุ้งเรืองรองจากท้องฟ้า ส่องสะท้อนเส้นขน สีทองอำพันเหลืองอร่ามของร่างสุนัขป่าตัวใหญ่จ่าฝูงที่ก้าวออกมายืนล้ำหน้า แหงนเงยขึ้นมองสู่ดวงจันทร์ จิตของเขาสัมผัสได้ถึงการมีชีวิต ร่างแปลงส่งเสียงหอนดังกังวานสี่ห้าครั้งก่อนจะกลายเป็นชายหนุ่มรูปลักษณ์งดงามด้วยมัดกล้ามทั่วสรรพางค์ ยืนสูงเด่นสง่างามกว่าเพื่อนหนุ่มสาวที่คืนรูปจากร่างแปลงเกือบจะพร้อมกันๆ
“น่าแปลกนักที่พายุหิมะพัดพาเจ้านี่มาตกในเขตนี้ได้”
เลโอไนดัสมองตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า แล้วเปล่งเสียงแผ่วเบาราวกับพึมพำกับตัวเอง หลายร้อยปีมานี้มีเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นที่เจ้านกยักษ์จากโลกมนุษย์ได้ฝ่ากำแพงมนตราสายรุ้งแห่งโลกอมตะมาได้ และครั้งนี้โผล่มาที่ป่าโบราณถิ่นพำนักกลุ่มสิงหราของเขาเสียด้วย
“ปกติไม่เคยมีวัตถุใดในโลกมนุษย์จะฝ่ากำแพงมนตราของโลกอมตะเข้ามาได้เลย ช่างน่าแปลกอย่างที่ท่านเลโอไนดัสว่า ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละ” โอมห์เห็นพ้องกับผู้นำ เพราะกำแพงมนตราสายรุ้งแห่งโลกอมตะเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดจะเทียมอำนาจได้
“เจ้าบอกว่าเห็นมันตกลงมากับตาหรือลิซ่า”
“ใช่ ข้ากับลันทาตามเสียงของมันมาจนเจอซากพวกนี้”
ลิซ่าตอบคำถามด้วยน้ำเสียงพร่าสั่นระคนหวาดหวั่น หล่อนพยายามปิดกั้นความคิดเรื่องการหลบหนีจากเขาเอาไว้ กลัวจะต้องตอบคำถามว่าหล่อนกับลันทาออกมาอยู่ข้างนอกทำไมในขณะที่มีพายุหิมะพัดแรงอย่างนั้น แต่โล่งใจที่เหตุการณ์ตื่นเต้นตรงหน้าทำให้เลโอไนดัสไม่ได้ใส่ใจจะถาม
“เราจะทำยังไงกับมัน”
“ท่านคิดจะทำยังไง”
เสียงจากโอมห์กับเอียนห์เข้ามายืนขนาบอยู่ข้างหลังเสมือนองครักษ์ ถามผู้นำที่ยืนมองนิ่งอยู่ข้างหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้ ตั้งแต่พวกเขาได้ติดตามเลโอไนดัสมาอยู่ในป่าโบราณ แถบนี้นานนับร้อยปี ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
“ข้าสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิต”
เลโอไนดัสก้าวไปข้างหน้ายังจุดที่เหมือนจะมีสิ่งหนึ่งดึงดูดให้เขาเข้าไปหา ซากวัตถุชิ้นหนึ่งเป็นเก้าอี้สองแถวล้มคว่ำตะแคงอยู่คู่กัน และยังอยู่ในสภาพดีกว่าชิ้นอื่นๆ
“พวกเจ้ามาดูนี่สิ”
เขาเรียกโอมห์กับเอียนห์หลังจากใช้พลังมนตราพลิกชิ้นส่วนของซากวัตถุชิ้นหนึ่งให้หงายขึ้น จึงเห็นเป็นร่างมนุษย์หกคนนั่งอยู่
เลโอไนดัสนั่งคุกเข่าตรงหน้าร่างหญิงสาวนางหนึ่งที่เสมือนมีพลังบางอย่างทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการมีชีวิตอย่างแจ่มชัด เขาจับใบหน้าที่มีผมยาวดกดำสลวยสะดุดตาคลุมปิด เมื่อเขาปัดเส้นผมเปรอะเปื้อนผงหิมะออกเห็นความงดงามของใบหน้า ชายหนุ่มต้องผงะหัวใจกระตุกเจ็บแปลบก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเต้นระทึกด้วยความรู้สึกชุ่มชื่นเสมือนได้เห็นของรักที่จากพรากมานานแสนนานกลับคืน แต่เขากลับคิดอะไรไม่ออก ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองบอกว่า...เจอแล้ว คนที่รอมานานแสนนาน...
...นางเป็นใคร...เขาถามตัวเอง เขานึกไม่ออก หาคำตอบไม่ได้ แต่ความรู้สึกภายในบอกให้รู้ว่า...เขารู้จักนาง...
ดวงตาสีอำพันคมปราบเรืองแสงวาววามราวอัญมณีของเลโอไนดัสมองสำรวจใบหน้าสวยหวานคล้ายรูปหัวใจ เริ่มจากหน้าผากโหนกนูนลงมายังวงคิ้วเรียวโค้งยาวรูปสวยงาม ดวงตาหลับพริ้ม แพขนตายาวงอนดกหนาปิดสนิท จึงไม่เห็นสีของดวงตาอย่างที่ต้องการ
เมื่อมองผ่านจมูกโด่งเล็กรับกับรูปปากงามอิ่มสีสด หยักโค้งมุมเหมือนยิ้มเยือนอย่างกับยินดี รอยยิ้มน่ารักแบบนี้ เขาเคยเห็นมาก่อน ความรู้สึกบอกอีกว่า...เขาเคยสัมผัสมาก่อน...ชายหนุ่มต้องพยายามเก็บกลั้นแรงปรารถนาใคร่จุมพิตริมฝีปากอิ่มสวยอย่างหนัก
จากลมหายใจอ่อนบางเบาของร่างงดงาม เขารู้ว่านาง จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน การตายของนางจะนำมาสู่การสูญเสียหญิงงามเลิศอีกผู้หนึ่งไป และโลกแห่งมนตราสายรุ้งควรเปิดโอกาสแก่นาง
“ร่างนี้ยังมีลมหายใจ”
เขากล่าวพร้อมกับปลดเครื่องพันธนาการยึดติดกับเก้าอี้ออกไป แล้วอุ้มร่างสาวงามตรึงใจไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นจัดที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของร่างมนุษย์ เขารีบร่ายมนตราส่งความอบอุ่นให้ทันที
