บทที่หนึ่ง เคราะห์กรรมอันใด
ทางด้านฮูหยินใหญ่จ้าวม่านฟาง สตรีใบหน้าสละสวยแม้อายุล่วงเลยไปสามสิบแล้วก็ตามกำลังนั่งจิบชารอบดึกอย่างสบายใจ ปากก็สนทนากับบ่าวรับใช้ใกล้ตัวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางรอคอยเวลาผ่านไปอย่างใจเย็น รอคอยให้ผ่านไปหนึ่งชั่วยามตามแผน เพื่อเดินไปยังเรือนหอของซุนเจียหลิน คืนนี้หญิงสาวตั้งใจเปิดโปงลูกสะใภ้ว่าแอบคบชู้กับบ่าวชายในจวน แล้วใช้ข้อหานี้ไล่นางออกจากจวนไปเสีย!
"ฮูหยินเจ้าคะ ท่านชิงชังฮูหยินน้อยถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าคะ" บ่าวขี้ประจบที่ยืนอยู่ข้างกายนางเอ่ยถามเสียงเบา
จ้าวม่านฟางปรายตามองบ่าวของตนก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
"ชิงชังหรือ? เฮอะ ข้าหาได้เกลียดนางไม่เนื่องจากพวกเราไม่เคยแม้กระทั่งคุยกันเลยสักครั้ง ข้าเพียงไม่ต้องการให้สตรีไร้ราคาผู้นั้นมาทำลายอนาคตของบุตรชายข้าเท่านั้น" นางเอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นจิบช้า ๆ "หากไม่มีนาง ฝูหมิงก็คงไม่คิดออกไปรบครานี้ลูกชายข้าคงอยู่ที่จวนและสร้างชื่อเสียงในราชสำนักแทน ไม่ใช่ไปเสี่ยงชีวิตอยู่ชายแดนเช่นนี้"
บ่าวรับใช้พยักหน้าอย่างประจบประแจง "แต่คุณหนูซุนก็มาจากตระกูลพ่อค้าใหญ่ มีสินเดิมมากมาย..."
"สินเดิมหรือ?" ฮูหยินใหญ่หัวเราะเยาะ "ต่อให้มากเพียงใดก็ไม่เหมาะสมกับลูกชายของข้า ข้าเห็นสตรีพรรค์นี้มานักต่อนัก ยิ่งมีเงินทองยิ่งคิดปีนป่าย หญิงจากตระกูลพ่อค้าเช่นนางมีสิทธิ์อันใดจะเป็นนายหญิงแห่งจวนแม่ทัพกัน" มือบางวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา "รอให้ถึงเวลา นางจะได้รู้ว่าผู้ใดคือผู้อยู่เหนือกว่า”
หากสตรีผู้นั้นหายไป ลูกชายข้าก็จะกลับมา ไม่เอาชีวิตไปทิ้งที่สนามรบ
ฮูหยินใหญ่คิดในใจ นางมองว่าตนเองนั้นกำลังทำเพื่อบุตรชาย โดยนางไม่ได้คิดเลยว่าการกระทำของตนกำลังจะนำพาหายนะมาสู่ตัวเองในไม่ช้านี้
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
จ้าวม่านฟางลุกขึ้นจากที่นั่ง วางถ้วยชาลงพลางหันไปมองบ่าวข้างกาย "ถึงเวลาแล้ว นำทางข้าไปเรือนหอ"
บ่าวรับใช้รีบค้อมศีรษะ "เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ ท่านจะให้บ่าวไปเรียกคนอื่นมาเป็นพยานเดินไปพร้อมหรือไม่เจ้าคะ"
ฮูหยินใหญ่ยิ้มเย็น
"เจ้าไปเรียกบ่าวจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่ามาสักคนสองคนเถอะ วันนี้ข้ารับรองว่านางต้องถูกจับได้คาหนังคาเขาแน่นอน คครานี้ข้าจะลากนางออกมาประจานให้ทั่วทั้งจวนได้เห็นว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรีที่ไม่เหมาะสมกับลูกชายของข้าเช่นไร"
เสียงฝีเท้าในยามค่ำคืนดังไปตามทางเดินอันเงียบสงบ ขณะที่ขบวนของจ้าวม่านฟางกำลังมุ่งหน้าไปยังเรือนหอ
ไม่นานจ้าวม่านฟางและสาวใช้หลายคนเดินมาถึงเรือนหอของลูกชาย โดยในมือของสาวใช้ที่เดินตามมามีถาดขนมของว่างติดมาด้วยเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการมาหาลูกสะใภ้ในยามวิกาล
พอมาถึงมองดูรอบกายบรรยากาศรอบเรือนเงียบผิดปกติจนฮูหยินใหญ่ต้องขมวดคิ้วก่อนส่งสัญญาณให้สาวใช้ไปเปิดประตูโดยไม่เคาะ
เมื่อประตูแง้มออกแสงไฟจากด้านนอกสาดเข้าไปในห้อง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ทุกคนแทบกรีดร้องออกมาราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง
"อ๊ากกก!"
สาวใช้คนหน้าสุดผู้เป็นคนเปิดประตูกรีดร้องลั่น ร่างบอบบางทรุดตัวลงกับพื้น ตาโตจ้องมองภาพน่าสยดสยองตรงหน้า มือกุมปากตัวเองสั่นสะท้าน บ่าวอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับล้มพับเป็นลมไปทันที เสียงหวีดร้องดังระงมไปทั่วเรือน คนที่อยู่ด้านหลังพากันถอยกรูดไปติดกำแพง จิตใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว
"นะ...นี่มันอะไรกัน!"
สาวใช้คนหนึ่งพึมพำด้วยเสียงสั่นเครือ นางเบิกตากว้าง มองร่างไร้ชีวิตที่แขวนอยู่เบื้องหน้า น้ำตาคลอด้วยความหวาดหวั่น สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังภาพสยดสยองที่อยู่ภายในเรือนราวกับฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น
ภาพตรงหน้าคือ ร่างของสาวใช้ใบหน้าสละสวยและบ่าวชายสองคนแขวนคออยู่บนขื่อน่าเวทนา ดวงตาเหล่านั้นเปิดโพลง แฝงไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
จ้าวม่านฟางเองก็เกิดอาการตกใจสุดขีด แม้นางจะวางแผนสิ่งต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า แต่ภาพที่ปรากฏกลับเหนือความคาดหมายของนางโดยสิ้นเชิง ร่างของนางสั่นสะท้าน ความหนาวเย็นแล่นผ่านแผ่นหลัง นางถอยกรูดไปสองก้าวจนเสียหลักเกือบล้ม ดีที่สาวใช้ข้างกายรีบประคองไว้ทัน
"พวกนั้น! ตะ ตายกันหมดได้อย่างไร?" นางตะโกนเสียงสั่น ริมฝีปากซีดเผือด
"ทหาร! พ่อบ้าน! เรียกทุกคนมาเดี๋ยวนี้!" จ้าวม่านฟางสั่งเสียงกร้าว นางพยายามระงับความตื่นตระหนกของตนเอง ขณะที่ในใจเต็มไปด้วยความสับสน แผนของนางล่มสลายลงอย่างไม่เป็นท่า สาวใช้ที่นางส่งไปลอบมอมยา กลับกลายเป็นศพแขวนคอ บ่าวชายที่ควรจะเข้าปรนเปรอลูกสะใภ้นางก็กลับกลายเป็นเหยื่อของบางสิ่งที่นางไม่อาจคาดเดาได้
อาการมึนงงและหวาดกลัวที่ท่วมท้นหัวใจของจ้าวม่านฟางทำให้นางทนไม่ไหว นางหายใจถี่รัว เหงื่อเย็นผุดพรายเต็มหน้าผาก สุดท้ายร่างของนางอ่อนแรงและล้มลงหมดสติท่ามกลางเสียงกรีดร้องของบ่าวรับใช้
"ฮูหยินใหญ่! เรียกหมอเร็วเข้า! ฮูหยินใหญ่เป็นลมไปแล้ว!"
สาวใช้ต่างพากันรีบกรูเข้าไปพยุงนางไว้ เสียงร้องระงมไปทั่วเรือนหอที่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นแห่งความหวาดกลัวและความตาย
เบื้องหลังเหตุการณ์น่าหวาดหวั่น ใกล้กับเตียงเจ้าสาว มีร่างของซุนเจียหลินนั่งขดตัวอยู่ นางสวมชุดแดงของเจ้าสาว ใบหน้าซีดเผือดและเต็มไปด้วยน้ำตา นางสะอื้นไห้ ร่างสั่นระริกเหมือนผู้ที่อยู่ในอาการหวาดกลัวอย่างที่สุด
เมื่อเห็นคนเข้ามาซุนเจียหลินรีบเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นางเอื้อมมือไปขอความช่วยเหลือ เสียงร้องสั่นเครือเอ่ยออกมาอย่างแหบแห้ง
"ช่วยข้าด้วย! ฮึก ฮึก ฮือ..ข้ากลัว กลัวเหลือเกิน"
พ่อบ้านจางของจวนเดินทางมาถึงเรือนเกิดเหตุแล้ว เมื่อเห็นสภาพภายในห้อง ใบหน้าของเขาก็ขรึมลง สายตากวาดมองซากความโกลาหลด้วยสีหน้าไม่อาจคาดเดาความคิดได้
เขาหันไปทางสาวใช้ที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยเสียงเรียบแต่หนักแน่น
"เจ้าไปพา ฮูหยินน้อยออกไปจากที่นี่ก่อน นางย่อมได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก พวกเจ้าไปจัดหาผ้าห่มและน้ำอุ่นมาให้เพื่อปลอบขวัญนางด้วย"
“จะ เจ้าค่ะท่านพ่อบ้าน”
สาวใช้สองคนรีบวิ่งไปหยิบผ้าห่ม ก่อนจะเข้ามาประคองซุนเจียหลินด้วยความระมัดระวัง ใบหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความสงสาร ดูท่าทางนางเป็นเพียงหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายคนหนึ่งเพิ่งถูกสามีทอดทิ้ง แถมยังต้องมาเผชิญกับเรื่องสะเทือนขวัญเช่นนี้อีก
"ฮูหยินน้อยเจ้าคะ พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะเจ้าค่ะ มันน่ากลัวเกินไป..."
สาวใช้เอ่ยปลอบเบา ๆ ขณะช่วยกันประคองร่างของซุนเจียหลินให้ลุกขึ้นอย่างนุ่มนวล
คนที่อยู่รอบข้างพากันพยุงฮูหยินน้อยออกไปจากห้อง บางคนยังปาดน้ำตาอย่างเห็นใจ มองซุนเจียหลินในสภาพสั่นสะท้าน ไร้เรี่ยวแรง ราวกับคนที่ใกล้จะสิ้นลมหายใจเต็มที เสียงสะอื้นของนางดังระงมไปทั่วจวน ทำให้ทุกคนต่างพากันสลดใจ
'เคราะห์กรรมอันใดกันที่นางต้องเผชิญ เพียงคืนเข้าหอแท้ ๆ ไยต้องประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนถึงเพียงนี้'
พ่อบ้านคิดในใจพลางถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนหันไปจัดการกับความโกลาหลที่เหลืออยู่ในห้อง
