บทที่สาม ข่าวลือในอดีต
ทางด้านแม่ทัพหนุ่มผู้ใช้ข้ออ้างอาสาเข้าร่วมสงครามชายแดนใต้ในการหนีจากการเข้าหอหลังจากจำใจยอมรับการแต่งงานครั้งนี้เพราะปู่ของตนขอร้อง ชายหนุ่มกำลังนั่งควบขี่ม้าไปกับขบวนกองทัพเดินทางจากเมืองหลวงสู่ชายแดนใต้จริง ๆ อย่างที่เขาบอกทุกคนไป
แม่ทัพหนุ่มนามว่าจ้าวฝูหมิงสวมเกราะหนังเสริมเหล็ก มัดผมไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าเคร่งขรึมจับจ้องไปเบื้องหน้า แม้จะเดินทางมาได้เพียงหนึ่งวันทว่ากลับไร้ซึ่งความเหน็ดเหนื่อย สายลมพัดผ่านใบหน้าคมคายของเขา ชายหนุ่มรู้สึกปลอดโปร่งกว่าทุกช่วงเวลาในหลายเดือนที่ผ่านมา
เขาได้รับตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพในการศึกครั้งนี้ โดยระหว่างทาง สหายร่วมรบที่คุ้นเคยกันมานานอย่างแม่ทัพรองหลี่เฉิงก็ควบม้าเข้ามาเคียงข้างเขาเพื่อเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
"เจ้าช่างใจร้ายยิ่งนัก! พึ่งแต่งภรรยาแท้ ๆ ไยถึงเร่งอาสาไปออกศึกเช่นนี้เล่า การกระหายผลงานเช่นนี้อาจทำให้นางเศร้าสร้อยเสียใจอยู่ที่จวนก็เป็นแน่"
หลี่เฉิงกล่าวพลางหัวเราะทว่าวาจาล้อเลียนของเขากลับไม่ได้รับรอยยิ้มตอบกลับจากจ้าวฝูหมิง
"เรื่องของข้า" จ้าวฝูหมิงตอบเสียงเรียบ พลางกระตุกสายบังเหียนให้ม้าชะลอความเร็วเล็กน้อย
หลี่เฉิงมองใบหน้าเรียบนิ่งของเพื่อนสนิท ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น "เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้ หรือเจ้าไม่พอใจการแต่งงานนี้จริงอย่างในข่าวลือ"
จ้าวฝูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาทอดมองไปยังท้องฟ้ากว้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบให้ใครบังคับ ข้ายอมแต่งเพราะคำสั่งของปู่ อย่างไรก็ตามข้ามิอาจอยู่ร่วมกับสตรีผู้นั้นได้"
หลี่เฉิงขมวดคิ้ว "ฮูหยินน้อยจ้าวช่างน่าสงสารยิ่ง ฮูหยินของเจ้าทำอันใดให้เจ้าไม่พอใจถึงเพียงนี้กัน"
จ้าวฝูหมิงแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาฉายแววรังเกียจ "มากมายจนพูดไม่หมดทีเดียว เจ้าก็ได้ยินข่าวลือในอดีตเกี่ยวกับนางมิใช่หรือ ซุนเจียหลินเป็นสตรีบ้าอำนาจเงินในมือ เอาแต่ใจไร้สมอง นางเคยไล่กีดกันสตรีที่เพียงสบตากับข้า นางถึงขั้นทำร้ายสตรีที่แสดงความชื่นชมข้า ตบตีพวกนางโดยไม่ลังเล ข้าไม่อาจทนอยู่กับสตรีเยี่ยงนั้นได้!"
หลี่เฉิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ "ข่าวลือเรื่องนางข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่...เจ้ารู้หรือไม่ว่าความจริงเป็นเช่นไร บางที..."
"ข้าไม่สนว่ามันจริงหรือเท็จ" จ้าวฝูหมิงกล่าวตัดบท ดวงตาคมปลาบจ้องตรงไปข้างหน้า "ข้ารู้เพียงว่าข้าไม่มีวันยอมรับนางเป็นภรรยา และข้าจะไม่กลับจวนจนกว่าศึกครั้งนี้จะจบสิ้น!"
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวไห่ลี่ประกาศจบเรื่องราวในห้องโถง เสียงซุบซิบยังคงดังแว่วไปทั่ว ผู้คนต่างพากันมองซุนเจียหลินด้วยสายตาเปลี่ยนไป จากหญิงสาวผู้ถูกทอดทิ้ง นางกลับกลายเป็นผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากหนึ่งในผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของจวน
ซุนเจียหลินยื่มือให้สาวใช้สองคนช่วยเข้ามาพยุงนางออกจากห้องโถง ท่ามกลางสายตาของเหล่าคนรับใช้และบรรดาฮูหยินในจวนที่ยังคงจับจ้องไปยังร่างอรชรของนางด้วยความสนใจ บ้างมองด้วยความสงสาร บ้างเต็มไปด้วยความอิจฉา
เมื่อออกมาพ้นจากห้องโถง ลมยามค่ำคืนพัดผ่านปลายเส้นผมของซุนเจียหลิน นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มเย็นชาราวกับเงาสะท้อนของจันทร์ในคืนไร้เมฆ
เช้าวันรุ่งขึ้น ซุนเจียหลินลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ นางสวมอาภรณ์เรียบง่ายแต่สง่างาม สั่งสาวใช้ให้เตรียมน้ำชาสำหรับทำพิธีคารวะก่อนเดินทางไปเรือนของฮูหยินใหญ่ แม้จะรู้ดีว่านางผู้นี้คิดร้ายต่อตน แต่มารยาทย่อมต้องคงไว้ นางต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อมิให้เกิดจุดผิดพลาดใด ๆ ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปถึงเรือนของฮูหยินใหญ่ บ่าวรับใช้กลับเดินออกมาต้อนรับเพื่อแจ้งข่าวจากเจ้านายตน
"ฮูหยินใหญ่ไม่สบายมากเจ้าค่ะ ท่านกล่าวว่าไม่อาจรับการคารวะของฮูหยินน้อยได้ ขอให้ท่านกลับไปเถิดเจ้าค่ะ"
ซุนเจียหลินเพียงพยักหน้า ไม่ได้ซักถามให้มากความ นางรู้ดีว่าจ้าวม่านฟางไม่ได้ป่วยจริง นางเพียงต้องการหลีกเลี่ยงการพบหน้าอันมีผลมาจากเหตุการณ์เมื่อคืนก็เป็นได้ ซุนเจียหลินยอมละเว้นมารยาทโดยไม่คัดค้านจากนั้นจึงเดินตรงไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวไห่ลี่เพื่อทำพิธีคารวะแก่นางด้วยเช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวไห่ลี่นั่งอยู่บนตั่งไม้แกะสลักลวดลายงดงาม ใบหน้าของนางเรียบเฉยแต่ทรงอำนาจ ขณะที่ซุนเจียหลินคุกเข่าลงพร้อมถาดน้ำชาในมือ นางยื่นถ้วยชาให้ด้วยกิริยาสงบ ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูหลานสะใภ้คนใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะรับน้ำชามาจิบหนึ่งคำเป็นการยอมรับ นางพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวเสียงเรียบ
"เจ้าเป็นสตรีรู้กาลเทศะเช่นนี้ นับว่าดี"
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านย่า" ซุนเจียหลินกล่าวพร้อมยิ้มบางจากนั้นจึงค่อย ๆ วางถาดน้ำชาลง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินผู้เฒ่า
"ท่านย่า ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขออนุญาตเจ้าค่ะ" นางเอ่ยเสียงนุ่มนวล "ข้าแต่งเข้ามาจวนแม่ทัพแล้ว ทว่าจิตใจของข้าในเวลานี้อ่อนแอยิ่งนัก ยามนอนเมื่อคืนข้าคิดถึงท่านพ่อท่านแม่เหลือเกิน อีกทั้งข้ายังมิได้กล่าวลาพวกท่านอย่างเหมาะสมในวันแต่งงาน ข้าขออนุญาตเดินทางกลับจวนตระกูลซุนเพียงชั่วระยะหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย "เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าควรจะตั้งตัวเป็นสะใภ้ของจวนแม่ทัพให้มั่นคงก่อน มิใช่รีบร้อนกลับจวนเดิมเช่นนี้"
"ข้าทราบเจ้าค่ะ แต่ข้ามิอาจนิ่งนอนใจได้ ทว่าเมื่ออยู่ที่นี่ภาพเลวร้ายเมื่อคืน...” ซุนเจียหลินก้มหน้าลงเล็กน้อย “ข้ารู้สึกติดตายิ่งนัก และยิ่งไปกว่านั้นท่านพ่อของข้ากำลังเผชิญปัญหาทางการค้าติดพันอยู่ ตระกูลของเราถูกกดขี่จากอำนาจของขุนนางขั้นสูง ข้ากังวลใจนักเจ้าค่ะ ขอท่านย่าโปรดเมตตาอนุญาตให้ข้าเดินทางกลับไปช่วยดูแลเรื่องนี้สักระยะเถิด"
ฮูหยินผู้เฒ่าหรี่ตาลงอย่างพินิจพิเคราะห์ "หรือเจ้าเอ่ยเช่นนี้เพราะเจ้าคิดจะให้จวนแม่ทัพออกหน้าปกป้องตระกูลของเจ้าหรืออีกรอบหรือ"
ซุนเจียหลินส่ายหน้าอย่างนุ่มนวล "มิใช่เลยเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ต้องการให้จวนแม่ทัพเข้าไปเกี่ยวข้อง ข้าเพียงต้องการกลับไปช่วยเหลือครอบครัวสะสางเท่านั้น ข้ามิอาจให้ตระกูลซุนต้องพึ่งพาผู้อื่นไปตลอดได้นี่เจ้าคะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องหน้านางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ "เจ้าช่างเป็นสตรีที่ฉลาด และรู้จักคิดมากกว่าที่ข้าคาดไว้" นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า "ก็ได้ ข้าอนุญาต แต่เจ้าต้องรีบกลับมานะ มิฉะนั้นผู้คนจะเริ่มสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองตระกูลว่าไม่ปรองดองกัน"
ซุนเจียหลินโค้งศีรษะลง "ขอบพระคุณท่านย่ามากเจ้าค่ะ ที่เมตตาหลานคนนี้"
หลังจากได้รับอนุญาต นางเดินออกจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยการคิดคำนวณ นางรู้ดีว่าการกลับไปจวนตระกูลซุนครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการเยี่ยมเยียนครอบครัว แต่เป็นการกลับไปแก้ไขปัญหาที่ค้างคา และเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นอิสระจากจวนแม่ทัพในอนาคต...
นางจะไม่อยู่ในที่ที่ไม่มีผู้ต้อนรับอย่างที่นี่ไปตลอดหรอก
และจะไม่ยอมเป็นฝ่ายร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น นางจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง!
ซุนเจียหลินคิดในใจก่อนก้าวเดินออกจากจวนแม่ทัพด้วยดวงตาที่แน่วแน่และเปี่ยมไปด้วยเจตจำนงอันแข็งแกร่ง
