ตอนที่ 8
ชายหนุ่มควบม้าของเขาไปตามเสียงเรียกนั้นกระทั่งเห็นร่างบอบบางของหญิงสาวนั่งกุมข้อเท้าอยู่ข้างโขดหินขนาดใหญ่โดยมีเจ้าม้าสีน้ำตาลเข้มยืนทำเสียงฟืดฟาดเบา ๆ อยู่ใกล้ ๆ
"หนูนิด...เป็นยังไงบ้าง?”
ไกรสูรย์รีบลงจากหลังม้าแล้วตรงดิ่งเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งกุมข้อเท้า ดวงตาคู่สวยแดงก่ำและสภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มลืมความโกรธเคืองไปเสียสนิท
“คุณอาไกรสูรย์คะ...หนูนิดตกจากหลังเจ้าโชคดีค่ะ ช่วยหนูนิดด้วย”
คัทลียาบอกผู้ปกครองของเธอเสียงสั่น ไกรสูรย์ก้มลงดูข้อเท้าของคัทลียาซึ่งมีรอยเขียวช้ำก่อนค่อย ๆ ประคองร่างเล็กขึ้น
“อุ๊ย! หนูนิดเจ็บค่ะ” เธอร้องออกมาและกำลังจะทรุดตัวลงนั่งอีกหน คราวนี้ไกรสูรย์รวบร่างนั้นช้อนไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขาก่อนกล่าวว่า
“นี่ล่ะ...โทษฐานที่ดื้อดึง ไม่เชื่อฟัง นี่ถ้าฉันไม่ตามเข้ามาคืนนี้เธอคงได้นอนในป่านี้แน่”
“หนูนิดขอโทษค่ะ คุณอาไกรสูรย์...หนูนิดขอโทษ”
หญิงสาวซุกหน้าลงกับอกกว้างของเขา เรียวแขนของเธอตวัดรอบคอเขาแน่น น้ำเสียงเครือและอาการสั่นสะท้านทำให้ไกรสูรย์รู้สึกผิดขึ้นมาที่แดกดันเธอเมื่อครู่ เขาถอนหายใจและพูดว่า
“เอาล่ะ...สำนึกผิดก็ดีแล้ว ทีนี้ปัญหาใหญ่ก็คือ...เราคงจะออกจากป่านี้ไม่ได้แน่ ฉันหมายถึงวันนี้...เพราะเธอก็บาดเจ็บแบบนี้ และนี่ก็ใกล้ค่ำแล้วด้วย”
ชายหนุ่มชะเง้อมองไปยังอีกฟากหนึ่งก่อนกล่าวขึ้น ”ถ้าจำไม่ผิดแถวนี้มีกระท่อมของพวกพรานป่า ฉันจะพาเธอไปพักที่นั่นก่อนก็แล้วกัน”
คัทลียาไม่สามารถโต้เถียงหรือทำอะไรได้นอกจากให้ร่างสูงใหญ่อุ้มเธอไปจนถึงกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่เขาว่าโดยมีเจ้าม้าแสนรู้ทั้งสองตัวเหยาะย่างตามเจ้านายของมันไป
“ปกติเจ้าโชคดีจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องมันเลยนอกจากฉัน แต่มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่มันยอมให้เธอขี่มันมาถึงที่นี่”
ไกรสูรย์กล่าวขณะสุมฟืนเข้าไปในกองไฟภายในกระท่อมหลังน้อยที่ถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบ ๆ มีเพียงฝาไม้บาง ๆ กั้นและปล่อยให้พื้นโล่งเพื่อใช้ในการก่อไฟยามค่ำคืน
แน่นอนว่าตอนนี้บรรยากาศรอบ ๆ กระท่อมในป่าใหญ่เริ่มเย็นตัวลงหลังอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปนานแล้ว คัทลียาซึ่งนั่งกุมข้อเท้าของเธอบนพื้นที่รองด้วยผ้าใบซึ่งติดมากับม้าใกล้กองไฟภายในกระท่อมหลังน้อยมองไกรสูรย์ด้วยความรู้สึกสำนึกผิดและนึกชื่นชมเขาอยู่ลึก ๆ ที่จัดการทุกอย่างเหมือนผู้ชำนาญการเดินป่า เธอถอนหายใจก่อนกล่าวขึ้นว่า
“มันไม่ได้พยศนะคะ คุณอาไกรสูรย์ แต่มันตกใจที่กิ่งไม้ใหญ่หักลงมาขวาง หนูนิดก็เลย...”
