๙ ทำทุกอย่าง (๑)
๙
ทำทุกอย่าง
เรื่องของเนตรนภาดังไปทั่วบริษัทโดยฝีมือของคู่อริตลอดกาลอย่างผกามาศที่ป่าวประกาศว่าหญิงสาวคือคนที่ขายความลับของบริษัท เท่านั้นไม่พอทุกครั้งที่ไปทำงานก็มักจะพูดให้ลูกค้าฟังจนคนถูกใส่ร้ายเสียชื่อเสียง และเมื่อถึงวันสุดท้ายที่หล่อนมาทำงานใบหน้าหวานก็เครียดขรึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เดินเข้ามาภายในห้องน้ำแต่ไม่ได้ไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง
เธอเลือกจะเดินมาหาผกามาศพร้อมอารมณ์โมโหที่สั่งสมมาหลายวัน พยายามปล่อยไปแต่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะกัดไม่ปล่อย ในเมื่อเล่นกันอย่างนี้ก็อย่าหาว่าหล่อนใจร้ายก็แล้วกัน
“อ้าว ว่าไงจ๊ะน้องน้ำปิง มีอะไรกับพี่เหรอหรือต้องการสั่งเสียก่อนออกจากงาน” ผกามาศลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ตนชังน้ำหน้าเสียเหลือเกิน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางญาติดีกับคนตรงหน้าได้
“มีค่ะ อยากสั่งเสียสักหน่อย” ไม่พูดพร่ำทำเพลงมือเล็กกำหมัดแน่นแล้วชกเข้าที่ปากของอีกฝ่ายทันทีจนคนที่หันมามองต่างตกใจไม่นึกว่าเธอจะใช้กำลัง ถึงจะทะเลาะกันแรงขนาดไหนแต่ก็เพียงพูดจาถากถางเท่านั้น
“นังน้ำ! ฉันจะฆ่าแก” คนโดนชกล้มลงกับพื้นทั้งเลือดกบปากเพราะโดนชกเข้าให้เต็มๆ ชี้หน้าใส่เนตรนภาด้วยแววตาอาฆาตพยายามยันกายลุกขึ้น
“มาสิ ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ ฆ่าเลย” หล่อนไม่ใช่คนที่ยอมอยู่นิ่งเป็นเป้าให้ถูกรังแกฝ่ายเดียว ในเมื่อผกามาศเล่นสกปรกเธอก็ขอใช้กำลังถึงเป็นวิถีไม่ชาญฉลาดก็ตาม
“กรี๊ด นังน้ำปิง” ยังไม่ทันจะโต้กลับก็ดูเหมือนว่าจะพ่ายแพ้เมื่อเนตรนภาพุ่งเข้ามาตบจนหน้าหันไปหลายที แววตากลมโตจ้องคนที่โดนกระทำด้วยความสะใจโดยไม่มีใครกล้าเข้ามาห้ามสักนิด จนกระทั่งคุณสันติสุขเดินเข้ามาพบและตกใจกับภาพที่เห็น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” ตะโกนถามเสียงดังจนคนที่ห้อมล้อมต่างแหวกทางให้ท่านเดินมาพบกับคู่กรณีทั้งสองคน
“ข้าถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ดูแล้วคนที่โดนจะมีแค่ผกามาศเพราะสภาพแทบดูไม่ได้ เลือดเต็มปากไหนจะใบหน้ามีแต่รอยมือเต็มไปหมดเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บแทน เมื่อหันมามองเนตรนภาที่ยังสวยใสไม่มีร่องรอยโดนทำร้ายก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“มาที่ห้องข้าทั้งสองคน” คนเป็นลูกรักเดินตามเข้าไปทันทีปล่อยให้สาวรุ่นพี่เดินตามไปทีหลังพลางประคองแก้มเพราะเจ็บไหนจะต้องกลืนน้ำลายที่มีแต่กลิ่นเลือดคลุ้งปาก มือหนักเป็นบ้ารู้สึกระบมไปหมด
เมื่อเข้ามาภายในห้องทำงานของคุณสันติสุขทั้งสองก็เงียบไม่มีปากเสียง ท่านกุมขมับพลางถอนหายใจเสียงดังอย่างหนักอก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรทั้งที่ปกติเนตรนภาไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลังแก้ไขปัญหา
“มันเกิดอะไรขึ้น” ถามอย่างเหนื่อยใจและคนที่แย่งตอบคือผู้ถูกกระทำ
“กุ๊กไก่นั่งทำงานอยู่ดีๆ น้ำปิงก็พุ่งมาชกเลยค่ะ กุ๊กไก่ไม่ผิดนะคะ” รีบบอกทันทีว่าเรื่องนี้ตัวเองไม่ใช่คนผิดและเนตรนภาก็ยกยิ้มอย่างสาแก่ใจก่อนยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำผิด
“น้ำผิดเองค่ะ น้ำเข้าไปชกพี่กุ๊กไก่แล้วก็ตบไปหลายที พี่สันจะลงโทษยังไงก็ได้” เมื่อได้ฟังคนที่ยอมรับโดยไม่รู้สึกผิดก็ยิ่งหนักใจ เนตรนภากลายเป็นคนแข็งกระด้างแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ข้าจะลงโทษอะไรได้ เอ็งจะออกจากบริษัทแล้วไม่ใช่เหรอ” ยิ่งพูดก็ยิ่งเสียดายในความสามารถของสาวรุ่นลูกคนนี้ พยายามคุยกับสงครามหลายรอบแต่อีกฝ่ายก็มั่นคงดังหินผาไม่เปลี่ยนใจหรือไขว้เขวเลย
“หึ นั่นสิคะ” ผกามาศได้ทีก็หันไปยิ้มซ้ำเติมก่อนจะสะดุ้งเมื่อรุ่นน้องตวัดสายตามองอย่างหาเรื่องจึงรีบผินหน้าหนีทันที
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยผ่านแล้วกันค่ะ เดี๋ยวน้ำจะชดใช้ค่ารักษาให้ แต่จริงๆ ฟันก็ไม่หลุดคงไม่ต้องไปโรงพยาบาลมั้งคะ” เธอรู้ดีว่าวิธีนี้ไม่ถูกนักแต่ในเมื่อจะออกแล้วก็คงไม่มีอะไรต้องเสีย อยากสั่งสอนคนที่ดีแต่ปากสักครั้ง
“เอาล่ะๆ จะทำยังไงก็ไปตกลงกันเอง แต่อย่าให้เห็นแบบนี้อีก”
“คงไม่ได้เห็นหรอกค่ะ เพราะน้ำปิงเขาจะต้องออกจากบริษัทแล้ว” คนโดนแขวะหันมองพร้อมจะหาเรื่องแต่คุณสันติสุขก็ห้ามทัพไว้เสียก่อน
“ไปๆ จะไปไหนก็ไป” เขาไล่สองสาวออกจากห้องทันทีไม่อยากคิดให้ปวดหัวมากกว่านี้ และเมื่อเดินพ้นจากหัวหน้างานผกามาศก็รีบเดินกลับที่ประจำของตัวเองกลัวว่าเนตรนภาจะเกิดบ้าแล้วทำร้ายร่างกายตัวเองอีก
แค่ตอนนี้ใบหน้าก็ระบมมากพอแล้ว ส่วนหญิงสาวที่กำลังจะต้องออกจากบริษัทก็เดินกลับมาเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเคลียร์งานสุดท้าย
“สวัสดีครับคุณน้ำปิง” ปภพทักทายพร้อมยิ้มให้เหมือนทุกวัน
“ได้เรื่องอะไรบ้างไหม” เรื่องที่ไหว้วานให้เขาสืบเหมือนจะไม่มีความคืบหน้าแต่ว่าเธอก็หวังให้หาคนผิดจริงๆ เจอเสียที
“ไม่เลยครับ ในบริษัทเราแทบไม่มีคนรู้จักกับคุณฉันทิต” เมื่อได้รับคำตอบก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ทำไมการจะให้ตัวเองหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ก็ไม่รู้
ใบหน้าหวานซบลงบนโต๊ะอย่างอ่อนแรง ยิ่งเวลาผ่านไปก็ดูเหมือนว่าทางออกของหล่อนจะถูกปิดตายถึงจะพยายามให้มีชีวิตรอดก็อยู่แบบยากลำบาก ช่วงที่ผ่านมาเธอลองหางานแต่ดูเหมือนแต่ละที่ตำแหน่งจะเต็มแล้ว
“สู้ๆ ครับคุณน้ำปิง” หนุ่มแว่นมองด้วยความสงสาร อยากยกมือขึ้นแตะบ่าทว่าเขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะทำแบบนั้น จึงได้เพียงแค่มองผู้หญิงที่รักต้องเจ็บปวดโดยลำพัง..
“อ่ะ คิดออกแล้ว” ในเมื่อสืบไม่ได้ก็แค่เข้าพบตัวต้นเรื่องให้คายความลับออกมาเองน่าจะง่ายกว่าเยอะ คิดพลางยิ้มอย่างดีใจเหมือนเห็นแสงสว่างภายในถ้ำที่มืดมิด จะรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้วว่าจะมีความสามารถเพียงใด
งานนี้ฉันทิตจะต้องตกอยู่ในกำมือหล่อน
ร่างบางแอบเดินไปคุยที่บันไดหนีไฟซึ่งเป็นทางไม่ค่อยมีคนใช้สักเท่าไหร่ หล่อนมองหน้าหลังอย่างดีเพื่อไม่ให้มีคนมาได้ยินบทสนทนาล่อเหยื่อครั้งนี้ ใบหน้าหวานลอบยิ้มฝันไกลไปถึงความสำเร็จกับแผนที่เพิ่งคิดได้สดๆ
“สวัสดีค่ะคุณฉันทิต” เมื่อปลายสายรับก็ทักทายด้วยเสียงหวานกว่าปกติทว่าไม่ได้มากจนผิดสังเกต
‘ว่าไงครับ’
“เที่ยงนี้ว่างไหมคะ ฉันอยากพบคุณ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มยกยิ้มทันทีเมื่ออีกฝ่ายตอบรับอย่างรวดเร็ว
‘สำหรับคุณผมว่างเสมอ’ ปลาติดเบ็ดเสียแล้ว..
“ถ้าอย่างนั้นเจอกันที่เดิมนะคะ คุณคงจำได้ใช่ไหมเพราะมันเป็นความทรงจำของเรา” ขนาดพูดเองยังรู้สึกคลื่นไส้แต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่รับรู้ เขาตอบรับด้วยเสียงที่ทำเอาเธอขนลุก
‘ได้สิ เรื่องระหว่างเราผมจำได้เสมอนั่นแหละ’
“เจอกันตอนเที่ยงนะคะ น้ำจะรอคุณ” รีบกดวางสายทันทีแล้วถอนหายใจไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาทำอะไรอย่างนี้ เพื่อความอยู่รอดและล้างมลทินให้ตัวเองต่อให้อยากแค่ไหนหล่อนก็ต้องทำให้ได้ จะให้สงครามดูถูกแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
คิดถึงเขาอาการเจ็บเสียดที่อกก็จู่โจมจนต้องค่อยผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ หัวใจหนอช่างทำความเข้าใจยากเสียเหลือเกิน
ร่างบางเดินออกจากทางหนีไฟโดยไม่รู้เลยว่าที่ชั้นห้ามีคนแอบฟังที่เธอคุยโทรศัพท์มาตั้งแต่ต้น และเขาทำได้เพียงกำมือแน่นข่มอารมณ์หลากหลายที่พุ่งชนอยู่ตอนนี้
ท้ายที่สุดสิ่งที่เขาคิดมันก็ถูกต้อง เกือบใจอ่อนให้ผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นแล้ว..
พักเที่ยงเนตรนภาก็รีบตรงมายังร้านอาหารญี่ปุ่นราคาแพงที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว หล่อนเดินตรงไปยังห้องประจำซึ่งมักจะนัดส่งงานกับฉันทิตตอนที่ต้องการเงินไปรักษามารดา หล่อนรอเขาไม่นานนักอีกฝ่ายก็เปิดประตูพร้อมส่งยิ้มให้
“นึกว่าน้ำจะไม่อยากเจอผมแล้วซะอีก”
“อยากเจอสิคะ” ยิ้มหวานตอบกลับเขาในขณะที่มือก็กดบันทึกเสียงบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นทันที
ใช่แล้ว..เธอจะตะล่อมถามเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าใครกันแน่คือผู้ร้ายตัวจริง ใช้เสน่ห์ของตัวเองชวนให้ชายหนุ่มหลงใหลเท่านี้ก็คงพอแล้ว อย่างไรเสียคนอย่างฉันทิตก็เจ้าชู้ประตูดินเสียขนาดนั้นหากส่งสายตาหวานพูดจาหว่านล้อมความจริงก็เปิดเผยเอง
“น้ำสั่งของชอบให้คุณแล้ว” อันที่จริงก็ไม่รู้หรอกว่าเขาชอบอะไรเพียงแค่สั่งเหมือนทุกครั้งที่มาเท่านั้น
“รู้ใจผมจริงๆ เลย” มือหนาค่อยเลื่อนมากุมมือหล่อนที่วางบนโต๊ะแล้วลูบเบาๆ ทำเอาเธอแทบสะบัดมือหนีแต่จำต้องอดกลั้นเอาไว้
เพื่องาน เพื่องาน
ข่มใจเตือนตัวเองตลอดเวลาค่อยยิ้มกลับให้เขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยอมเปลืองตัวเล็กน้อยเพื่อแลกกับสิ่งที่จะได้มันก็ไม่เสียหายอะไร
“ช่วงนี้คุณยุงมากเหรอคะ”
“ใช่ ต้องรีบเตรียมงานของSOP Groupเสนอรอบสอง” และรอบนี้ก็เป็นรอบตัดสินเสียด้วยว่าบริษัทไหนจะได้งานไป เรียกได้ว่าฉันทิตแทบไม่หลับไม่นอนเอาแต่ทำงานเพื่อให้ว่าที่พ่อตาซึ่งไม่ค่อยชอบหน้าเขาเห็นความสามารถ
“แต่รอบแรกคุณทำดีมากเลยนะคะ” เอ่ยชมขณะที่อาหารเริ่มเข้ามาเสิร์ฟ หญิงสาวคีบปลาแซลม่อนใส่จานของเขาพลางรินน้ำชาเพื่อเอาใจอีกฝ่าย
“ไม่หรอก ต้องขอบคุณน้ำที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผม” คนโดนชมชะงักไปครู่หนึ่งไม่เข้าใจในประโยคนั้น
“ถ้าไม่ได้น้ำ ผมคงแย่” หญิงสาวไม่ได้ขัดเขาแต่หัวเราะไปตามเรื่องทั้งที่ไม่เข้าใจในสักนิดว่าไปช่วยอะไรเขา
“น้ำไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะคะ คุณชมเกินไป” หล่อนเริ่มจัดการอาหารบ้างพยายามทำตัวให้สบายเหมือนไม่มีแผนในใจทั้งที่ตื่นเต้นจนเหงื่อเต็มมือ
“ไม่เกินจริงหรอกครับ อ้อ ที่จริงผมมีเพื่อนจะขอร่วมโต๊ะด้วย คุณคงไม่ว่าใช่ไหม” จากที่ทำหน้าเรียบเฉยหล่อนตกใจกับการโต้กลับของเขาทันที ไม่คิดว่าฉันทิตจะชวนคนอื่นมาร่วมโต๊ะด้วยแต่ให้ปฏิเสธคงไม่ทันแล้ว
“เขาคงมาแล้ว ผมขอออกไปรับก่อนนะ” ถึงจะอยากปฏิเสธมากเพียงไรก็ทำไม่ได้จึงพยักหน้ารับปล่อยให้เขาเดินออกไปข้างนอก
“บ้าเอ๊ย” แผนที่อุตส่าห์วางไว้พังไม่เป็นท่า แต่ไม่เป็นไรหรอกวันพระไม่ได้มีหนเดียวเสียหน่อยค่อยถามเขาใหม่ก็ได้
“มาแล้วครับ” ประตูถูกเปิดออกพร้อมคนมาใหม่ที่ทำให้เนตรนภาอ้าปากค้างไม่คาดฝันมาก่อนว่าจะเป็นเขา
..สงคราม
เหตุใดชายหนุ่มถึงมาอยู่ที่นี่ได้แล้วยังทำราวสนิทสนมกับฉันทิตอีกด้วย ร่างบางจับต้นชนปลายไม่ถูกมองคนตัวสูงเข้ามาในห้องที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวพลางจ้องหล่อนด้วยแววตาแสนเย็นชาแทบจะสาปให้กลายเป็นน้ำแข็ง
แบบนี้มันเกินแผนที่วางไว้ไกลเสียอีก เขาจะไม่ยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่หรือ ความกังวลฉายทางใบหน้าหวานก่อนเธอจะเปลี่ยนเป็นยิ้มที่ฝืดเฟือน
“น้ำคงรู้จักคุณสงครามดีใช่ไหม ไม่นึกเลยว่าจะเป็นลูกคุณอากร” ตอนนี้เหมือนอากาศในห้องลดลงฮวบฮาบแต่ฉันทิตคงสัมผัสไม่ได้ถึงยังคงแย้มยิ้มราวมีความสุขนักหนา
“ผมก็ไม่นึกว่าคุณจะรู้จักกับสถาปนิกบริษัทผมเหมือนกัน” เขาปลดกระดุมสูทออกแล้วหันไปมองฉันทิตที่นั่งข้างกาย
“ผมรู้จักน้ำนานแล้วครับ ตั้งแต่เธอเรียนสถาปัตย์” เขาพยักหน้าแล้วยกยิ้มเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งในตอนนี้
“เหรอครับ” เนตรนภาแทบไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาเมื่อทุกอย่างกำลังดำเนินลงเหว ทางออกของเธอถูกปิดตายเสียแล้ว ขุดหลุมฝังตัวเองแท้ๆ
“กินข้าวดีกว่านะครับ คุณสงครามคงหิวน่าดู” เอ่ยชวนโดยไม่สนใจเลยว่าบรรยากาศตอนนี้เป็นอย่างไรก็ในเมื่อเขาต้องการให้มันเหมือนอยู่ในสงครามอยู่แล้ว
ฉันทิตแอบยิ้มตอนที่ไม่มีคนเห็น เขาพอจะรู้เรื่องที่เนตรนภาต้องการอะไรบางอย่างจากตัวเองและพอดีกับเห็นสงครามอยู่หน้าร้านจึงได้คิดแผนออกแล้วทุกอย่างก็เข้าขั้นวิกฤตสำหรับเนตรนภา คนเจ้าเล่ห์เหลือบมองสองหนุ่มสาวที่แทบไม่สบตากัน
